บท
ตั้งค่า

บทที่สอง องค์หญิงถัวปาลั้วเจิน

บทที่สอง

จากการที่ซู่เจินได้ทราบความจากอี้เทียนว่าเว่ยเกาหยวนนอกจากหมายจะฝังนางทั้งเป็นเพื่อลบล้างคำสาปแล้ว ยังไม่วายจะฆ่าพ่อบุญธรรมที่เลี้ยงดูนางมา ทำให้ซู่เจินรู้สึกคับแค้นใจเป็นที่สุด แค้นฆ่าบิดาผู้เลี้ยงดูมิอาจให้อภัย แม้นบิดานางไม่สิ้นก็ใช่ว่าจะยกโทษทัณฑ์นี้ให้กันได้ง่ายๆ เมื่อซู่เจินตัดสินใจที่จะยึดมั่นในความแค้นนี้...

อี้เทียนได้พานางไปพบกับมารดาผู้ให้กับเนิด ซู่เจินได้รู้ความจริงของชาติกำเนิดตน ที่ตัวซู่เจินเองสงสัยมาอยู่นาน หากแต่นางมิได้ใส่ใจนัก เพราะบิดาบุญธรรม นามลู่เกา ก็มิได้เลี้ยงดูนางให้ขาดตกบกพร่อง แม้นไม่ได้ร่ำรวยหากแต่ก็ไม่ได้ขัดสน อีกทั้งนางยังได้รับความรู้วิชาแพทย์ก็นับว่าเป็นโชคของนางแล้ว

“นี่ท่านกำลังจะบอกว่าตัวข้าคือบุตรสาวของท่าน.. และตัวข้าเป็นชนชาติมองโกล? แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือลูกสาวของท่าน” ซู่เจินยังไม่แน่ใจนักหากแต่หลักฐานยังไม่ปรากฏ จะมาอ้างว่าเป็นมารดากันง่ายๆ แบบนี้คงไม่ได้

“ลั้วเจิน ที่ต้นคอของเจ้ามีปานแดงคล้ายรูปหงส์อยู่ใช่หรือไม่”

“ท่านรู้? ใช่ข้ามีปานแดงนั้นอยู่จริง แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า...”

อี้เทียนเห็นซู่เจินมีทีท่าไม่วางใจนัก.. จึงใช้ให้สาวใช้นำถ้วยที่ใส่น้ำเปล่ามาหนึ่งใบ

“อี้เทียน ท่านนำของสิ่งนี้มาเพื่อกาลใดกัน” ซู่เจินถาม

“พิสูจน์ เจ้าและท่านป้าลั้วเซียง หยดเลือดลงไปในถ้วยน้ำนี้ หากเลือดทั้งสองหลอมหลวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ นี้ก็จะพิสูจน์ได้แล้วว่า เจ้าคือ บุตรของท่านป้าลั้วเซียง...” อี้เทียนส่งยิ้มคืนกลับไปให้กับทั้งซู่เจินและลั้วเซียง

“อืม ป้าเห็นด้วยกับเจ้าวิธีการนี้ว่าเป็นการพิสูจน์ได้ดีๆ “ลั้วเซียงยิ้มออก

ลั้วเซียงเป็นฝ่ายใช้ มีดพกตนกรีดลงไปที่ปลายนิ้วของนางก่อน เลือดนางหยดลงไปหนึ่งหยด จากนั้น อี้เทียนได้ยืนกริชให้ซู่เจินเพื่อที่จะให้นางได้ใช้ กรีดปลายนิ้วของนางบ้าง ซู่เจินสูดหายใจลึกหนึ่งที ก่อนที่จะใช้ปลายกริช เฉือนไปที่ปลายนิ้วของตนเอง..

เลือดของนางค่อยๆ หยดลงไปที่ยังผิวน้ำ อี้เทียนได้ใช้ปลายของกริชเล่มที่มอบให้กับซู่เจินกวนน้ำภายในถ้วยนั้น....

“รวมกัน เลือดของท่านกับข้าเข้ากันได้จริงๆด้วย” ซู่เจินมีแววตาที่สดใสมากขึ้น นางเชื่อแล้วว่าลั้วเซียงคือมารดาผู้ให้กกำเนิดของนางอย่างแท้จริง...

“ยินดีท่านป้า ยินดีด้วยนะ น้องลั้วเจิน ในที่สุดเจ้าก็ได้กลับสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นของชาวมองโกลแผ่นดินเกิดเจ้าแล้ว”

หลังจากนั้น ซู่เจินและลั้วเซียงก็ใช้เวลา ทั้งวันพูดคุยถามไถ่ เรื่องราวความเป็นมากัน... ดูถ้าสายใยความรักของมารดาและบุตรสาวนั้น จะเชื่อมต่อกันแล้วจริงๆ

ค่ำคืนนั้น....

“ลั้วเจินเจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว ไม่กลัวหมาป่า มาลักตัวเจ้าไปกินหรอ” เสียงหวานหนุ่มชวนหยอกของอี้เทียนดังมาแต่ไกล

“หืม หมาป่า ที่นี้มีหมาป่าด้วยหรอ “ซู่เจินมองไปรอบด้วยๆ ด้วยสายตาที่หวาดกลัว

“ฮ่าๆ พี่หลอกเจ้าเล่น... ชาวมองโกลเราไม่มีใครกลัวหมาป่ากันหรอกนะ มันเป้นเพื่อนที่แสนดีของพวกเรา มันไม่ทำอันตรายสายเลือดมองโกลเช่นเจ้าหรอก”

“ท่านก็ช่างพูดไปเรื่อย.. ว่าแต่เมื่อสักครู่ท่านเรียกชื่อข้าว่าอะไรนะ?”

ทำไม?”

“แปลกอยู่สักหน่อย ... แต่สักพักข้าเองก็คงจะคุ้นชิน”

“ทำไมกันเจ้าไม่ชอบที่นี้? ไม่ชอบชื่อนี้ เป็นเช่นนั้นหรือ” อี้เทียนขยับร่างเข้ามาเพื่อที่จะได้เห้นสีหน้าแลแววตาของซู่เจินได้ชัดที่สุด แต่มันกลับทำให้เขาได้พบสิ่งที่ต่างออกไป

แสงอันนวลผ่องของพระจันทร์คืนนี้ช่างงดงามจริงๆ แต่ไหนเลยจะสู้ลักยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของสตรีที่อยู่ตรงหน้าของเขาได้ แสงของดวงดาวบนฟ้าที่เรืองระยับ หรือจะส่องประกายสดใสเท่าแววตานางของสตรีน้อยผู้นี้ไม่ เขาเฝ้าดูนางมาหลายเดือน ที่แคว้นฮั่นเพื่อพิสูจน์ว่านางคือ บุตรของลั้วเซียงแน่หรือไม่.. ทั้งยังคอยเฝ้าประคบประงม นางยามที่ยังไม่ฟื้นไข้หลับนานนับสามเดือน ไม่ผูกพันธ์ ไม่ห่วงหา ก้นับว่าไม่ใช่บุรุษแล้ว...

“อี้เทียน ท่านเป็นอะไรไป อี้เทียน” ซู่เจินเห็นอี้เทียนจ้องมองมาที่นางอย่างจดจ่อไม่พูดจา จึงทำให้นางตกใจเล็กน้อย

“เอ่อ เปล่า สงสัยเจ้าจะงดงามมากซ่ะจน เหมือนเป็นมนต์สะกดให้ข้าตัวแข็งทื่อก็ได้นะ”

“แหม่ท่านนี้ช่างล้อข้าเล่นเก่งนัก ชอบแกล้งข้านักหรือไงกัน” ซู่เจินคิดว่าอี้เทียนล้อนางเล่นแล้ว แต่ใจนางก็มีความสุขไม่น้อย ก็แน่ละ มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ชาติตระกูลสูงส่ง เป็นบุตรชายคนเดียวของผู้ครองแคว้นมองโกลปัจจุบัน

.

.

.

หลายวันต่อมา

ซู่เจินได้รับพระราชทานยศจากบิดาอี้เทียน เป็น องค์หญิงถัวปาลั้วเจิน มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าเชื้อพระวงค์ชั้นสูง พระราชทานที่ดินทรัพย์สิน อันเป็นของบิดาแท้จริงของนางคืนให้กับลั้วเจินบุตรสาว บิดาอี้เทียน เอ็นดู ลั้วเจินมาก ด้วยเขาเองก็มีบุตรสาวอยู่หนึ่งคนแต่ด้วยบุญน้อย อายุสั้นนัก ตายไปตั้งแต่ยังเล็กๆ .. ทำให้เมื่อ บิดาอี้เทียนมองมายังลั้วเจิน ก็เสมือนได้พบกับบัตรสาวของตนเองอีกครั้ง...

ซู่เจินได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ทั้งยังได้พบกับครอบครัวที่แท้จริงของนาง ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ นับเป็นสวรรค์มีตาไม่ทอดทิ้งคนดี

“ลั้วเจิน เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง? “อี้เทียนมาหาซู่เจินทุกวัน เพียงแต่วันนี้เขามาเช้าเป็นพิเศษ

ข้าพร้อมนานแล้ว ในที่สุดวันนี้ฝันของข้าก็จะได้เป็นจริงเสียที... “ซู่เจินเดินออกมาจากภายในกระโจมด้วยสีหน้าและแววตาที่สดใส

วันนี้ลั้วเจินกับอี้เทียนมีสัญญากันว่า อี้เทียนจะพานางฝึกหัดขี่ม้า.... ซึ่งลั้วเจิน นางเองก็ใฝ่ฝันมาแต่เล็กว่าอยากจะมีม้าของตนสักตัว...

“อ่ะ นี้ม้าของเจ้า “อี้เทียนจูงม้างามตัวหนึ่งมาให้ลั้วเจิน ตัวม้านั้นมีขนนิ่ม ขนาดตัวกำลังพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่ หากแต่แข็งแรง ขนสีขาวนิ่มพริ้วสไหวน่าชมยิ่งนัก หากได้ขวบม้าตัวนี้วิ่งไปบนทุ่งหญ้า มองโกลนับเป็นภาพที่งดงาม....

.

.

.

.

.

โปรดติดตามตอนต่อไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel