บทที่สี่ หนทางแห่งการแก้แค้น 70%
บทที่สี่
หนึ่งปีต่อมา...
ลั้วเจินแม้นอาศัยอยู่ทุ่งหญ้ามาได้เพียงสองเดือน หากแต่นางยามนี้ก็ราวกลับสตรีเชื้อสายมองโกล ที่เกิดและโตบนแผ่นดินแห่งทุ่งหญ้านี้ ด้วยนางสามารถบังคับม้าได้อย่างข้องแคล่ว.. อีกทั้งเมื่อนางสวมชุดสตรีชาวมองโกลนางยิ่งงดงามเป็นเท่าทวีคูณ.. ช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่งดงามช่วงหนึ่งในชีวิตของนาง ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสร้างเสริมความมั่นใจให้กับนางได้มากขึ้น เวลานี้นางนับว่าได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ถัวปาอี้เทียนผู้เป็นเอกบุรุษแห่งทุ่งหญ้า... สอนลั้วเจินทั้งขี่ม้า วิชาการป้องกันตัว ที่ลั้วเจินสามารถเรียนรู้และทำได้ดีมากที่สุดก็คือการใช้ดาบ รองลงมาคือธนู และแส่หนัง... สมเป็นลูกหลานชาวทุ่งหญ้าโดยสายเลือด อี้เทียนทุ่มเททุกสิ่งให้กับนาง แม้นภายในใจจะมีความไม่ซื่อตรงอยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาก็นับว่าดีต่อนางอย่างที่สุด
เวลาที่ล่วงเลยผ่านไปอี้เทียนและลั้วเจินทั้งสองต่างต้องพบหน้ากันทุกเช้าบ่ายค่ำ มิให้เกิดความผูกพันก็เป็นไปได้ยาก ด้วยหญิงชายแม้นขึ้นชื่อว่าเป็นเชื้อสายเดียวกัน หากแต่ก็มิได้ร่วมเติบโตกันมานับแต่กำเนิดก็มิต่างกับคนแปลกหน้า..
และด้วยชนชาวทุ่งหญ้ามิถือประเพณีมิแต่งงานร่วมสายเลือด.. ภายในราชวงศ์หรือแม้นชนชาวบ้านการแต่งงานกันระหว่างเชื้อญาติใกล้ชิดมิถือเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด ผู้คนภายในเผ่าก็มิได้ขัดขวางความจริงในข้อนี้
ชายหนุ่มหญิงสาวก็มิต่างกับดาวและเดือนที่เกิดมาเพื่อเคียงคู่กัน... หากแต่จะได้คู่กันหรือไม่มีเพียงฟ้าที่ล่วงรู้ บางสิ่งแม้นจะมองดูแล้วผิวเผิน แต่กลับยิ่งหยั่งลึก
แต่แล้วเวลาที่นางจะต้องจากทุ่งหญ้าคืนสู่แผ่นดินใหญ่ก็มาถึง แม้นจะผูกพันธ์กันสักเท่าไหร่แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเลือก เขาจะเลือกสิ่งใด ระหว่างความรัก.... หรือแผ่นดิน
“ลั้วเจิน” เสียงเรียกจากบุรุษที่นางคุ้นเคยและวางใจ
“อี้เทียนเกอเกอ” ลั้วเจินกล่าวกลับไปด้วยรอยยิ้ม
ฝ่ายอี้เทียนคล้ายมีสิ่งใดจะกล่าวแต่กลับมิกล้าที่จะกล่าวมันออกมา... ลั้วเจินเองมีใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกลับหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“ลั้วเจิน เจ้าพร้อมที่จะกลับไปชำระหนีชีวิตที่ฮองเต้ไร้ใจผู้นั้นติดค้างเจ้าไว้หรือยัง ลั้ว..... เจิน” อี้เทียนกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่มั่นคงนัก
“อี้เทียนเกอเกอ ท่านยังอยากให้ข้าจากไปจริงหรือ... “
“ลั้วเจิน...”
“อี้เทียนเกอเกอ หากท่านปรารถนาข้าก็จะทำตามคำของท่านมิบิดพลิ้ว”
“ใช่ ข้าต้องการให้เจ้ากลับไป”
บรรยากาศภายในกระโจมนั้นเงียบลงไปอีกครา.. ถัวปาลั้วเจินที่ในขณะนั้นยืนประจันหน้ากับถัวปาอี้เทียน... นางก็ค่อยๆ ถอยห่างจากอี้เทียนไปอย่างช้าๆ
“อี้เทียนเกอเกอ.. มิใช่ข้ามิรู้ว่าที่ท่านต้องการนั้นคือสิ่งใด... หากหนึ่งปีที่ผ่านมาท่านยังคงดึงดันมิเปลี่ยนความตั้งใจ... บุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าและพ่อบุญธรรม ข้าจะขอชดใช้คืนให้” สิ้นคำลั้วเจินก็วิ่งออกจากกระโจมไปโดยทันทีพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา
.
.
.
.
“ทุ่งหญ้า นกน้อย เจ้าม้า หมาป่า... ข้าลั้วเจินต้องจากพวกเจ้าไปแล้ว.... คงเป็นกรรมของข้าที่เคยกระทำเมื่อชาติภพก่อนจึงทำให้ต้องพบเจอแต่ผู้ที่มีใจคิดแต่จะหลอกใช้ตัวข้า... ไม่ว่าตัวข้าจะรักผู้ใด ผลตอบแทนเหตุใดจึงหนักหนาเช่นนี้
หรือชาตินี้สตรีเช่นข้าจะมิมีวันได้พบเจอบุรุษที่จริงใจต่อข้าเลยหรืออย่างไร”
ลั้วเจินขุกเข่าลงไปกับผืนหญ้ามือน้อยของนางนั้นหยิบกำใบหญ้าไว้แน่น..
.
.
.
เป็นเพราะเมื่อหกเดือนก่อนหน้านี้
ลั้วเจินนางบังเอิญไปได้ยินอี้เทียนสนทนากับองครักษ์คนสนิทเกี่ยวกับแผนการ เกี่ยวกับเรื่องที่นางจะถูกใช้เป็นหนทางให้ชาวมองโกล แทรกซึมเข้าไปเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ฮองเต้จากราชวงค์เว่ย.. ด้วยการใช้จุดอ่อนที่ชายผู้นั้นจำต้องรุ้สึกผิดต่อนางเป็นทุน... มิพ้น หนีมิพ้นการถูกหลอกใช้
แต่ลั้วเจินก้ได้ใช้เวลาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจนกระทั่งวันนี้.. เพื่อที่จะกระทำให้อี้เทียนเปลี่ยนใจมิใช้นางเป็นเครื่องมือ
หากแต่ก็ชัดเจนแล้วว่า... การครองแผ่นดินมาก่อนความรัก
ลั้วเจินนางถือว่านี้เป็นการชดใช้คืนให้กับอี้เทียนที่ช่วยชีวิตนางและพ่อบุญธรรม... และถือเป้นการกับไปทวงแค้นให้พ่อแท้ๆ ของนางที่ต้องตายไป หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
มิใช่ว่ากำหนดอีกต่อไป นางจะเป็นผู้ลิขิตชะตาด้วยตัวนางเอง..
“เว่ยเกาหยวน หวังว่าเจ้าคงยังมิลืมใบหน้า สตรีผู้ที่ถูกเจ้าฝั่งหวังให้นางต้องตายทั้งเป็น ดูท่าคำนายของราชวงศ์เจ้าคงจะเป็นจริงในไม่ช้า... เว่ยเกาหยวน” ลั้วเจนลุกขึ้นพร้อมกับปาดน้ำตาให้พ้นไปจากใบหน้า บัดนี้ดวงตาของนางเปลี่ยนไปราวกลับเป็นคนละคน
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
