ตอนที่ 4
"คุณรินดารับชาหรือกาแฟดีคะ" เสียงหนึ่งทำให้เธอตื่นจากภวังค์
"ขอเป็นน้ำเปล่าๆ ไม่เย็นค่ะ" รินดาตอบพายไป
"ได้ค่ะ"
"อะแฮ่ม" ป้องณวัฒน์ทำเสียกระแอมกระไอก่อนจะนั่งลงเบาะเดียวกัน
"วันนี้มันใกล้จะเลิกงานแล้ว"
"คะ" เธอทำเสียงมีคำถาม ก่อนจะขึ้นเสียงทันที
“เมื่อกี้บอกว่าให้เริ่มงานได้เลย ฉันขับรถมาก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ และ...”
“เดี๋ยวๆ คุณๆ...” ป้องณวัฒน์รีบพูดห้าม และยกมือขึ้นโบกสะบัด
“ฟังผมพูดให้จบก่อน” รินดาทำสีหน้าไม่พอใจ
“จะเอายังไง ว่ามา...” เธอพูดแบบมองหน้าหาเรื่องเขาสุดๆ
พายเลขาของป้องณวัฒน์ที่ยกน้ำมาให้ รับรู้และสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่มาคุ และสายตาของรินดาที่มองใบหน้าเจ้านายของเธอแล้ว ดูน่ากลัวจัง พายรีบวางแก้วทั้งสองใบ ก่อนจะถอยฉากออกไปจากห้องทำงานของเจ้านายทันที
“เออ...” เขาอ้ำอึ้ง
“คือ...”
“คืออะไร?” เธอจ้องมองหน้าของเขาไม่ลดละ
สิ่งที่เขาทำกับเธอ เขาอาจจะลืม หรือเห็นว่าไม่สำคัญ สำหรับรินดามันคือความแค้นที่ฝังอยู่ในหัวใจ วันนี้เขามาสะกิดมัน ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิดจะเอาคืน
ป้องณวัฒน์แค่เห็นสายตาคู่นั้นแล้ว เขาก็เย็นสันหลังวาบๆ
“แหม... ริน” ชายหนุ่มทำเสียงอ่อยๆ สายตาอ้อนๆ นิดๆ
เธอทำท่าเบื่อหน่าย ในใจตอนนี้อยากจะพับเสื่อกลับบ้าน ไปลาออกจากที่ทำงานเสียให้รู้เรื่อง หากต้องทำงานกับนายป้องณวัฒน์
“อีกอย่าง ฉันกับคุณไม่เคยสนิทกัน อย่ามาเรียกชื่อเฉยๆ ฉันถือ” เธอพูดแบบไม่ไว้หน้า
“พูดกันเรื่องงานดีกว่าค่ะ ฉันอยากจะบอกคุณนะคะว่าฉันอึดอัดและไม่เต็มใจจะทำงานกับคุณสักเท่าไหร่”
เธอเก็บเอาของของตัวเองขึ้นมาไว้ในมือ ตัดสินใจได้ตอนนี้เลย
'ตกงานก็ตกวะ แต่ถ้าให้ทำงานกับผู้ชายคนนี้ ขอไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งดีกว่า'
“คุณรินอย่าเพิ่งกลับ โอเคๆ เรื่องงานก็เรื่องงาน คือ...”
เธอหันหน้ากลับมามองเขาทันที สายตาก็ชิงชังเหมือนเดิม และพ่นลมหายใจแสดงความอึดอัดอย่างชัดเจน
ป้องณวัฒน์หน้าจ๋อยลงไปเล็กน้อย เขาก็แอบพ่นลมหายใจออกมา แล้วลุกขึ้นยืน
‘ทำไมต้องพยายามง้องอนด้วยวะกู’ เขาคิดในใจ
“ก็...”
“เอาแบบนี้ค่ะ คุณป้องณวัฒน์ ฉันว่า...ฉันมาเริ่มทำงานพรุ่งนี้จะดีกว่า เอาที่คุณพร้อมและสะดวก เวลาของฉันมีค่าค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ พรุ่งนี้ฉันจะมาทำงานตั้งแต่เช้าเลย และจะรีบเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่คุณร้องขอ แค่ฉันขอความร่วมมืออย่างที่พูดไปนะคะ ไม่ยังงั้นฉันก็ต้องบอกพี่บอยให้เปลี่ยนคนอื่นมาทำงานแทน ขอตัวค่ะ”
รินดาไม่อยากแม้จะมองหน้าเขาอีกต่อไปในวินาทีนี้
ป้องณวัฒน์ได้แต่อ้าปากค้าง มองตามหญิงสาวที่เดินออกไปจากประตู
“เฮอะ...” เขาทำเสียงแบบนี้ออกมา
“เป็นไงไอ้ป้องมึง...”
เขาว่าให้กับตัวเอง แล้วรีบตามหลังเธอไปอย่างรวดเร็ว
“คุณรินครับ” เขายังเรียกชื่อตามหลัง รินดาแค่ได้ยินเสียงเขาก็แทบจะวิ่ง เธอเดินเร็วขึ้น ก่อนจะสะดุดก้อนหินที่ป้องณวัฒน์ให้คนนำมาปูเป็นทางเดินแล้วล้มลงไป หัวเข่ากระแทกพื้น ล้มลงไปทั้งตัว ข้าวของกระจัดกระจาย
“โอ๊ย...” เธอร้องบอกว่าเจ็บ ตอนนี้หัวเข่ามีเลือดออก
ป้องณวัฒน์รีบวิ่งเข้าไปดูเธออย่างเร็ว
“เป็นไงบ้างริน” เขาถามออกมาด้วยความเป็นห่วง แค่มือของเขาสัมผัส เธอก็ปัดออกไปในทันที
“ไม่ต้อง อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” เธอแว้ดเสียงใส่หน้าเขาทันที พอเห็นเลือดที่หัวเข่าของตัวเองก็หน้ามืดไปในทันที เธอกลัวเลือดสดๆ แบบนี้มาก รินดาหมดสติไป
“ริน...” ป้องณวัฒน์รับตัวเธอเอาไว้ ก่อนจะช้อนเธอขึ้นสู่อ้อมแขนทั้งตัว พากลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองในทันใด
พายและยามที่ยืนอยู่ด้วยกันรีบวิ่งเข้ามาช่วย
เขาสั่งเลขายกใหญ่ให้หาอุปกรณ์มาทำแผล และช่วยกันปฐมพยาบาลรินดาให้ฟื้นขึ้นมาด้วย
เมื่อลืมตาตื่นขึ้น รินดามองเห็นใบหน้าของป้องณวัฒน์อยู่ใกล้ๆ
เผียะ... เธอยังมีแรงตบหน้าของเขา ก่อนจะผลักออกอย่างแรง พายไก่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลอยตกตะลึงไปด้วย ถึงกลับอ้าปากค้าง
รินดาพยายามยักแย่ยักยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกเจ็บในหัวเข่าจี๊ดๆ
“อู้ย...” เธอร้องอุทานขึ้น พอก้มลงไปดู แผลก็ถูกปิดทับด้วยผ้าก๊อซเรียบร้อยแล้ว
“ต้องพาไปหาหมอไหมคะ” พายไก่ถามทันที
“คุณลุกไหวไหม” ป้องณวัฒน์ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“จริงค่ะ คุณริน ลองลุกดูไหมคะ เผื่อติดขัดตรงไหน รู้สึกยังไงบ้าง”
“คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันหนังเหนียว”
“คุณต้องไปให้หมอเช็กดูนะคุณ” ป้องณวัฒน์พูดขึ้นมาอีก
“อ้อ... แผลนอกกายไม่เท่าไหร่มันก็หายสนิทค่ะ แผลในใจต่างหากที่มันรักษาไม่ได้” เธอมองจ้องหน้าเขาด้วยสายตาร้ายๆ และตอนนี้พยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง และสอดส่ายสายตาหาข้าวของของตัวเอง
“อยู่นี่ค่ะ ของคุณริน” พายไก่ชี้ไปยังกองข้าวของของเธอ
“ขอบคุณนะคะ” เธอไม่อยากพูดมาก รู้สึกขายหน้ามากกว่าที่มาเป็นลมเอาตอนนี้ ทำให้เขารู้จุดอ่อนตัวเธอเองเสียได้
“หน้าคุณยังซีดๆ” ป้องณวัฒน์ยังแสดงความเป็นห่วง
“ไม่ตายง่ายๆ หรอกนะ ถ้าฉันจะตาย...”
เธอพูดเล็ดลอดไรฟัน เอื้อมมือไปหยิบข้าวของของตัวเอง
“คุณรินดาค่ะ พายจัดห้องพักเอาไว้ให้แล้วค่ะ เดี๋ยวพายไปส่งเองดีกว่านะคะบอส”
เธอรีบกันเจ้านายของเธอออก เพราะเห็นท่าทางที่รังเกียจของรินดาที่แสดงต่อป้องณวัฒน์อย่างชัดเจน
“ฉันไปหาที่พักข้างนอกดีกว่าค่ะ”
“อุ้ยได้ไงคะ ในสัญญาเรามีอยู่ค่ะ ว่าถ้าหากทางเอสพี อินทีเรียมาทำงาน ทางบริษัทเราจะเป็นคนจัดหาที่พักให้ จะให้คุณรินไปเสียเงินทำไมค่ะ มาค่ะ” เธอรีบสอดคล้องแขนของตัวเองเข้ากับแขนของรินดาทันที และมียามเข้ามาช่วยหยิบจับฉวยข้าวของของเธอเดินตามหลังผู้หญิงทั้งสองคน
ป้องณวัฒน์มองตามแล้วถอนหายใจออกมาดังๆ
‘กูทำอะไรลงไป’ เขาถามตัวเอง รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่เขาได้สร้างรอยบาดแผลให้กับรินดา
“คุณยายฮับ เมื่อไหร่แม่จะกลับมาอีก” เด็กชายริณพงศ์ถามผู้เป็นยาย คุณยาใจยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อย
“อะไรกันครับอินดี้ แม่เพิ่งไปเมื่อวานนี้เองนะ”
“คุณยายฮับ ก็อินดี้คิดถึงแม่”
“จ้ะ เดี๋ยวแม่คงโทรมาเล่านิทานก่อนนอนให้อินดี้ฟังนั่นแหละ”
“ยายฮับ วันนี้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนล้ออินดี้อีกแล้วครับ ว่าอินดี้ไม่มีพ่อกับแม่” คุณยายได้ยินถึงกลับตกใจ รีบกอดหลานชายตัวน้อยเข้าหาตัวในทันที
“ใครว่านะ ช่างปากไม่ดีนัก พรุ่งนี้ยายต้องไปคุยกับคุณครูแล้ว อินดี้มีแม่ ก็แม่รินไงครับ แล้วก็มียาย มีลุงนินท์ ป้านุช แล้วก็พี่ตัวโน้ต น้องนุงนิ้ง” คุณยายเอ่ยถึงครอบครัวของคุณลุง
“แล้วคุณพ่อละฮับ” เด็กน้อยถามคำถามที่จี้ใจดำคุณยายอีกครั้ง
“คุณพ่ออยู่บนสวรรค์ คุณพ่อมองอินดี้จากบนฟ้าโน้น”
คุณยายทำปากจู๋ ชี้ขึ้นไปบนเพดาน เด็กชายหัวเราะลั่น
“นั่นมันเพดานนะฮับ ฮาๆ” คุณยายพลอยยิ้มไปกับหลาน หัวใจสงสารแต่หลานตัวน้อยจับใจ
“อินดี้ครับ ฟังยายนะ อินดี้ห้ามถามถึงคุณพ่อ เวลาอยู่กับแม่รินนะครับ”
“ฮับผม คุณยายพูดแบบนี้เป็นครั้งที่ร้อยแล้ว” เด็กชายต่อคำ
จุ๊บ... คุณยายหอมที่หน้าผาก
“ไปอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวจะได้ทำการบ้าน แล้วยายจะให้กินข้าว”
“คุณยายฮับ อินดี้หิวอะ กินก่อนอาบน้ำได้ไหมครับ”
“ไม่ได้จ้ะ อินดี้ต้องไปอาบน้ำก่อน แล้วยายจะให้กินข้าว แล้วค่อยทำการบ้าน”
“ต่อจากนั้น อินดี้โทรหาแม่ได้นะฮับ”
“จ้ะ”
เด็กชายวิ่งฉิวเข้าห้องน้ำไปในทันที คุณยาใจมองตามหลานชายรอยยิ้มที่มีสลดลงในทันที
“อินดี้เอ๊ย...”
“ซวยจริงๆ ซวยมาก” เธอสบถออกมาเมื่อตอนอยู่คนเดียว
รินดาเดินไปที่ระเบียง ก่อนจะสไลด์ประตูบานใหญ่ใสๆ นั้นให้เปิดออก ลมยามเย็นพัดเอื่อยๆ เธอยืนกอดอกมองไปยังพื้นทะเลเบื้องล่างที่สะท้อนแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า
กริ๊ง... เสียงโทรศัพท์ในห้องพักของเธอดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ”
(“คุณเปิดประตูห้องให้ผมหน่อย ผมยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของคุณแล้ว”) เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น
“มีธุระอะไร นี่ก็เลยเวลาทำงาน ฉันเลิกงานแล้ว” เธอทำเสียงแข็งไม่เต็มใจที่จะพูดกับเขา
(“ผมเอาอาหารเย็นมาให้”) เขาพูดเสียงอ่อนอย่างใจเย็น
“ฉันไม่กิน และฉันก็ไม่หิว” พูดจบเธอทำท่าจะวางหูโทรศัพท์ลง
(“เดี๋ยวๆๆ คุณรินอย่าเพิ่งวางสาย ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ คุณเปิดประตูออกมาเอาอาหารเถอะน่า หรือว่า คุณกลัวผม”)
“ย่ะ ฉันไม่ได้กลัวคุณหรอกนะ ฉันเกลียดคุณ”
เธอประกาศเสียงดังลั่น จนป้องณวัฒน์ต้องเอามือถือออกห่างจากหู
(“คุณอย่าทำเสียงดังนะครับ โครงการของผมมีคนพักอยู่เต็ม ไอ้ที่จะรีโนเวตนะเดือนสิงหาคมนู้น ว่าแต่ว่าคุณ... เฮ้อ... ผมเอาวางไว้ที่หน้าประตูนะ”) เขาทำเป็นพูดแบบระอา ก่อนจะวางสายไป
รินดาเดินไปที่ประตูห้อง ก่อนจะเอาตาแนบไปกับตาแมวที่บานประตู ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อารมณ์ในใจยังขุ่นๆ
โครกคราก... กระเพาะอาหารกำลังส่งเสียงออกมาบอกเจ้าของร่าง
“เห็นแก่กิน” เธอก้มไปว่าให้กับท้องของตัวเอง มือก็ขยับกลอนดึงสลักที่คล้องเอาไว้ออก และหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูเข้ามา
พอประตูเปิดออกร่างใหญ่ของป้องณวัฒน์ก็ใช้ฝ่ามือดันบานประตูนั้นและแทรกตัวเข้ามาในทันที
“นี่... คุณ...” เธอเอ็ดตะโรขึ้นมาทันที ป้องณวัฒน์ก็ไม่สนใจ เดินถือถุงอาหาร
“นายป้อง...” เธอเรียกเข้าอย่างไม่เป็นมิตร สายตาเกรี้ยวกราด
“ผมรู้ว่าคุณหิว ระหว่างทางคุณขับรถมาคุณไม่ได้กินอะไรแน่ๆ ด้วยความที่คุณรีบ คุณมาสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง เลยเวลาอาหารเที่ยง อย่าบอกนะว่าไม่จริง” เขาพูดดักคอ
เดินไปหยิบเอาถ้วยจาน และข้าวของต่างๆ ที่ถูกจัดวางไว้อยู่ในที่ของมันออกมาอย่างคล่องแคล่ว เพราะเขาเป็นคนเซตอัปทุกอย่างที่นี่
“เอามาให้กิน เสร็จแล้วก็ออกไปสิ” เธอเอ่ยปากไล่เขาอีกครั้ง เดินกะเผลกๆ ตามหลังของเขาทั้งๆ ที่ยังเจ็บหัวเข่า
“คุณรินดาครับ ผมซื้อมาตั้งเยอะแยะ ผมตั้งใจจะมากินด้วยกับคุณ”
“ฉันกินไม่ลงหรอก ถ้าเห็นหน้าคุณแบบนี้ แค่หายใจใช้อากาศร่วมกับคุณแล้ว ฉันเหมือนอยากจะกลั้นใจตาย”
เธอพูดจริงๆ เดินไปเดินมา ก่อนจะสะบัดตัวหมุนไปยังระเบียงสูดอากาศบริสุทธิ์ เพราะโกรธเกลียดเขาจนหายใจไม่ออกจริงๆ
ป้องณวัฒน์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มันก็สมควรหรอกที่รินดาต้องเกลียดชังเขา
เขาจัดการอาหารที่ซื้อมาแล้ว ใส่ถ้วยจาน ก็ออกมาตามเธอถึงข้างนอก
“คุณ... เราต้องทำงานด้วยกันอีกหลายวันนะ ยังไงญาติดีกับผมสักนิดไม่ได้เหรอ”
รินดาพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง หลับตาสนิทก่อนจะกะพริบติดๆ กันหลายครั้ง
“คุณป้องณวัฒน์” เธอเรียกชื่อเขาเสียเต็มยศ แล้วหันมาเผชิญหน้า
“ที่จริง งานนี้เป็นงานของพี่ต่อ ถ้าคุณทำให้ฉันอึดอัด ฉันจะถอนตัว” เธอว่าใส่หน้าของเขาแบบไม่เกรงใจ สายตาเหมือนจะฟาดฟันให้ป้องณวัฒน์ตายไปให้ได้ตรงนั้น
“ริน...” เขาทำเสียงอ่อย ฉวยข้อมือของเธอทันที ก่อนจะรวบร่างที่เซๆ เข้ามาหา สอดแขนรั้งเธอขึ้นสู่อ้อมแขน พาเธอกลับไปนั่งที่โต๊ะกินอาหารที่เขาจัดการเรียบร้อยแล้ว
“เอ๊ะ... นายเนี่ย พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม” เขารัดร่างของเธอแน่นเข้าไปอีก จ้องตาแบบเข้มๆ ริมฝีปากเม้มปิดสนิท
“โอเค คุณต้องกินข้าว ต้องกินยา ผมรู้ว่าคุณโกรธและเกลียดผม” เขาพูดแทงใจดำ
รินดาสะบัดหน้าไปอีกทาง
โครกคราก... ท้องเจ้ากรรมก็ดันทำเสียงดังขึ้นมาจนน่าเกลียด ป้องณวัฒน์ส่งยิ้มให้ เธอขบเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองทันที
‘ไอ้ท้องบ้า จะร้องขึ้นมาทำไมตอนนี้’
ป้องณวัฒน์ไม่สนใจเขาก้าวขาอุ้มพาร่างของเธอวางลงไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
“นั่งลง แล้วกินซะ”
เขาออกคำสั่งเสร็จ เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาเทรินใส่แก้วไว้ให้
“พอคุณกินอิ่ม น้ำคงหายเย็น เดี๋ยวผมค่อยจัดการให้แม่บ้านเอาน้ำดื่มที่ไม่เย็นมาให้” เขาพูดเหมือนใส่ใจว่าเธอไม่ดื่มน้ำเย็น
อาหารที่จัดใส่จานเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งไปหมด รินดากลืนน้ำลายลงคอ ตอนนี้ท้องไส้ก็ร้อนรนอยากให้เจ้าของร่างพาอาหารเหล่านั้นลงไปในคอ
ป้องณวัฒน์ยัดช้อนกับส้อมใส่ไปที่มือของเธอ แล้วเขาก็เดินไปนั่งอยู่เก้าอี้ตรงกันข้าม และเริ่มตักอาหารใส่ในจานข้าวของรินดา และตักกินไปเงียบๆ
“ชิ...” เธอยังทำเสียงขึ้นจมูกประชดประชันเขา จำใจตักข้าวใส่ปาก เพราะตอนนี้เริ่มหิวจัดเอามากๆ
“อร่อยไหม” เขาถาม
“ถ้าคุณจะกินไปอย่างเงียบๆ ทำเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้จะดีมากๆ” เธอสวนน้ำคำกลับไปในทันที
“เฮ้อ...” ป้องณวัฒน์ถอนหายใจเสียงดังให้เธอได้ยิน เขากินข้าวไปมองพิศใบหน้าของรินดาไปด้วย
หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด เธอรู้ว่าเขามองจ้องตลอดเวลา รินดารีบกินให้เสร็จๆ จนสำลัก
แค่ก แค่ก แค่ก... เธอทำเสียงไอ แล้วรีบยกน้ำขึ้นมาดื่ม
ป้องณวัฒน์ลุกขึ้นมาลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง เธอเหมือนอยากจะปัดสะบัดมือใส่เขา ตอนนี้ก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริงๆ
“จะรีบไปไหนกัน” ชายหนุ่มตำหนิ เธอส่งสายตามองค้อน ก่อนจะหยิบทิชชูมาซับน้ำตา แล้วก็พานอิ่มไปเสียดื้อ
