ตอนที่ 7 ก้มหน้ารับกรรม
7
ก้มหน้ารับกรรม
วีรดายังไม่เลิกตามติดทินวิทย์ แม้จะถูกเขาขับไล่ไสส่งหลายต่อหลายครั้ง เธอยอมรับกับตัวเองว่ารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกินอย่างที่ไม่เคยรักใครได้มากขนาดนี้มาก่อน ทินวิทย์มอบบทรักร้อนแรงให้ทุกครั้ง จนเธอครวญครางและกรีดร้องไปด้วยความสุขสม และวีรดาก็ไม่อยากให้ทินวิทย์ร่วมรักแบบนั้นกับผู้หญิงคนไหนอีก ถ้าเธอรู้ว่ามีใครที่ทำให้ทินวิทย์นอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงได้เหมือนเธอ เธอจะตามไปฆ่าทิ้งให้สิ้นซาก
หญิงสาวมาพบทินวิทย์ที่คอนโด แต่พอชายหนุ่มเปิดประตูออกมาพบว่าเป็นเธอ เขาก็ทำหน้าเบื่อหน่ายกับความเป็นคนจอมตื้อของวีรดา ทินวิทย์ถอนหายใจออกมาแรงๆ และส่ายหน้าไปมาน้อยๆ
“นี่...ต้นอ้อ เธอไม่คิดจะทำมาหากินบ้างเลยรึไง มาตามติดฉันแจแบบนี้ว่างนักหรือไง ฉันเบื่อและรำคาญเธอเต็มทนแล้วนะ”
“คุณทิน ต้นอ้อรักคุณ จะให้ต้นอ้อบอกกี่ครั้งกันคะ คุณถึงจะเชื่อ”
“แต่ฉันไม่ได้รักเธอ” ทินวิทย์สวนกลับทันควัน
“คุณรักนังกระถินใช่มั้ย คุณรักมันได้ยังไงคะ”
“หึ เธอคิดว่าฉันจะทนรอน้องเธอกลับมางั้นสิ ถึงตอนนั้นฉันจะบอกว่ารักกระถิน แต่ความรักของฉันมันก็มีขีดจำกัด ตอนนี้น้องเธอจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้ หายไปหลายวันแล้ว กลับมาจะยังมีสภาพเหมือน เดิมรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วเธอคิดว่าคนอย่างฉันจะทนรอน้องเธอกลับมา และจะยังรักน้องเธอเหมือนที่พูดเหรอ”
วีรดารู้สึกว่าตนเองตามคนตรงหน้าไม่ทันเลยจริงๆ เขาเป็นคนโลเล รักง่ายหน่ายเร็วขนาดนี้เลยเหรอ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังบอกว่ารักพิมพ์มาดาอยู่เลย แต่มาวันนี้เขาบอกว่าไม่ทนรออีกแล้ว นี่มันอะไรกัน ผู้ชายตรงหน้าเคยรักใครจริงจังบ้างไหมนี่
“แต่คุณบอกว่า คุณจะออกตามหานังกระถินนี่นา เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง แล้วทำไม...”
“ก็ฉันบอกเธอแล้ว อย่าคิดว่าคนอย่างฉันจะทำตามที่พูด น้องสาวของเธอสวยขนาดนั้น ถึงกลับมาก็คงไม่เหลือพรหมจรรย์ไว้ให้ฉันแล้วล่ะมั้ง แล้วจะมีค่าอะไรล่ะ ผู้หญิงที่ฉันจะแต่งงานด้วย จะต้องเป็นสาวพรหมจรรย์เท่านั้น อย่างเธอน่ะต้นอ้อมันไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันต้องการจะทำเมียเลย เธอเลิกคิดและเลิกตามตอแยฉันสักทีเถอะ ฉันเบื่อและรำคาญเธอเต็มทีแล้ว” ทินวิทย์กระแทกประตูปิดใส่หน้าวีรดา อย่างไม่เกรงใจหรือไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย
วีรดากำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์ความโกรธ นี่เธอไปหลงรักผู้ชายแบบนี้ได้ยังไงกัน ผู้ชายที่ไม่เคยรักใครจริงนอกจากรักตัวเอง ผู้ชายกลับกลอกล่อหลอกผู้หญิงไปวันๆ หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงคอ และเดินคอตกจากไปเงียบๆ
ศิลาวางโทรศัพท์ในมือลงเมื่อการสนทนาสิ้นสุด ก่อนจะเดินตัวตรงไปบอกผู้เป็นเจ้านายให้ได้รู้ ถึงข่าวที่เพิ่งรู้มาจากกรุงเทพฯ
“นายหัวครับ”
“ว่าไงหิน” ภูผาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังนั่งดูอยู่ในห้องทำงาน
“สายของเรารายงานมาว่า รู้แล้วว่าห้องทินวิทย์ห้องไหน เพราะวันนี้วีรดาไปหาทินวิทย์ที่คอนโด และสายของเราก็ตามขึ้นไปด้วย นายหัวจะให้จัดการกับทินวิทย์เลยมั้ยครับ”
“ยัง รอดูมันเรื่อยๆ ก่อน ตอนนี้ฉันกำลังแก้แค้นมันอยู่แล้ว รอให้ถึงเวลา แล้วฉันจะส่งพิมพ์มาดากลับไปหามัน”
“เอ่อ...นายหัวครับ สายของเรายังบอกอีกด้วยว่า ไอ้ทินวิทย์มันไม่ได้รักกระถินแล้วนะครับ มันเป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว มันยังบอกกับวีรดาว่าป่านนี้กระถินคงไม่เหลือความภาคภูมิใจกลับไปแล้ว มันก็คงไม่คิดจะแต่งงานกับกระถินอีกแล้วล่ะครับ”
“หืม...ไอ้คนเลวชาติ มันไม่เคยรักใครจริงนอกจากรักตัวเองล่ะสินะ”
“นายหัวจะให้จัดการมันเลยรึเปล่าครับ”
“รอให้มันเดินเข้ามาหาถึงที่เองดีกว่า ฉันเชื่อว่าคนชั่วต้องได้รับกรรมแน่นอน ถ้าเราทำอะไรมันตอนนี้ เรื่องราวอาจจะถึงตำรวจ เพราะมันก็คงไม่ปล่อยให้เรากระทืบมันแล้วลอยนวลหรอก สักวัน...มันต้องมาให้เราจัดการถึงที่แน่”
“ครับ” ศิลารับคำสั้นๆ และหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ภูผาจมอยู่กับความคิดตามลำพังเงียบๆ
นายหัวหนุ่มกำลังคิดถึงหญิงสาวทีเรือนหลังเล็ก พิมพ์มาดาทำให้หัวใจที่แห้งผากกลับชุ่มชื่นขึ้นมาได้จนน่าประหลาดใจ ยิ่งเวลานี้ข่าวที่เพิ่งรับรู้มาทำให้ความรู้สึกวูบวาบในหัวใจแกร่งเพิ่มสูงขึ้น จนกลายเป็นกระตุกวูบและสั่นระรัวหากไม่ได้ทำตามความต้องการของตัวเอง มือหนากำลังจะกดโทรศัพท์ถามป้านวลถึงพิมพ์มาดา ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะ และเปิดเข้ามาอย่างเบามือ ร่างบางระหงของคนที่เขากำลังคิดถึงเดินผ่านประตูเข้ามา ในมือของเธอถือถาดอาหารที่ส่งกลิ่นหอมโชยเข้ามา ภูผากระตุกยิ้มและอยากบอกเหลือเกินว่าได้กลิ่นหอมของอาหารปนกลิ่นกายสาวที่หอมกรุ่นตั้งแต่ที่หญิงสาวยังคงยืนอยู่หน้าประตู
“ทำไมมาช้า ไม่รู้เวล่ำเวลารึไง”
เสียงแข็งๆ ราวกับไม่พอใจนักหนาของภูผา ทำให้พิมพ์มาดามองหานาฬิกาที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ในห้อง และเมื่อมองเวลาที่เข็มของนาฬิกาชี้บอก หญิงสาวก็ข้างค้อนคมขวับๆ ให้ชายหนุ่ม
“เลยเวลาไปแค่นาทีเดียว ไม่ทำให้คุณหิวจนรอไม่ได้กระมังคะ”
“ไม่ได้ คราวหลังต้องมาให้ตรงเวลา ช้าไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะถ้าเธอช้า ฉันจะกินเธอแทนข้าวอย่างที่เคยบอกไว้”
พิมพ์มาดามองภูผาตาเขียวปั๊ด แต่พวงแก้มนวลนั้นแดงระเรื่อขึ้นอย่างน่ามอง หญิงสาววางถาดอาหารลงบนโต๊ะทำงานอย่างเคย และทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ถ้าไม่มีเสียงทุ้มเรียกขึ้นซะก่อน
“เดี๋ยว...จะรีบไปไหน เธอลืมหน้าที่อีกอย่างของเธอไปแล้วเหรอ”
“คุณมีมือก็ทานเองสิ ไม่ได้เป็นง่อยซะหน่อย ทำไมต้องให้ป้อนด้วย”
“ยังไม่เข็ดใช่มั้ยพิมพ์มาดา เธออยากให้ฉันทำโทษเธออีกใช่มั้ย” ภูผาถาม และผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่
“ก็ได้ๆ อะไรๆ ก็บังคับอยู่เรื่อย ดีแต่ชอบฝืนใจคนตลอดเวลา มันน่าสนุกนักรึไงที่แกล้งฉันได้” พิมพ์มาดาร้องห้ามไม่ให้เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเขาเอง พร้อมบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง
“ฉันไม่ได้คิดจะแกล้งเธอนะ แต่ฉันเอาจริงเลยล่ะ”
พิมพ์มาดาเข้าไปยืนจนชิด และตักข้าวขึ้นมาเป่าเหมือนที่เคยทำ ก่อนป้อนใส่ปากที่อ้ารับอย่างเต็มใจ ใบหน้านวลสวยบูดบึ้งมองค้อนเขาประหลับประเหลือก แต่แปลกที่ภูผาไม่ยักโกรธกลับรู้สึกเอ็นดูในกิริยาท่าทางนั้นๆ ของเธอซะอีก
นายหัวหนุ่มรั้งร่างบางให้นั่งลงบนตักกว้าง หญิงสาวฝืนกายไม่ยอมง่ายๆ ทำให้ภูผาต้องใช้สายตาปราม หญิงสาวจึงยอมนั่งเฉยๆ และป้อนข้าวต่อไปด้วยกิริยากระแทกกระทั้นจนข้าวหมดจาน ก็ส่งแก้วน้ำจ่อที่ริมฝีปากได้รูป มือใหญ่ประคองแก้วน้ำด้วยการวางมือทับมือนุ่มและดื่มน้ำเปล่าที่เขารู้สึกว่ารสชาติของมันหวานอร่อยกว่าน้ำใดๆ ที่เคยดื่มกิน
“นี่คุณ ถึงฉันจะตกเป็นเชลยของคุณ แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะ ได้โปรดอย่าดูหมิ่นฉันมากไปกว่านี้เลย แค่นี้ฉันก็ไม่เหลือความภาคภูมิใจไว้อีกแล้ว” พิมพ์มาดาบอกเสียงสั่น เธอไม่อยากถูกเขามองเป็นของเล่น หรือมองแค่เธอเป็นเครื่องระบายอารมณ์ ถึงหญิงสาวจะอยู่ในฐานะเชลย แต่เธอก็ยังอยากมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้าง
“ทำไมล่ะ มีแต่คนอยากเป็นเมียฉันกันทั้งนั้นรู้รึเปล่า”
“แต่ฉันไม่อยาก ฉันมาอยู่ที่นี่โดยไม่เต็มใจเลยสักนิด คุณจะโกรธจะแค้นใครแล้วเอามาลงที่ฉัน ฉันก็พยายามทำใจให้ยอมรับแล้วนะ คิดซะว่ามันเป็นกรรมติดตัวมาจากชาติที่แล้ว และชาตินี้ฉันก็ต้องมาชดใช้กรรม แต่ขอร้อง อย่าทำลายศักดิ์ศรีของฉันมากไปกว่านี้เลย”
“ไหน...เธอลองเล่าเรื่องของเธอให้ฟังบ้างสิ เผื่อฉันจะใจดีปล่อยเธอไปก็ได้” ภูผาเปลี่ยนเรื่องพูด เขาอยากรู้จักผู้หญิงในอ้อมกอดของตนให้มากกว่านี้ แม้สายจะรายงานมาละเอียดแล้ว แต่เขาก็ยังอยากได้ยินจากปากของพิมพ์มาดา
“จะรู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น” พิมพ์มาดาตวาดแว๊ด
“ฉันบอกเธออยู่เมื่อกี้ ว่าบางทีฉันอาจจะปล่อยเธอไป ถ้าได้รู้จักเธอดีกว่านี้ หูหนวกรึยังไง ฮึ”
“ชิ...ให้มันจริงเถอะ คุณต้องสัญญามาก่อน ว่าจะปล่อยฉันไปถ้าฉันเล่าทุกเรื่องให้คุณฟัง ไม่งั้นฉันไม่เล่าเด็ดขาด” พิมพ์มาดาต่อรอง แต่เธอพลาดท่าอย่างแรง เพราะใจจริงแล้วภูผาไม่จำเป็นต้องฟังจากปากของเธอ เขาก็รู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว
“งั้นไม่เป็นไร ไม่เล่าก็ดี ฉันจะได้ทรมานเธอได้นานๆ” แล้วริมฝีปากได้รูปก็ฉกวูบเข้าที่ซอกคอระหง จูบระเรื่อยไปตามแนวคางอย่างแผ่วเบา จนพิมพ์มาดาขนลุกซู่ ก่อนติ่งหูเล็กๆ จะโดนขบเม้มและดึงทึ้งอย่างหยอกเอิน
“ปล่อยฉันนะ ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าทำกับฉันแบบนี้” พิมพ์มาดายกมือบางดันหน้าคมคายออกห่าง แต่ภูผาก็กดหน้าสู้แรงเท่ามดของเธอ และกัดเบาๆ ที่เนื้อเนียนบริเวณต้นคอ
“เธอเป็นเมียฉันแล้ว จำไม่ได้เหรอพิมพ์มาดา ผัวจะกอดจะจูบเมียสักนิด แค่นี้ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง”
“เรื่องวันนั้น ฉันลืมมันเป็นแล้ว ถือว่าให้ทาน”
“เหรอ...ดี งั้นครั้งนี้ก็ถือว่าให้ทานอีกครั้งก็แล้วกันนะ” ภูผากระซิบบอกและรัดร่างบางให้แน่นขึ้น
จุมพิตร้อนผ่าวดูดกลืนเสียงประท้วงกลายเป็นเสียงอึกอัก และส่งเรียวลิ้นช่ำชองกวาดไล้ความนุ่มหวานในโพรงปากอุ่น ดูดรัดเรียวลิ้นเล็กๆ กวาดไล้หลอกล่อจนหญิงสาวตัวสั่นระริกอย่างหวามไหว ความซาบซ่านแล่นวาบเข้าสู่หัวใจของคนทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายหนึ่งเคยดิ้นรนหลีกหนี ส่วนอีกฝ่ายเคยคิดแต่จะลงโทษให้หลาบจำ แต่ตอนนี้ความคิดและความรู้สึกของคนทั้งคู่กลับเดินเป็นเส้นขนาน มุ่งตรงไปทางเดียวกันนั่นคือหนทางแห่งความสุขและความสมหวัง
ภูผายกร่างบางขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงาน ก่อนกระตุกผ้าถุงออก โดยที่เจ้าของไล่คว้าเอาไว้ไม่ทัน
“ว๊าย...ไม่นะนายหัว อย่าทำแบบนี้” พิมพ์มาดาหนีบต้นขาเข้าหากัน พลันโกรธตัวเองขึ้นมาเพราะตอนนี้เธอไม่ได้สวมชุดชั้นใน เนื่องจากเมื่อตอนกลางวันเธออาบน้ำและทำชุดชั้นในตกพื้น จึงตัดสินใจซักตาก ทำให้เวลานี้ท่อนล่างของเธอเปลือยเปล่าทันที
“ว้าว...อำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้เลยเหรอ ขอบใจมากนะ” ภูผายักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน ได้เห็นจุดสีแดงแต้มบนใบหน้าหวานก่อนกระจายลงไปทั่วลำคอระหง
“บ้าเหรอ ฉันไม่คิดโง่ๆ แบบนั้นหรอก แต่ฉันไม่มีชุดชั้นในมากพอจะมีไว้เปลี่ยนนี่นา มีอยู่แค่ชุดเดียว ชิ้นเดียวเลยด้วยซ้ำ”
“หึ หึ เอาไว้จะซื้อมาให้ก็แล้วกัน”
ดวงตาคมมองความอวบอิ่มตรงซอกขาขาว พงไหมนุ่มนิ่มเป็นปราการปิดบังความงามเอาไว้ พิมพ์มาดายกเข่าที่หนีบกันแน่นขึ้นสูง หวังจะปิดกั้นร่างกายจากสายตาแพรวพราวคู่นั้น
“คิดว่าถ้าทำแบบนี้ แล้วฉันจะทำอะไรเธอไม่ได้งั้นเหรอ เธอคิดผิดไปแล้วพิมพ์มาดา”
ภูผากดจุมพิตบนเรียวปากนุ่มขบเม้มย้ำถี่ๆ ก่อนดูดดื่มความหวานล้ำเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร เมื่อมือบางยกขึ้นยันอกกว้าง ชายหนุ่มยิ่งเบียดกายเข้าหา แรงที่มีมากกว่าหลายเท่าตัวทำให้หญิงสาวเอนกายลงบนโต๊ะทำงาน มือใหญ่พยายามแยกขาเรียวออกจากกัน แต่หญิงสาวก็ฝืนฉุดเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายขึ้นมาต่อต้าน
เมื่อการแยกเรียวขาออกจากกันเป็นไปอย่างยากลำบาก ภูผาก็ใช้วิธีลูบไล้จงอยก้นหนั่นแน่น บีบขยำลอนสะโพกสาวงอนงามอย่างหนักมือ และลากไล้เข้าหากลีบกุหลาบงามจากทางด้านหลัง
พิมพ์มาดากรีดร้องอย่างเสียวซ่านรัญจวน แต่เสียงร้องของเธอก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอหนา เมื่อปลายนิ้วร้ายกาจกรีดไล้กลีบกุหลาบแสนสวยไปมา สะโพกผายก็สะบัดส่ายเบี่ยงหนีแต่ก็ไม่พ้นปลายนิ้วที่ตามติดรุกไล่ เมื่อถูกปลายนิ้วช่ำชองกระทำการอันน่าอาย ด้วยการสอดเข้าหาความอบอุ่นภายในกายสาว
“อื้ม...” พิมพ์มาดาเบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากร้อนผ่าว และครางเสียงกระเส่าสลับกับร้องห้ามปรามเสียงเบา “เอาออกไปนะ อย่า...”
“ถ้าไม่อยู่เฉยๆ ฉันจะทำให้เธอร้องเสียงดังกว่านี้ ด้วยสิ่งอื่นที่ไม่ใช่แค่นิ้ว”
ลำขาเรียวค่อยๆ แยกห่างจากกันอย่างลืมตัว เมื่อความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง พิมพ์มาดารู้สึกร้อนวูบวาบซ่านสยิวอย่างบอกไม่ถูก เสียงครางดังลอดออกมาจากริมฝีปากนุ่มตลอดเวลา จนเธอกลัวว่าเสียงของเธอจะดังออกไปข้างนอก ริมฝีปากอิ่มถูกเจ้าของขบเม้มแน่นกลั้นเสียงครางของตัวเอง
ภูผาแยกต้นขาเรียวสวยออกจากกันจนกว้าง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวกายเปลือยเปล่า จนขนอ่อนบนกายนุ่มตั้งชัน ลมหายใจของนายหัวหนุ่มหอบกระเส่าไม่ต่างอะไรกับสาวสวยที่นอนบิดกายไปมาอย่างทุรนทุราย กุหลาบดอกงามนูนเด่นสวยสดงดงามถูกลูบไล้ด้วยสายตาคมหวานที่จ้องมองอย่างกระหาย
“ขอนะ ฉันอยากกินเธอแทบขาดใจแล้วคนสวย”
ภูผารู้สึกแปลกใจตัวเอง ว่าทำไมไม่คิดรังเกียจหญิงสาวตรงหน้า ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นที่เขาเคยนอนด้วยตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มวัยรุ่น ภูผาไม่เคยคิดอยากลองลิ้มชิมรสสัดส่วนสาวแบบนี้ ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ภูผาจะเล้าโลมด้วยมือเท่านั้น แต่กับพิมพ์มาดากลับทำให้เขาอยากเห็นอยากสัมผัสและอยากลิ้มลองรสชาติในทุกสัดส่วนของเธอโดยไม่รังเกียจ
ปลายลิ้นสากเลียไล้เกสรสวาทสีสวย ตวัดไล้ถี่ระรัวและดูดดื่มอย่างหิวกระหาย พิมพ์มาดาแอ่นหยัดร่างบางเข้าหาเมื่อการควบคุมตัวเองเริ่มหมดลง
ภูผาสูดกลิ่นกายหอมระรื่นจากกายสาวเข้าปอด น้ำหวานที่เกสรดอกไม้งามขับออกมาถูกเรียวลิ้นหนาตวัดดูดดื่มลิ้มรสน้ำผึ้งเดือนห้า และเป็นภมรหนุ่มตัวแรกที่ได้ลิ้มลอง ปลายนิ้วสอดลึกสลับกับถอดถอนขยับเข้าออกช้าๆ และเนิบนาบ
พิมพ์มาดาสะบัดใบหน้าไปมาอย่างทุรนทุรายราวเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วเรือนกาย มือบางที่เคยยกขึ้นต่อต้านตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นโอบกอดไปรอบลำคอหนา เมื่อภูผาผละใบหน้าขึ้นมาบดจูบลงบนกลีบปากนุ่มอีกครั้ง รสชาติและกลิ่นกายหอมกรุ่นยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นสากร้อนที่สอดเข้าไปในโพรงปากนุ่ม
“ตู๊ด ตู๊ด...” เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น ปลุกสติสัมปชัญญะของพิมพ์มาดาให้กลับคืน ดวงตากลมโตเบิกกว้างแต่พร่างพรายเพราะใบหน้าคมเข้มที่แนบชิด ปลายจมูกโด่งซุกไซ้พวงแก้มนุ่มและคลอเคลียซอกคอหอมกรุ่น
“ตู๊ด ตู๊ด...” โทรศัพท์เครื่องเล็กยังคงแผดเสียงลั่น ขัดจังหวะที่ภูผากำลังเกิดความต้องการจนแน่นอก นายหัวหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันมุ่น แต่ยังไม่ละใบหน้าจากลำคอระหง
“คุณ!” พิมพ์มาดาเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มาแนบหูคนที่เป็นเจ้าของ พร้อมกับกดรับสายให้ด้วย
“นายหัวครับ เกิดเรื่องอีกแล้วครับ” เสียงร้อนรนของลูกน้องคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ผู้เป็นเจ้านายต้องชะงัก
ภูผาเงยหน้าขึ้นสบตาหวานเยิ้มของพิมพ์มาดาอย่างคาดโทษ ที่บังอาจส่งสิ่งที่ทำให้ขัดจังหวะมาแนบหู แต่เสียงของลูกน้องที่ดังตามมาอีกนั้น ทำให้ภูผาต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“นายหัวครับ ของๆ เราถูกขโมยอีกแล้วนะครับ”
นายหัวหนุ่มผละจากร่างระหง และยืนขึ้นหลุบตาคมวาวมองคนที่ยันตัวขึ้นเช่นกัน พิมพ์มาดาตวัดตาค้อนขวับๆ ให้ชายหนุ่ม ก่อนดึงผ้าถุงขึ้นและผูกปมรัดเอวบาง
“เฮ้อ...” ภูผาทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่ายกับข่าวที่ได้ยิน “มันหนีไปได้อีกแล้วใช่มั้ย” ร่างสูงคว้ามือบางเอาไว้ เมื่อพิมพ์มาดาทำท่าจะเดินหนี แต่เธอก็สะบัดมือออกอย่างแรงจนหลุดจากพันธนาการ และเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
“ครับนาย”
“ถ้างั้นก็ปล่อยมันไปก่อน เอาไว้ครั้งหน้ามันต้องเข้ามาอีกแน่ แล้วเราค่อยจัดการมัน” ภูผามักจะใจเย็นเสมอ จนบางครั้งศิลาต้องเป็นฝ่ายเตือนบ่อยๆ แต่ถ้าเจ้านายไม่เป็นฝ่ายเดินหน้า ลูกน้องที่เป็นทั้งเพื่อนรักด้วยนั้นก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
ภูผาเดินตามพิมพ์มาดาออกมา แต่ก็ไม่ทันที่หญิงสาวปิดประตู เขาจึงหยุดเพียงแค่หน้าประตูเท่านั้น
“พิมพ์มาดา...เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
“ไม่เปิด ฉันจะไม่ยอมเสียท่าให้คุณอีกแน่ ไปตายซะ”
ภูผาถึงกับกะพริบตาอย่างงงงวยอยู่หน้าประตู อยากเข้าไปกอดร่างบางอบอุ่นและแสนหอมนั้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่กำลังรอเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงทำได้แค่เพียงตัดใจในเวลานี้ แต่ครั้งหน้าเธอไม่รอดมือเขาแน่ ภูผาสัญญากับตัวเอง
“ล็อกห้องเอาไว้นะ วันนี้น้ำค้างคงกลับดึก ส่วนฉันและคนที่เฝ้าเธอบางส่วนจะไม่อยู่ ถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้ร้องดังๆ นะ จำไว้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่ฉัน น้ำค้าง ป้านวล ป้าทอง และหิน เธอไม่ควรจะไว้ใจใคร”
“หนึ่งในนั้นก็คือคุณด้วย” เสียงหวานใสตะโกนออกมา
“ฉันไม่ได้บังคับขืนใจเธอสักหน่อย เธอยินยอมฉันเองนะ อย่าลืมสิ” ภูผากระเซ้าและยิ้มกว้างให้กับประตู
“คนบ้า จะไปไหนก็ไปเลยไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเลย” พิมพ์มาดาตะโกนขับไล่เสียงดัง
ภูผาส่ายหน้าให้กับประตู ก่อนถอนใจอย่างหนักหน่วง และเดินจากไปเงียบๆ พิมพ์มาดาแนบใบหูกับประตูฟังเสียงฝีเท้าที่เดินจากไป ก่อนร่ำไห้ออกมาเบาๆ
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ทำไมกระถินต้องมาเจอเขาด้วย กระถิน...กระถิน...รักเขาค่ะ รักคนที่จับตัวกระถินมาค่ะ พ่อจ๋า แม่จ๋า แต่เขาเห็นกระถินเป็นของเล่นเป็นอาหารหวานล้างปากเท่านั้น”
ภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาหาพิมพ์มาดาโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว คืนนี้ภูผาพาลูกน้องส่วนหนึ่งที่เฝ้าพิมพ์มาดาไปด้วย เหลือไว้เฝ้าหญิงสาวเพียงสองคน เพราะเรื่องที่ต้องไปตรวจสอบนั้น จำเป็นต้องใช้แรงคนหลายคน แม้จะห่วงหญิงสาวแต่ก็คิดว่าคงไม่มีใครกล้าแตะต้องพิมพ์มาดาแน่ แต่ภูผากำลังคิดผิด บารมีที่ทำไว้เป็นบุญคุณสำหรับคนบางคนเท่านั้น แต่บางคนที่อยู่ด้วยเพราะน้ำเงินตัวเดียว ไม่ใช่เพราะบารมีและบุญคุณท่วมหัว
