ตอนที่ 8 ลูบคมพญามาร
8
ลูบคมพญามาร
บนชะง่อนหินผาที่ยื่นออกไปเบื้องล่างเป็นเหวลึก ร่างสูงของภูผายืนจังก้าท้าลมแรงที่กระทบผิวกาย ดวงตาคู่คมทอดมองลงไปยังยอดต้นไม้ที่อยู่เบื้องล่าง ข่าวที่ได้ยินและรับรู้มานั้นไม่ได้สร้างความกังวลให้ชายหนุ่ม แต่ถ้าเขาทำนิ่งเฉยต่อไปไอ้พวกคนชั่วพวกนั้นก็จะได้เหิมเกริมขึ้นกว่าเก่า เสียงฝีเท้าที่หยุดยืนอยู่ด้านหลัง ทำให้ภูผาหันกลับไปทันที
“นายหัว หมามันเริ่มขยับตัวแล้ว” ศิลาบอก
“หมาอย่างไอ้เมฆา มันคงขยับตัวได้ไม่กี่ก้าวหรอก”
“แต่ถ้าเรายิ่งนิ่งเฉย หมามันจะยิ่งได้ใจ”
“มันเอาของๆ เรา ไปเท่าไหร่”
“ไม่มาก เพราะยังไม่มีโอกาสนัก”
“สั่งคนของเราให้เฝ้ามันไว้ให้ดี ถ้ามันเปลี่ยนจากขยับเป็นก้าวเมื่อไหร่ เราจะจัดการมันทันที”
“แล้วของที่มันได้ไปล่ะ”
“ปล่อยให้มันคาบเล่นไปก่อน”
ศิลาก้มหน้ารับคำ ก่อนจะถอยหลังออกไปเงียบๆ
ภูผากำลังนึกถึงหมาลอบกัดอย่างเมฆา ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ความเลวก็ไม่เคยลดลง
เมฆา พงศ์ภักดี มีศักดิ์เป็นน้องชายของภูผา เป็นบุตรของนายณรงค์กับนางมิ่งขวัญ ซึ่งเป็นอดีตภรรยาคนที่สองของบิดา แต่เพราะความไม่รักดี นางมิ่งขวัญแอบไปคบชู้สู่ชายกับนายณรงค์ จนได้ให้กำเนิดเมฆาออกมา และอ้างว่าเป็นลูกของนายหัวภูศิษฐ์ แต่นายหัวภูศิษฐ์ไม่ใช่คนโง่ จึงส่งเมฆาไปตรวจดีเอ็นเอและก็ได้รับรู้ความจริงว่าเมฆาไม่ใช่ลูก นางมิ่งขวัญจึงถูกขับไล่ออกจากบ้านไปพร้อมกับเมฆา
จากเด็กน้อยที่เติบโตเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ เมฆาได้เข้าร่วมทำธุรกิจเหมืองแร่กับนายวีระ ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองแร่เล็กๆ ความโลภของนายวีระทำให้หลงเชื่อคำโกหกหลอกลวงของเมฆาว่าจะสามารถทำให้เหมืองเล็กๆ เปลี่ยนเป็นเหมืองใหญ่ให้เทียบเท่าเหมืองชัยเชษฐ์ให้ได้ แต่เมื่อใช้วิธีการบริหารงานอย่างปกติธรรมดาไม่ได้ เมฆาก็หันมาใช้วิธีของหมาลอบกัด ความโกรธแค้นที่มีต่อครอบครัวชัยเชษฐ์ ทำให้เมฆาพาพรรคพวกลักลอบเข้ามาขโมยแร่ทุกชนิดที่มีอยู่ในเหมืองชัยเชษฐ์ไปทีละนิด เพราะคิดว่าพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของเหมืองชัยเชษฐ์จะทำให้ภูผาดูแลได้ไม่ทั่วถึง
แต่เมฆาคิดผิด พญามารอย่างภูผาหูตากว้างไกลนัก แถมยังมีเขี้ยวเล็บที่แหลมคมเกินกว่าจะต้านทานได้เสียอีก เพียงแต่พญามารแห่งตอนนี้ยังไม่เคยได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ใครเห็นเท่านั้น
พิมพ์มาดาเดินโขยกเขยกวนไปวนมาอยู่ในบ้านหลังเล็ก เธอกำลังเหงาเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง หญิงสาวชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก แต่ก็ไม่พบเงาของใครบางคนที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวใจดวงน้อยโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวเดินกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เอนกายลงนอน เมื่อคิดว่าได้นอนหลับตาลงคงจะดีกว่าที่มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใคร
เสียงเปิดประตูเข้ามาเบาๆ ทำให้เปลือกตาบางกะพริบเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้น หญิงสาวมองไปที่ประตูด้วยความยินดี แต่แล้วรอยยิ้มที่กำลังจะแย้มออกก็ต้องหุบลงเมื่อเห็นคนที่ผ่านประตูเข้ามา
“ว้าว...สวยสมกับเป็นนางฟ้าจริงๆ” ไอ้สินที่ก้าวนำหน้าไอ้แกะและพรรคพวกอีก 2 คนเข้ามา ยกมือขึ้นลูบปากของตนไปมา ดวงตาเบิกโตพราวระยิบระยับน่าเกลียด
“พวกแกเป็นใคร เข้ามาในนี้ทำไม” พิมพ์มาดาร้องถามออกไปเสียงหลง ร่างบางถอยกรูดจนหลังชนผนังห้องด้วยความหวาดกลัว
“พวกพี่ก็จะมาชวนนางฟ้าไปเที่ยวสวรรค์น่ะสิจ๊ะ” ไอ้สินตอบ พลางก้าวย่างสามขุมเข้ามาหา
ความเล็กและคับแคบของห้องทำให้พิมพ์มาดาไม่มีทางหนีไปไหนได้พ้น
“อย่าเข้ามานะ” เมื่อไม่มีทางหนี หล่อนก็ตะโกนขับไล่แทน
ไอ้สินหัวเราะลั่น มันยื่นมือหยาบกระด้างมาแตะต้องผิวเนียนบริเวณข้อเท้าบาง หญิงสาวชักเท้าหนีทันทีด้วยความรังเกียจ กับคนพวกนี้แค่แตะต้องนิดเดียวหล่อนก็รังเกียจจนแทบผวา แต่กับสัมผัสของภูผาไม่ว่าจะรุนแรงเพียงใด เธอเองก็ยังไม่นึกรังเกียจเท่านี้
“ถ้าพี่ไม่เข้ามาแล้วพี่จะได้ตัวนางฟ้าเหรอจ๊ะ” มันบอกก่อนจะหัวเราะลั่นอีกครั้ง
“ถ้าแกทำอะไรฉัน นายหัวไม่ปล่อยแกไว้แน่” พิมพ์มาดาเอาภูผาขึ้นมาอ้าง หวังจะให้ชื่อเขาช่วยเป็นเกราะกำบัง
“เสียใจด้วยนะนางฟ้า ตอนนี้นายหัวกับนายหินไม่อยู่หรอก อีกอย่างพวกพี่คงใช้เวลาไปเที่ยวสวรรค์ไม่นานเท่าไหร่และนายหัวก็คงไม่รู้” มันบอก
“ออกไปนะ ออกไปสิ ฉันบอกให้ออกไปไงล่ะ” พิมพ์มาดาตะโกนไล่พวกมันอีกครั้ง
“จะออกไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์เลย” ไอ้สินบอก มือหยาบกระด้างคว้าหมับที่ข้อเท้าเรียว แล้วกระชากแรงๆ ทีเดียว ร่างบางของพิมพ์มาดาก็ปลิวหวือเข้าไปหา
“ว๊าย!” หญิงสาวกรีดร้องอย่างตกใจ
ไอ้สินไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีก มันตะปบมือหนาลงบนทรวงอกอวบ และคลึงเคล้นอย่างรุนแรง หญิงสาวยกเท้าถีบที่ยอดอกของไอ้สิน มันเซถลาไปนิดนึงก่อนจะกลับมาอีกครั้ง มือหยาบบีบกระพุ้งแก้มเนียนเอาไว้จนหญิงสาวคิดว่าขากรรไกรอาจหัก หล่อนเจ็บปวดไปทั่วทั้งปากจนน้ำตาแทบร่วง
“ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก พี่จะจัดให้”
ไอ้สินกระโจนขึ้นคร่อมร่างบางเอาไว้บนเตียงเล็ก มันกระชากเสื้อคอกระเช้าที่พิมพ์มาดาสวมจนขาดติดมือ หญิงสาวร้องเสียงหลง แต่เสียงร้องก็หายเข้าไปในลำคอของไอ้สิน เมื่อมันฉกปากหนาๆ ดำๆ วูบเข้ามาอย่างรุนแรง พิมพ์มาดากัดลิ้นของไอ้สินเข้าเต็มแรง เมื่อมันส่งลิ้นเข้าไปในโพรงปากนุ่มของหล่อน
“โอ๊ย!” ไอ้สินร้องลั่นสะบัดหน้าหนี เลือดไหลออกมาจากลิ้นของมันทันที
“ดีชอบแรงๆ ก็ดี กูจะได้ไม่ต้องถนอมให้เสียเวลา”
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย” พิมพ์มาดาตะโกนร้องเรียกให้คนช่วยสุดเสียง หวังให้เสียงของเธอได้ยินไปถึงหูใครบางคน และเข้ามาช่วยเธอได้ทันเวลา
“เฮ้ย! จะแหกปากร้องทำไมวะ เปลี่ยนเป็นเสียงครางดังๆ ดีกว่า” ไอ้สินเอาเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งมาปิดปากพิมพ์มาดาเอาไว้
“แม่เจ้าว้อย...สวยจริงๆ เลยว่ะ” ไอ้แกะบอก
“โอ้ย...กูทนไม่ไหวแล้วว้อย” ไอ้สินบอกพรรคพวกของมัน และหันมากระชากกางเกงที่หญิงสาวสวมอยู่ออก แต่ร่างบางยังมีชั้นในบางเบาปกปิดความงามเบื้อล่างเอาไว้
“โอ้...นางฟ้า นางฟ้าของไอ้สิน” มันครวญครางออกมาอย่างย่ามใจ
ดวงตาคู่สวยของพิมพ์มาดาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวสุดขีด หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำรัวด้วยความกลัว ร่างบางเกร็งค้างนิ่งสนิท
และแล้วยังไม่ทันที่ไอ้สินจะได้ลงมือ
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” เสียงมัจจุราชในมือพญามารดังรัวขึ้น ดวงตาของไอ้สินเบิกโพลง เลือดสีข้นพุ่งออกมาจากหน้าผาก ก่อนจะล้มทับไปบนร่างบางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง พร้อมๆ กับร่างลูกสมุนเดนนรกที่เหลืออีก 3 คน สวรรค์ของไอ้สินและพรรคพวกเปลี่ยนเป็นนรกอเวจีในทันที
ภูผาจัดการเหน็บมัจจุราชสีเงินวาวเข้าที่เอวด้านหลัง เขาดึงร่างของสัตว์นรกอย่างไอ้สินออกจากร่างบางและเหวี่ยงออกไปให้พ้นทาง ชายหนุ่มตวัดผ้าห่มมาคลุมร่างบางเอาไว้และปลดผ้าที่ปิดปากของเธอออก
“พิมพ์มาดา” ภูผาเรียกหญิงสาว
ร่างบางที่นอนตาค้างไม่มีปฏิกิริยารับรู้ใดๆ เลยนั้นทำให้ภูผาใจเสีย
“พิมพ์มาดา ได้ยินฉันมั้ย” เขาเขย่าร่างบางแรงๆ และเรียกหญิงสาวซ้ำอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม ชายหนุ่มหันขวับไปหาศิลาที่ยืนอึ้งอยู่ด้านหลัง
“หิน ตามหมอมาเร็วเข้า” ภูผาบอก แล้วศิลาก็ได้สติวิ่งออกไปตามหมอทันที
ภูผาจัดการห่อร่างบางเอาไว้ และอุ้มพาเดินตรงไปที่บ้านใหญ่ของเขา ไม่กี่นาทีต่อมาหมอก็มาถึง หมอวิชัยจัดการตรวจร่างกายอย่างละเอียดแต่หวาดหวั่นตลอดเวลา เพราะมีสายตาคมที่คอยจ้องมองอยู่ไม่ห่าง ร่างบางไร้การตอบสนองเพราะเกิดอาการหวาดกลัวสุดขีดจนช็อกไป
“เอ่อ...เธอช็อกไปน่ะครับ ผมให้ยาระงับประสาทแล้ว ปล่อยให้เธอได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาคงดีขึ้น แต่...”
“แต่อะไรหมอ”
“แต่ว่า...แรกๆ เธออาจจะเบลอๆ ไม่รับรู้อะไร เพราะความกลัวที่ยังคงอยู่ในจิตใจ เรา...เอ่อ...หมายถึงนายหัวจะต้องคอยปลอบใจเธอ และต้องทำให้เธอหายหวาดกลัวให้ได้”
“แล้วร่างกายล่ะ”
“ร่างกายภายนอกไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง อาจจะมีรอยฟกช้ำดำเขียวบ้างแต่ไม่นานก็คงดีขึ้น ส่วนภายใน...”
“พอแล้ว หินจัดการส่งหมอ” ภูผาหันไปสั่งศิลา หมอวิชัยรีบเก็บสัมภาระลงกระเป๋า แล้วรีบออกไปทันที
ภูผานั่งลงบนเตียงกว้างภายในห้องของเขา และยกมือขึ้นลูบไล้เบาๆ ที่รอยแดงบนแก้มนวล เขาไม่ได้นึกเสียใจเลยที่ทำการปลิดชีวิตไอ้สัตว์นรกทั้ง 4 คน มันสมควรตาย!
ชายหนุ่มก้มลงจุมพิตแผ่วเบาที่เปลือกตาบางทั้งสองข้าง ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงจับหัวใจ
“ฉันขอโทษที่ปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว” ภูผากระซิบบอกเบาๆ ก่อนจะกดจุมพิตลงที่ริมฝีปากนุ่ม ดวงตาคมกริบยังมีเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่ลุกโชติช่วงอยู่ไม่เสื่อมคลาย
ภูผาลุกขึ้นจากเตียงนุ่มและหันไปมองร่างบางที่นอนนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
“จัดการเอาไก่ที่เชือดแล้วให้ลิงดู จากนั้นก็อย่าให้มันได้ผุดได้เกิดอีก”
เสียงเข้มทรงอำนาจประกาศกร้าว บุรุษหนุ่มทั้ง 5 คน ในชุดสีทึมๆ รับคำ ก่อนจะถอยหลังจากไป
“หิน ต่อไปนี้พิมพ์มาดาจะต้องอยู่กับฉันที่นี่ ใครที่มันกล้าต่อกรกับฉันอีก มันต้องตาย” ภูผาสบตากับดวงตาคมของศิลา “ประกาศให้คนงานทุกคนได้รู้ไว้ หวังว่าคงไม่มีการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นครั้งที่สองอีก”
“ครับ” ศิลารับคำและปรายตาคมไปมองประตูห้องนอนของภูผาที่ปิดสนิท ด้วยความเป็นห่วงคนข้างใน
เช้าวันต่อมา ร่างบางของพิมพ์มาดายังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงกว้าง ภูผากุมมือนุ่มเอาไว้ เขารู้สึกสงสารหญิงสาวจับใจ และโทษตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาเอง ถ้าเขาไม่จับตัวหญิงสาวมาขังไว้ ถ้าเขาไม่ไว้ใจนักสืบมากเกินไป ถ้าเขาเป็นคนไปเฝ้าดูตามหาวีรดาด้วยตัวเอง พิมพ์มาดาคงไม่ต้องมารับเคราะห์แทนวีรดาแบบนี้
“นายหัว”
ภูผาหันไปตามเสียงเรียกใสๆ ของมณีริน
“น้ำค้าง เธอคอยดูแลพิมพ์มาดาเอาไว้ไม่ต้องเข้าเหมือง แล้วถ้าเธอฟื้นก็รีบบอกฉันทันที”
มณีรินพยักหน้าหงึกหงักรับคำ และร่างสูงของภูผาก็เดินผ่านหล่อนออกไป
มณีรินเดินไปที่เตียงกว้าง สาวน้อยจ้องมองร่างบางของพิมพ์มาดาที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง พวงแก้มนวลนั้นมีรอยแดงเป็นปื้น ที่ข้อมือบางมีรอยเขียวช้ำทั้งสองข้าง ไม่บอกก็รู้ว่าพิมพ์มาดาต้องพบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต น่าสงสารเธอจริงๆ
สายๆ ของวันนั้น ร่างบางของพิมพ์มาดาก็เริ่มรู้สึกตัว หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้น เมื่อภาพของสัตว์นรกที่อยู่เหนือร่างของเธอฉายเข้ามาในความทรงจำ
“กรี๊ด”
เสียงกรีดร้องเสียงดังลั่นของพิมพ์มาดา ทำให้มณีรินตกใจแทบทำอะไรไม่ถูก
“กระถิน กระถิน” มณีรินรีบจับมือบางที่ยกขึ้นกำแน่นเอาไว้ แต่พิมพ์มาดาก็สะบัดหลุด ความกลัวที่ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจดวงน้อย ทำให้หญิงสาวมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้นจนมณีรินเองก็เอาไว้ไม่อยู่
“กระถิน นี่น้ำค้างเองนะ น้ำค้างไง” มณีรินพยายามบอก
พิมพ์มาดาไม่ได้รับรู้ในถ้อยคำของมณีริน หล่อนไม่ได้เห็นมณีริน แต่กำลังเห็นไอ้สัตว์นรกทั้ง 4 อยู่ตรงหน้า หญิงสาวดิ้นรนหนีอย่างทุรนทุราย หญิงสาวลุกพรวดวิ่งไปผลักร่างบางของมณีรินจนเซล้มลง และวิ่งออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่บาดแผลที่เท้าบางก็ยังเจ็บอยู่ แต่พิมพ์มาดาไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บที่เท้า หล่อนกำลังเจ็บที่หัวใจซึ่งเป็นแผลเหวอะหวะและกำลังกลัดหนอง
ร่างบางวิ่งหลุนๆ ไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง รับรู้แต่เพียงว่าต้องวิ่งต้องหนีไปให้พ้นเท่านั้น
“นายหัว นายหัว” มณีรินขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ ที่หยิบยืมคนงานด้วยกันมาเรียกผู้เป็นเจ้านาย
“มีอะไรน้ำค้าง” ภูผาเห็นท่าทีกระวนกระวายของมณีริน จึงรีบถาม
“กระถิน...กระถินหนีไปแล้วนายหัว”
จบคำของมณีริน ภูผาก็วิ่งไปที่คอกม้าแล้วดึงเจ้าสายฟ้า ม้าตัวโปรดตัวใหญ่สีดำมีแผงที่คอสีขาวออกมาจากคอก ก่อนจะดีดตัวขึ้นขี่และควบออกไปอย่างรวดเร็ว
พิมพ์มาดาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เท้าบางๆ ไร้รองเท้าห่อหุ้มนั้นมีเลือดไหลออกมาจนชุ่มผ้าพันแผล หลายครั้งที่ต้องสะดุดรากไม้ล้มลง แต่หญิงสาวก็ทรงตัวลุกขึ้นและวิ่งต่อไปทันที เสียงฝีเท้าของม้าที่ดังตามหลังมานั้นทำให้หญิงสาวเร่งความเร็วยิ่งขึ้น เท้าบางๆ สะดุดก้อนหินก้อนใหญ่ปลิวถลาลงสู่พื้นดิน แต่ก่อนที่จะทันถึงพื้นดิน ร่างบางก็ลอยหวือขึ้นไปอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่
พิมพ์มาดาเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มของภูผา หล่อนเหมือนจะจดจำเขาได้เพราะเรียวปากนุ่มเกือบยิ้มออกมาให้เขา แต่แล้วหญิงสาวก็กรีดเสียงร้องออกมาอีกครั้ง
“กรี๊ด กรี๊ด”
“พิมพ์มาดา...ฉันเองนะ ภูผาไงล่ะ” ภูผาเรียกสติหล่อน เขาจำต้องหยุดเจ้าสายฟ้าลง และหันมารวบร่างบางไว้เต็มวงแขน เมื่อหล่อนดิ้นรนไปมาจนน่ากลัวว่าจะพลัดตกจากหลังม้า
“พิมพ์มาดา” ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือทั้งสองโอบแก้มนวลไว้แน่น และบังคับฝืนให้เธอมองเขา “มองฉันให้ดีสิพิมพ์มาดา ฉันภูผาไงล่ะ”
พิมพ์มาดาส่ายหน้าไปมา มือบางยกขึ้นทุบตีไปทั่วร่างแกร่ง ภูผาต้องจับหญิงสาวให้นั่งคร่อมหันหน้าเข้าหาเพื่อกันไม่ให้หล่อนดิ้นจนตกม้า
“พิมพ์มาดา...พิมพ์มาดา...มองฉัน จำฉันได้มั้ย ฉันภูผาไง ภูผา นายหัว นายหัวภู” ภูผาไม่อินังขังขอบกับปลายเล็บแหลมคมของหล่อนที่จิกทึ้งข่วนไปทั่วอกกว้างและต้นแขนแข็งแรง
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้านวล เขามองจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตื่นตระหนกและเสียขวัญ
“คนดี...จำฉันได้รึยัง ฉันนายหัวภูผา”
ภูผากดจุมพิตแผ่วๆ ลงกับเรียวปากอิ่ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาหล่อนอีกครั้ง
ชายหนุ่มพยายามทบทวนความทรงจำของหญิงสาวด้วยจุมพิตที่อ่อนหวาน และลดเลือนความหวาดกลัวด้วยความอ่อนโยน
“ฉันภูผาไงคนดี คนที่ทำแบบนี้” เขากดจูบลงไปเบาๆ
“แบบนี้” และเพิ่มแรงกดมากขึ้น
“แบบนี้” ภูผาไล้ริมฝีปากนุ่มด้วยปลายลิ้นอุ่น เมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวเริ่มผ่อนคลายลง
“แบบนี้” เขาค่อยๆ สอดแทรกปลายลิ้นอุ่นเข้าไปในโพรงปากนุ่ม เมื่อพิมพ์มาดาเผยอริมฝีปากออก มือบางค่อยๆ คลายเล็บที่จิกทึ้งต้นแขนแข็งแรงออก
“และแบบนี้” เขาถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง และจับมือบางขึ้นมาจูบที่ปลายนิ้วเรียวบาง
สัมผัสที่อ่อนโยนอย่างยิ่งยวดนั้น ทำให้ภาพของภูผาเริ่มปรากฏขึ้นในมโนภาพของหญิงสาว
“ภูผา...นายหัว...” พิมพ์มาดาค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ
“ใช่...นายหัวภู” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะรวบร่างบางเข้าไว้ในวงแขนแข็งแรง
“ภูผา” พิมพ์มาดาพึมพำเรียกชื่อชายหนุ่ม หล่อนโอบมือไปรอบแผ่นหลังกว้างและซุกหน้าลงกับอกกว้างกำยำของเขาน้ำตาใสๆ ไหลออกมาราวทำนบแตก จนเสื้อเชิ้ตที่ชายหนุ่มสวมชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
“ร้องเถอะคนดี ร้องซะให้พอ เพราะต่อไปนี้เธอจะไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ฉันจะไม่มีวันให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเธออีกเป็นอันขาด” ภูผาลูบแผ่นหลังบอบบางที่สั่นสะท้านและสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร
“พะ...พวกมัน กลัว...กลัว...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นน้ำตานองหน้าและละล่ำละลักบอกเขา
“ไม่ต้องกลัวแล้วนะคนดี พวกมันลงนรกไปแล้วล่ะ” เขากระซิบบอก กดริมฝีปากกับเรือนผมนุ่มสลวยหนักๆ
“ตาย?”
“ใช่ พวกมันตายหมดแล้ว และจะไม่มีวันได้ลุกขึ้นมาทำร้ายเธออีกแน่นอน” ภูผาดันร่างบางให้ออกห่างนิดนึง เพื่อจะมองใบหน้างามและดวงตาคู่สวย เขายังคงเห็นความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ภูผา” พิมพ์มาดาเบียดร่างเข้าหาร่างแกร่ง หล่อนกำลังเห็นเขาเป็นเกราะป้องกันภัย และภูผาก็พอใจจะให้เป็นแบบนี้
ชายหนุ่มกระตุกเจ้าสายฟ้ากลับไปทางเก่าอย่างไม่รีบร้อน โดยที่ร่างบางยังคงเกาะกอดซุกซบกายแกร่งตลอดเวลา ภูผากรอกตาขึ้นมองบนท้องฟ้า รู้สึกพอใจที่เธอไว้ใจเขาแต่ร่างกายของเขากลับเริ่มมีปฏิกิริยาต่อร่างบางที่แนบชิดนี่สิ เขาอยากจะบ้า
ภูผาควบม้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบ้านพัก ก็เห็นมณีรินและศิลายืนรออยู่อย่างเป็นห่วง
ศิลาส่งมือให้พิมพ์มาดาเพื่อช่วยหญิงสาวให้ลงจากหลังม้า แต่เพียงแค่เห็นมือหญิงสาวก็ผวาเข้ากอดเอวหนาของภูผาไว้แน่น ศิลาถึงกับหน้าเสียกับท่าทีที่หวาดกลัวของเธอ
ภูผาจ้องตาศิลา ก่อนจะส่งสายตาให้ศิลาขยับหนี ศิลาก็พาร่างสูงถอยฉากออกไปจนไกล ภูผาดันร่างบางออก ก่อนจะตวัดขายาวๆ ลงที่พื้นและยกมือรับร่างบางที่ทิ้งตัวลงมาหา เขาอุ้มพิมพ์มาดาเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องนอนและวางร่างบางลงบนเตียงนุ่ม จัดการทำความสะอาดบาดแผลเก่าและใหม่ที่เท้าบาง และใส่ยาให้ก่อนจะพันผ้าปิดไว้เรียบร้อย
ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้นห้อง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน มือใหญ่ยกขึ้นปัดปอยผมที่ระไปตามใบหน้านวลออก เขายิ้มบางๆ ให้พิมพ์มาดา
“เธอต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะความซนของเธอทำให้มันเลอะไปหมดแล้ว” เขากระซิบบอก
“ไว้ใจฉันหรือเปล่า”
พิมพ์มาดาพยักหน้าให้ทันที ภูผายิ้มกว้าง มือใหญ่ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่พิมพ์มาดาสวมทีละเม็ดและค่อยๆ ปลดออกจากร่างบาง ความงดงามเย้ายวนตาตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง เขาค่อยๆ ปลดกางเกงของเธอออกและเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูเปียกน้ำในมือ
ภูผาบรรจงเช็ดเบาๆ ไปตามร่างงามที่กระตุ้นเลือดหนุ่มให้ร้อนระอุ หญิงสาวมองจ้องทุกการกระทำของเขา ถ้าหล่อนมีสติสัมปชัญญะรับรู้ที่ดีกว่านี้ เขาก็คงยินยอมทำตามใจตัวเองแน่ แต่พิมพ์มาดาในตอนนี้ เห็นเขาเป็นแค่เกราะกำบังเท่านั้น และเขาก็ยังไม่อยากทำลายความไว้วางใจที่เธอมอบให้เสียด้วย
เมื่อผ่านขั้นตอนการเช็ดตัวที่แสนทรมานสำหรับภูผา ชายหนุ่มก็จัดการสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หญิงสาวจนเสร็จ เขาก็จัดการผ่อนร่างบางลงนอน พิมพ์มาดาไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ภูผาดึงผ้าห่มคลุมร่างบางให้เรียบร้อยและกดจุมพิตลงบนเรียวปากนุ่มหนักๆ ก่อนจะถอนออกช้าๆ
พิมพ์มาดาเรียกชายหนุ่มเอาไว้ เมื่อภูผาทำท่าจะออกจากห้องไป
“ภูผา”
ภูผาต้องเดินกลับมาส่งยิ้มละไมให้หญิงสาว
“เดี๋ยวมานะคนดี แป๊บเดียวนะ” เขาบอก
พิมพ์มาดาเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็ไม่ได้ห้ามเขาไว้ ภูผาจึงเดินออกไป
“น้ำค้าง ไปบอกนายหินว่าดูแลงานในเหมืองแทนฉันไปก่อนใน 23 วันนี้ เพราะพิมพ์มาดาไม่ไว้ใจใครนอกจากฉัน และฉันก็ยังไม่อยากเสี่ยงให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อกี้นี้อีก”
“ค่ะ นายหัว”
