บทที่หนึ่ง กำเนิดใหม่
บทที่หนึ่ง
กำเนิดใหม่
หญิงสาวผู้ใสซื่อยามนี้ร่างกายถูกสกัดจุดกำลังถูกจัดการลงไปในโลงทอง นางที่กำลังจะถูกชายที่เป็นรักแรกฝั่งนางลงไปทั้งเป็นเพื่อเป็นการลบล้างคำทำนายว่าแผ่นดินจะล้มสลาย กำเนิดใหม่ราชวงค์ลู่....
“อย่าโทษข้าเลยนะแม่นาง.. พวกข้าทั้งหมดล้วนแต่ทำตามคำสั่ง หากแม้นไม่ทำก็เกรงจะต้องตายตกไปเช่นเดียวกันกับเจ้า อย่าโทษพวกข้าเลย..”
เหล่าขันทีนางกำนันต่างหวาดกลัวกับสิ่งที่พวกตนนำลังจะทำต่อไปอย่างสุดจะบรรยาย นี้มันโหดร้ายมากเกินไปแล้ว ฝังคนทั้งเป็นด้วยเป็นเพราะคำนายนั้น...
จะถูกนำไปฝั่งไว้ยังภูผาจูเทียน.. ภูผาที่สูงชันและแห้งแล้ง เนื่อจากไม่มีฝนตกลงมานับสิบปีพืชพรรณในบริเวณนั้นต่างก็แห้งตายไปจนหมด พอที่จะมองเห็นรางระหงส์ของซู่เจินที่แข็งทื่อ แต่ดวงตากลับแดงกล่ำเต็มไปด้วยน้ำตาที่หลั่งริน ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความโกรธแค้นก็ถาโถมเข้าสู่ห้วงหัวใจนางราวกับว่าเกิดพายุใหญ่เข้ามาในหัวเธอไม่หยุดหย่อน หากแต่นางดื้อรันไม่ฟังคำ คงเป็นเคราะห์กรรมที่สวรรค์จะลงโทษสตรีอกตัญญูเช่นนาง
“กึก.. กึก..”
เสียงของดินที่ค่อยๆ ถูกเกลี่ยลงไปยังภายในหลุม แสงสว่างของคืนพระจันทร์เต็มดวงค่อยๆ ลาลับไปจนดับสนิท
ซู่เจินเริ่มขาดอากาศหายใจ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เหล่าขันทีนางกำนัน ที่นำนางซู่เจินมาฝั่งทั้งเป็นเมื่อเสร็จงานแล้วต่างก็รีบจากไปทันที
ท่านพ่อ... ลูกอกตัญญูนัก ท่านที่อุตส่าห์อุมชู้เลี้ยงดูข้ามาด้วยความรัก ถนอมตัวถนอมใจข้าเอาไว้อย่างดี ข้ากลับโง่งมไม่เชื่อคำท่าน หลงว่าโลกใบนี้ทุกที่ล้วนสวยงามเสมือนอยู่ในอ้อมกอดของท่าน แต่มิใช่เลย....ท่านพ่อชาตินี้คงไม่มี ซู่เจินคงหมดสิ้นวาสนาที่จะได้ทดแทนคุณที่เลี้ยงดูข้ามา หวังว่าในชาติหน้านั้นท่านกับข้าเราสองพ่อลูกจะได้เกิดมาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ถึงวันนั้นขอให้ข้าอย่าได้โง่งมเฉกเช่นหนนี้อีกเลย ลู่ซู่เจินนางคิดทบทวนเรื่องราวไปหยาดน้ำตาของนางที่รินไหลออกมาจากร่างกายที่แทบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใด น้ำตาเเห่งความเจ็บปวดและผิดหวังแม้นมั
และในห้วงเวลานั้นเองแววตานางเกิดเปลี่ยนแปลงไปได้ในช่วงครึ่งลมหายใจแผ่วๆของนาง
"เว่ยเกาหยวน.... ขอให้สิ่งที่ท่านทำในวันนี้คุ้มค่า “ สิ้นเสียงแหบผล่านั้นดวงตาของนางก็ค่อยๆหลีลงพร้อมกับหยาดโลหิตที่ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองของนาง ลมหายใจของนางค่อยๆแผ่วลงไป บางเบา เสียงทุกอย่างเงียบลงจนได้ยินเสียงหัวใจของนางที่เต้นอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดเสียงหัวใจเต้นแผ่วๆนั้นก็ได้หยุดลง
.
.
.
3 เดือนต่อมา
.
.
.
"น้ำ... น้ำ...." เสียงแหบผล่าดังขึ้น
“แม่นาง... เจ้าฟื้นแล้ว”
เสียงแรกที่นางได้ยินหลังจากที่สิ้นสติไปเนิ่นนาน เป็นจากบุรุษรูปงามแววตาเป็นมิตรอย่างยิ่งหากแต่ซู่เจินไม่รู้จักกับบุคคลผู้นี้มาก่อนในชีวิต
“ท่าน ท่านเป็นใครกัน ” ซู่เจินด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดนั้นเองนางพยามขยับร่างกาย แต่ก็ไร้ผล เรี่ยวแรงนางน้อยเต็มทน ซู่เจิน ก้มลงสำรวจร่างกายตนก็พบว่ายังสมบูรณ์ดีไม่มีแม้นรอยขีดข่วนใดๆ หรือสถานที่แห่งนี้เป็นคือสถานที่หลังความตายกัน มันช่างไม่ต่างอะไรกับโลกมนุษย์
“แม่นาง...."
"ที่นี้คือสวรรค์หรือนรกกันแน่.." ซู่เจินนางเอ่ยเสียงแผ่ว
"ไม่ใช่ทั้งสวรรค์หรือนรก แต่คือแผ่นดินมองโกล" เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
"มองโกล... มองโกล! ทำไมกัน?" ซูเจินนางทั้งรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ
"เจ้ารู้เพียงว่าข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าไว้ก็พอ ส่วนวิธีการนั้นเจ้าอย่าได้ถามถึงมันเลยจะดีกว่า” บุรุษรูปงามผู้นั้น กล่าวด้วยท่าทีอ่อนยิ่ง
“แผ่นดินมองโกลห่างไกลนับพันลี้ คุณชายท่านอย่าล้อข้าเล่นอีกเลย" ซู่เจิน พบว่าตนอยู่ในภายกระโจมที่แม้นจะเล็กแต่ก็สะอาด ทั้งยังตกแต่งด้วยของหรูหรามากมาย
“พันลี้แล้วอย่างไร วันนี้เจ้าก็อยู่ที่นี้แล้ว.... ทุ่งหญ้าของมองโกล" บุรุษรุปงามผู้นั้นกล่าวตอบพร้อมกับยื่นจอกน้ำ ใบหนึ่งให้กับซู่เจิน
เวลาผ่านไป
เขาปล่อยให้ซู่เจินนางค่อยๆได้พักฟื้นคืนสติ ใบหน้าของนางดูมีสีสันมากขึ้น นางจึงกลับมาสนทนากับเขาอีกหนหนึ่ง นางเป็นผู้เอ่ยถามเขาก่อน
“หากเป็นเช่นนั้นจริงอย่างที่ท่านว่า หากที่นี่คือแผ่นดินมองโกลจริง.. ข้าเป็นชาวฮั่นจะมาอยู่บนแผ่นดินมองโกลได้อย่างไร ฮั่นกับมองโกลห่างกันนับพันลี้ อีกทั้งก่อนหน้าข้า..... ข้ายัง...." ซู่เจินนางเพียงคิดถึงเรื่องก่อนหน้าดวงตาของนางก็เกิดร้อนผ่าว หัวใจของนางก็เกิดเต้นผิดจังหวะขึ้นมาในห้วงหนึ่งนั้น
"คุณชายท่านอย่ามาหลอกลวงข้าอีกเลย" ซู่เจินนางเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“เหตุใดข้าต้องลวงลวงเจ้ากันเล่า หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ลุกขึ้นตามข้าออกไปนอกกระโจมนี้ ให้เจ้าดูด้วยสองตาของเจ้าเองว่าภายนอกนั้นเป็นเช่นไร” บุรุษแปลกหน้าผู้นั้น ผายมือเชื้อเชิญ ซู่เจินนางลุกขึ้นและเดินนำเขาออกไปยังภายนอกกระโจม
ภายยังนอกกระโจมนั้น.. ซู่เจินได้พบกับท้องทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา.. สายลมที่พัดโชยกลิ่นหอมของอากาศบริสุทธ์ ทำให้นางรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
“เป็นเช่นไรบ้างแม่นาง แผ่นดินมองโกลของข้า เจ้าว่าน่าอยู่หรือไม่”
“น่าอยู่มาก” ซู่เจินกล่าวออกไปอย่างคนตกอยู่ในภวังค์ความฝัน ภาพที่นางเห็นช่างงดงามจริง.. ด้วยนางเพิ่งพานพบกับเรื่องราวอันโหดร้ายมาด้วยแล้ว.. ความรุ้สึกอิสระที่นางได้รับจากท้องทุ่งหญ้านี้ช่างทำให้นางอบอุ่นหัวใจเป็นที่สุด
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายนางสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ใสซื่อของซู่เจิน นางผ่านเรื่องราวอันแสนโหดร้ายอย่างนั้นมาแท้ๆ แล้วใยจึงมีรอยยิ้มที่แสนงดงามเช่นนี้ได้เล่า
“แม่นางตอนนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วหรือยังว่านี้คือ ผืนแผ่นดินมองโกล...”
“เชื่อ.... ข้าเชื่อท่านแล้วเอ่อ ข้าคงไม่ถามท่านไม่ได้"
"ว่ามาสิ"
"คุณชายท่านมีนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ"
"เจ้าอยากรู้ชื่อข้าไปทำไมกัน" เขาอมยิ้มอย่างหยอกล้อ
“ถัวปาอี้เทียน ข้าชื่อว่าอี้เทียน” เขายิ้ม
หลังจากซู่เจินนางได้ยินชื่อของเขาแล้วนั้น เขาทั้งสองข้างของนางก็จรดลงที่ผืนหน้าเบื้องหน้าเขานั้น สองมือนางประสานก้มโค้งศีรษะลง
“ข้าลู่ซู่เจินขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวง ชั่วชีวิตข้าจะไม่ลืมว่าท่าน ถั้วปาอี้เทียนเคยมีบุญคณท่วมหัวช่วยเหลือข้า”
อี้เทียนเห็นดังนั้นจึงรีบประคองรับร่างนางเอาไว้
“หากเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้วแม่นาง เจ้าจะตอบแทนข้าด้วยสิ่งใด “อี้เทียนส่งยิ้มให้กับซู่เจิน
“ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านด้วยสิ่งใด... ข้ามาที่นี้ล้วนตัวเปล่า หากจะตอบแทนท่านได้ มีแต่เพียงวิชาแพทย์ที่พอมีติดตัวมาอยู่บ้าง”
ซู่เจินพูดจบก็หันกับมามองไปยังทุ่งหญ้าอันเขียวขจี นางชอบสถานที่นี้แล้วสินะ สายลมพัดโชยกระทบร่างของซู่เจิน ทำให้รู้สึกดีจริงๆ แต่จู่ๆ นางก็มีสีหน้าเศร้าหมองลง
“แม่นางเจ้าเป็นอะไรไป? มีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่ชอบที่นี้หรือ”
“ไม่ ที่นี้ทำให้ข้ารู้สึกดีจริงๆ แต่ข้านึกถึงท่านพ่อข้า.. ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะเป็นเช่นไรบ้าง”
“อ่อ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป... ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว”
“จัดการ ท่านหมายถึงจัดการ จัดการแบบไหน”
“ก่อนที่ข้าจะพาเจ้ามายังดินแดนมองโกล ข้าได้ไปพบบิดาเจ้าเรียบร้อยแล้วเพื่อขออนุญาตนำตัวเจ้ามายังที่แห่งนี้”
“พบบิดาข้า.... บิดาข้าสบายดีใช่หรือไม่?” ซู่เจินยิ้มแย้มหัวเราะร่า ด้วยความโล่งใจเรื่องบิดาไปเปราะหนึ่ง
“บิดาของเจ้านั้นสบายดี เขายังมอบเจ้าให้กับข้าด้วย” อี้เทียนส่งยิ้มร้ายกาจมายังซู่เจิน
"มอบข้า...." ซู่เจินนางทวนคำเสียงแผ่ว
"ข้าล้อเจ้าเล่น.... เขาบอกว่าให้เจ้าอยู่ที่นี้รักษาตัวให้ดี" อี้เทียนเอ่ยออกมาอย่างอบอ่น
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
