ตอนที่ 6 แม่บ้านสาวคนใหม่
6
แม่บ้านสาวคนใหม่
ภูผามองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนบนชั้นสอง เห็นพิมพ์มาดาที่เดินคู่มากับศิลาก็ฉุนกึกอย่างไม่รู้สาเหตุ ชายหนุ่มเพิ่งจะตื่นเพราะเมื่อคืนนี้เกิดปัญหาที่เหมืองนิดหน่อย เขาจึงต้องสะสางจนดึกดื่นและกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว เช้านี้ภูผาจึงตื่นสายกว่าทุกวัน ร่างสูงที่สวมกางเกงนอนขายาวตัวเดียวเปลือยอกกว้างตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เดินลงไปชั้นล่าง
ศิลาและพิมพ์มาดาที่เดินผ่านประตูบ้านเข้ามาพบกับภูผาที่เพิ่งลงมาพอดีก็ชะงักกึก ก่อนศิลาจะสาวเท้าเข้าไปหา
“นายหัวครับ เรื่องเมื่อคืนนี้...”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ของหายนิดหน่อยน่ะ แต่ช่างมันเถอะ เพราะฉันรู้ว่าใครเป็นคนเอาไป ถ้านายมาถามแค่เรื่องนี้ เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกัน”
“ครับ” ศิลาตอบรับ ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อพ้นร่างศิลาแล้ว ภูผาก็กวาดตามองร่างบางที่อยู่ในชุดเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงของป้าทอง เพราะพิมพ์มาดาไม่มีเสื้อผ้าใส่ เธอก็เลยสลับกันใส่ระหว่างชุดนี้ของป้าทองกับชุดของภูผา จริงๆ แล้วเสื้อคอกระเช้าตัวนี้ของป้าทอง พิมพ์มาดาแทบใส่ไม่ได้เพราะป้าทองตัวใหญ่กว่าเธอมาก แต่เธอก็เย็บคอเสื้อและวงแขนที่กว้างมากให้แคบลง ตอนนี้ก็พอจะใส่ได้บ้างแม้จะดูน่าตลกนักก็ตาม
“เธอเข้าไปช่วยงานป้านวลในครัวทุกวัน ทุกเช้าก่อน 7 โมง เธอจะต้องเอาอาหารขึ้นไปให้ฉันบนห้องนอน กลางวันฉันจะเข้ามากินที่โต๊ะอาหารข้างล่างนี่ ส่วนตอนเย็นโน่น...ในห้องทำงานตอนทุ่มนึง อย่าให้ผิดเวลาแม้แต่นิด ไม่อย่างนั้น...”
“อะไร”
“ฉันจะกินเธอแทนข้าวไงล่ะ” ภูผายื่นหน้าเข้ามาใกล้ และกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแสนเซ็กซี่ พิมพ์มาดาเอนตัวหนีอย่างรวดเร็ว
“ไปเอาข้าวที่ป้านวล แล้วตามฉันขึ้นไปบนห้อง” ภูผาสั่งเสียงแข็ง ก่อนเดินขึ้นห้องนอนไป พิมพ์มาดาถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อร่างสูงเดินขึ้นไปบนห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องครัวและทำตามที่ภูผาสั่ง
พิมพ์มาดาไม่อยากทำหน้าที่นี้ แต่ในเมื่อเธอไหนไม่พ้นก็ยังดีกว่าถูกทำโทษด้วยวิธีอื่น หญิงสาวทำใจมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ป้าทองมาบอกกับเธอ ความรู้สึกโกรธเกลียดภูผาจางลงไปมา เมื่อไม่ได้เห็นหน้าเขาหลายวันกลับต้องคิดถึง เหมือนบางสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต แม้จะรู้ว่ายิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งอันตราย แต่เธอกลับถอยห่างไม่ได้ดั่งใจปรารถนา
“เอ้า...นังหนู ยกอาหารเช้าขึ้นไปให้นายหัวซะ อย่าให้นายหัวรอนาน” ป้านวลส่งถาดข้าวต้มร้อนๆ ให้พิมพ์มาดา “เดินดีๆ ล่ะ เท้ายังไม่หายดีนี่ ระวังทำถาดหล่น”
“เอ่อ...ป้านวลคะ สวัสดีค่ะ” พิมพ์มาดายกมือขึ้นไหว้ป้านวล เพราะรู้ว่าป้านวลเป็นแม่ของมณีริน
“อ้อ...สวัสดี มือไม้อ่อนดีนี่นะ หน้าตาก็สวยกิริยามารยาทก็ดี เอ็งรีบเอาข้าวต้มขึ้นไปให้นายหัวเถอะ เดี๋ยวนายหัวจะไม่พอใจ อ้อ...ห้องนอนนายหัวคือห้องริมสุดซ้ายมือ”
พิมพ์มาดารับถาดข้าวต้มและส่งยิ้มบางๆ ให้ป้านวล ก่อนเดินขึ้นไปชั้นสองตรงไปยังห้องที่ป้านวลบอก ป้านวลที่ทำเป็นไม่ใส่ใจคราแรกมองตามร่างบางที่เดินเขย่งไปช้าๆ อย่างระมัดระวัง พลางคิดว่าถ้านายหัวแห่งเหมืองชัยเชษฐ์จะหลงเสน่ห์เชลยสาวเข้าจะทำยังไง นี่ขนาดต้องเอาอาหารขึ้นไปให้ทุกวัน โดยอ้างว่าทำเพราะต้องการลงโทษและอยากทรมานให้หญิงสาวเจ็บปวด แต่ป้านวลยังไม่เห็นว่าพิมพ์มาดาจะเจ็บปวดตรงไหนเลยสักนิด
พิมพ์มาดาประคองถาดข้าวต้มร้อนๆ เปิดประตูห้องในสุดด้านซ้ายมือหลังจากเคาะ 3 ครั้ง หญิงสาวไม่เห็นเงาของร่างสูงอยู่ในห้องก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอก และวางถาดข้าวต้มลงบนโต๊ะมุมห้อง ก่อนจะหมุนตัวตั้งใจจะรีบเดินออกจากห้อง แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงเกือบเปลือยที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำและใช้ผ้าขนหนูพันท่อนล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
“ว้าย! คนบ้า ทำไมไม่รู้จักสวมเสื้อผ้าออกมานะ น่าเกลียดที่สุดเลย” พิมพ์มาดายกมือปิดหน้า และเดินหนีหลบร่างสูงไปที่ประตู
“จะไปไหน” ภูผาฉุดข้อมือบางเอาไว้มั่น ไม่ให้พิมพ์มาดาเดินออกไป “เธอยังทำหน้าที่ไม่เสร็จ ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“อะไรอีกล่ะ ฉันมีหน้าที่ยกอาหารขึ้นมาให้คุณ ฉันก็ยกมาแล้วนี่ไง หมดหน้าที่ฉันแล้วนี่”
“ยังไม่หมด ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย ไม่เห็นเหรอ”
“ก็กินซะสิ หรือต้องให้ฉันป้อนให้คุณอีก”
“ใช่”
พิมพ์มาดาลดมือที่ปิดหน้าลง แต่หันหน้าหนีร่างสูงที่มีหยดน้ำเกาะพราวหัวหูเปียก มือบางถูกมือใหญ่จูงไปที่โต๊ะ และร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“ทำหน้าที่ของเธอได้แล้ว อย่าทำเป็นไม่เคยเห็นผู้ชายเปลือยหน่อยเลย” ภูผาอดพูดกระแทกแดกดันหญิงสาวไม่ได้ แม้เขาจะรู้ว่าเธอยังบริสุทธิ์และมีเขาเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเยื่อบางๆ นั้นยังคงอยู่เป็นกำแพงเหนียวแน่นที่เจ้าของรักษาไว้เป็นอย่างดี
พิมพ์มาดาไม่อยากพูดโต้ตอบคนปากเสียให้มากความ เพราะยิ่งอยู่ในห้องนี้นานๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกร้อนรุ่มจนบอกไม่ถูก หญิงสาวตักข้าวต้มจ่อที่ปากชายหนุ่ม แต่ภูผาก็ไม่ยอมอ้าปากรับแต่โดยดี
“ฉันจะกินเข้าไปได้ยังไง ควันขึ้นโฉ่ขนาดนี้ ฉันไม่ได้มีลิ้นจระเข้นะจะได้ไม่รู้ร้อนรู้เย็น”
พิมพ์มาดาจึงต้องเป่าข้าวต้มในช้อนให้หายร้อน ก่อนจะป้อนเข้าปากภูผาด้วยกิริยากระแทกกระทั้น ดวงตาคมมองหน้านวลอย่างคาดโทษ ก่อนหลุบตาลงมองอกอวบอิ่มที่ดันเสื้อคอกระเช้าออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
หญิงสาวจะรู้ตัวไหมว่าเวลาที่เธออยู่ในชุดแบบนี้ เธอดูน่าปรารถนามากขนาดไหน แต่เธออาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ ถึงได้เดินเคียงคู่กันมากับศิลา
“ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้”
พิมพ์มาดาตวัดตาเขียวๆ ใส่ดวงตาคม ก่อนตอบเบาๆ เหมือนไม่อยากตอบ
“ก็ฉันไม่มีเสื้อผ้าใส่ แล้วคุณจะให้ฉันใส่อะไรล่ะ หรือจะให้แก้ผ้าเดินไปเดินมาเหมือนที่คุณทำอยู่นี่”
ภูผาเอียงคอและกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ
“เป็นความคิดที่ดีนะ ถ้าได้เห็นเธอเดินแก้ผ้าวนไปวนมาอยู่ในห้องก็ดีเหมือนกัน แต่ต้องให้ฉันมองคนเดียวนะ คนอื่นห้ามมองเด็ดขาด”
“ผิดแล้ว ฉันจะให้คนอื่นมอง แต่ไม่ให้คุณมอง”
“พิมพ์มาดา! เธออยากให้ฉันโกรธนักใช่มั้ย” มือหนาดึงลำแขนเรียวบางและกระตุกเข้าหาตัว ก่อนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟังอย่างฉุนๆ “ได้ ฉันไม่ได้โกรธเธอมาหลายวันแล้ว คิดถึงแทบแย่ วันนี้เธอต้องรองรับความโกรธของฉันให้ได้แล้วกัน”
ภูผาลุกขึ้นและเหวี่ยงร่างระหงไปที่เตียง ก่อนทุ่มตัวลงไปทาบทับอย่างว่องไว
“ไม่นะ คุณจะทำโทษฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าทำกับฉันแบบนี้เลย”
“เธอมีสิทธิ์วอนขอความเห็นใจจากฉันด้วยเหรอ เวลาที่มธุรดาไปวิงวอนทินวิทย์ขอให้กลับมาคืนดี มันยังไม่เห็นใจบ้างเลย”
“เอ๊ะ...คุณนี่นอกจากตาบอดแล้วยังหูหนวกอีกด้วยนะ ฉันบอกแล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทินวิทย์ ทำไมไม่เชื่อฉันบ้างล่ะ” พิมพ์มาดาตะคอกใส่อย่างทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่ว่าเธอจะพูดจะอธิบายยังไง ภูผาก็ไม่ยอมเชื่อสักที
“ฉันอาจจะมองไม่เห็น แต่ฉันไม่ได้หูหนวก” ภูผาผละจากร่างบาง และเปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบเครื่องเล่นเทปออกมาส่งให้ “ฟังซะ แล้วเธอจะรู้เอง”
พิมพ์มาดาก้มลงมองเครื่องเล่นเทปขนาดเล็กในมืออย่างชั่งใจ ก่อนกดเปิดฟังด้วยหัวใจที่เต้นระรัว สีหน้าของหญิงสาวที่ได้ฟังเสียงการสนทนาในเทป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นซีดขาวราวกระดาษ เสียงที่เธอได้ยินนั้น เธอจำได้ขึ้นใจว่าเป็นเสียงของวีรดาผู้เป็นพี่สาว และเสียงของทินวิทย์ที่พอจำได้ลาดเลา
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ฉันเพิ่งรู้จักเขาเองนะ แล้ว...เขาจะมารักฉันได้ยังไง” พิมพ์มาดาพยายามปฏิเสธ แต่ก็เป็นคำปฏิเสธที่เบาแสนเบานักในความรู้สึกของภูผา
ชายหนุ่มแย่งเครื่องเล่นเทปในมือบางออกไป และวางลงบนโต๊ะตัวเล็กที่ตั้งโคมไฟหรู ก่อนจะยิ้มเยาะให้กับคนตรงหน้า
“เป็นไงล่ะ ได้ยินอย่างนี้เธอยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอรู้จักกับไอ้ทินวิทย์ตอนไหน ฉันรู้แต่ว่าตอนนี้ไอ้ทินวิทย์มันรักเธอ ถึงเธอจะพูดจริงว่าเพิ่งรู้จักกัน และเป็นเรื่องตลกอีกเรื่องที่เธอเป็นรักแรกพบของไอ้ทินวิทย์นั่น แต่ฉัน...ไม่สน ทางใดที่จะทำให้มันเจ็บปวด ฉันจะทำทุกทาง” เมื่อพูดถึงทินวิทย์ ดวงตาของภูผาก็ลุกเป็นไฟ ความโกรธกรุ่นเริ่มจะเข้ามากดทับความหวามไหวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ฉันคงพูดกับคุณไม่รู้เรื่องอีกแล้ว พูดไปคุณก็ไม่มีทางฟังฉัน อย่างนี้กระมังที่เขาเรียกว่าสีซอให้สัตว์สี่เท้าฟัง” หญิงสาวบริภาษอย่างเจ็บแสบ และทำให้สติสัมปชัญญะของภูผานั้นขาดผึง
ภูผาทุ่มตัวทาบทับร่างบางอีกครั้ง ก่อนบดขยี้เรียวปากอิ่มอย่างจาบจ้วง ไม่มีความนุ่มนวลใดๆ ทั้งสิ้น เขาจูบเพื่อลงโทษหญิงสาวที่บังอาจบริภาษเขาให้เป็นสัตว์สี่เท้า และกระหายใคร่สัมผัสร่างบางนุ่มนิ่มอย่างรุนแรง มือหนาสอดเข้าไปใต้เสื้อคอกระเช้าและสัมผัสเนื้อแท้ของปทุมถันคู่งาม ซึ่งไร้ชุดชั้นในห่อหุ้ม ความนุ่มหยุ่นที่ได้รับทำให้ต้องครางในลำคอ ทั้งที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่ยังประกบกันอยู่แนบแน่น
พิมพ์มาดาดิ้นอึกอักไปมา มือบางไล่ทุบไปทั่วแผ่นหลังกว้างเปล่าเปลือย กลิ่นสบู่จางๆ จากร่างหนานั้นหอมกรุ่นจนหญิงสาวเผลอสูดดมอย่างอดไม่ได้ กายเย็บเฉียบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนผะผ่าวจากไฟปรารถนาที่ไหม้ลาม เสื้อคอกระเช้าถูกดึงรั้งขึ้นสูงจนกองเหนือทรวงอกอวบ ปทุมถันคู่งามที่ประดับด้วยเม็ดเชอรี่ถูกฝ่ามือรุมร้อนคลึงเคล้นอย่างหนักมือ ความรุนแรงยังคงอยู่เพราะความโกรธกรุ่นยังไม่จางหาย ทำให้อารมณ์ดิบของภูผาถูกดึงออกมาจากจิตใต้สำนึก ยิ่งภาพมธุรดาที่นอนนิ่งไม่ไหวติงและมีเม็ดยาแก้ปวดร่วงกระจายเต็มพื้นห้องผุดขึ้นมาในมโนภาพความทรงจำ ยิ่งทำให้ภูผาเครียดแค้นอย่างที่สุด
ภูผาผละริมฝีปากออกจากกลีบปากนุ่ม เลื่อนต่ำลงไปซุกไซ้ใบหน้าที่ซอกคอขาวผ่อง ผิวเนื้อเนียนถูกไรฟังขบเม้มจนเจ้าของร่างบางผวาเฮือกและเกร็งตัวรับความเจ็บปวด ปมผ้าถุงถูกปลดอย่างง่ายดาย และถูกดึงต่ำในเวลาต่อมา ร่างบางที่เกือบเปลือยหากแต่ยังมีเสื้อคอกระเช้ากองอยู่เหนืออกอวบ บิดร่างไปมาเมื่อปลายนิ้วเรียวยาวไต่ลงไปยังหน้าท้องแบนราบและวนรอบๆ หลุมสะดือแสนสวย
ริมฝีปากร้อนผ่าวครอบครองปลายถันสีสวย ก่อนใช้ไรฟันกัดเบาๆ เป็นการลงโทษหญิงสาวที่ผิวเนื้อเนียนนุ่ม ดูดกลืนยอดปทุมงามเข้าปากอย่างหิวกระหาย รุนแรงและเร่าร้อนในคราเดียวกัน
ร่างหนาแทรกระหว่างกลางร่างบาง และปลดผ้าขนหนูที่พันเอวสอบออก ก่อนเบียดร่างกำยำเข้าแนบชิดร่างนุ่ม ไม่มีการเล้าโลมจนพร้อมอย่างที่ควรจะเป็น เต็มไปด้วยความต้องการที่ดิบเถื่อน กายแกร่งร้อนผ่าวที่แข็งชันถูกเจ้าของเบียดเข้าหานวลเนื้อนุ่มนิ่ม
“ไม่...เจ็บ...อย่านะ...อย่า...” พิมพ์มาดาดิ้นรนหนีอย่างบ้าคลั่ง เมื่อความเจ็บแปลบมาเยือน มือบางที่คว้าหมอนหนุนได้ ก็ฟาดเข้าที่ร่างหนาเต็มแรง แต่แรงฟาดที่มากเกินไปทำให้หมอนหนุนใบนั้นหลุดมือปลิวไปถูกถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่มุมห้องตกแตก “เพล้ง” เสียงกระเบื้องแตกกระทบพื้นดังลั่นไปทั่วห้อง และคงจะดังลงไปถึงข้างล่างด้วย แต่วินาทีนี้ภูผาไม่คิดจะหยุดหรือรั้งรอเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้เดินหน้าเข้าหาความหฤหรรษ์แล้ว เขาก็อยากผลักดันร่างให้ลึกที่สุด แต่...
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก นายหัวคะ นายหัว...” เสียงเคาะประตูที่ดังถี่ระรัว เพราะคนเคาะหวาดกลัวว่าผู้เป็นนายจะเสียท่าและถูกหญิงสาวหน้าสวยทำร้าย และเมื่อไม่มีคนมาเปิดประตู ป้านวลก็เคาะซ้ำอีกครั้ง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก นายหัวคะ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ นายหัว...”
ร่างสองร่างที่อยู่บนเตียงใหญ่หยุดชะงัก ก่อนพิมพ์มาดาจะผลักร่างหนาออกสุดแรง ดวงตาคู่สวยคลอด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวด และฉายแววเกลียดชังออกมาเต็มเปี่ยม
ภูผากัดฟันกรอดตวัดตาไปที่ประตูเพราะถูกขัดจังหวะ ก่อนมองหญิงสาวที่ซุกกายร้องไห้ตัวสั่นสะท้าน วูบหนึ่งความสงสารและรู้สึกผิดประดังกันเข้ามา แต่แววตาโกรธเกลียดที่หญิงสาวมองสบดวงตาคมที่อ่อนแสงนั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องสบถเบาๆ
“บ้าเอ๊ย”
“นายหัวคะ นายหัว” เสียงป้านวลยังคงดังอยู่หน้าประตู และคงจะดังต่อไปหากไม่มีคนเดินไปเปิดประตูห้อง
“มีอะไรป้านวล” ภูผาตะโกนออกไป ก่อนรีบสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งด่วน
“เอ่อ...นายหัวเป็นอะไรรึเปล่าคะ ป้าได้ยินเสียงของตกแตก ก็เลยเป็นห่วงค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกป้านวล ผมไม่ได้เป็นอะไร มีอะไรก็ไปทำเถอะ” ภูผาบอก
“ค่ะ” ได้ยินเสียงตอบรับจากป้านวล ก่อนเสียงจะเงียบไป พอดีกับร่างสูงที่สวมกางเกงยีนส์เสร็จ แต่ยังไม่ได้สวมเสื้อ
ภูผามองคนที่นั่งซุกกายและใช้ผ้าห่มของเขาคลุมร่างเอาไว้ ดวงตาคมฉายแววหวานออกมาชั่วแวบ เมื่อครู่นี้ถ้าป้านวลไม่มาเคาะประตูเขากับพิมพ์มาดาคงไปถึงไหนต่อไหนกัน
“คนชั่ว พอทำอะไรไม่ได้ ก็ดีแต่ข่มเหงรังแกผู้หญิง สาสมกับใจคุณรึยังล่ะทีนี้”
“ยัง ทำไมการเป็นเมียฉันเนี่ย มันน่ารังเกียจนักเหรอ”
“ใช่ ฉันยอมเป็นเมียทินวิทย์ดีกว่าเป็นเมียคนอย่างคุณ”
“เสียใจ เพราะตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้ว ถึงมันจะยังค้างเติ่งก็ตาม” ภูผาตวัดผ้าห่มออก และพิมพ์มาดาก็เห็นหยดเลือดสีแดงเล็กๆ ของเธอบนผ้าปูที่นอน “แต่นี่...ยืนยันได้ว่าเธอเป็นเมียฉันแล้ว”
“ไปตายซะ ฉันเกลียดคุณ ฉันเกลียดคุณ” พิมพ์มาดากรีดร้องออกมา น้ำตาร่วงเผาะไม่ขาดสาย
“ถึงจะเกลียดยังไง ฉันก็เป็นผัวเธอวันยังค่ำ...พิมพ์มาดา อย่ามัวแต่ร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่เลย ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าซะ และจัดการผ้าปูที่นอนและถ้วยข้าวต้มที่เธอทำตกแตกด้วย” นายหัวหนุ่มบอก ก่อนย่ำเท้าเดินจากไป
“คนใจร้าย คนเลว...ฮือ ฮือ พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยกระถินด้วย” พิมพ์มาดาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ครู่ใหญ่ ก็ลุกขึ้นแต่งตัวและจัดการเก็บเศษถ้วยที่แตกกระจาย ก่อนเช็ดพื้นห้องที่เลอะไปด้วยข้าวต้ม จากนั้นจึงเดินมาหยุดมองหยดสีแดงเล็กๆ อย่างเสียใจและเสียใดสิ่งที่อุตส่าห์ถนอมเอาไว้ เพื่อมอบให้คนที่รัก แต่ตอนนี้ถูกพญามารใจร้ายทำลายมันลงไปแล้ว
วันนั้นทั้งวัน ภูผาไม่ได้กลับมากินข้าวตามเวลาที่บอก ทำให้พิมพ์มาดามีเวลากลับมานอนเล่นอยู่ที่บ้าน ในขณะที่กำลังนั่งยืดขาอ่านนิตยสารดาราที่มณีรินเอามาให้อย่างเพลิดเพลินอยู่บนที่นอน ประตูบ้านก็เปิดผลัวะเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ร่างสูงตระหง่านของภูผาก้าวเข้ามาในบ้านหลังน้อยของเธอ ทำให้หญิงสาวปิดหนังสือที่อยู่ในมือทันที ใบหน้าที่แจ่มใสขึ้นกว่าเก่ากลับบึ้งตึงเมื่อพบคนที่ไม่อยากเจอ
ภูผาสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะถือวิสาสะนั่งเบียดร่างบางลงบนเตียงเล็กนั่น พิมพ์มาดากระเถิบตัวหนีทันที แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้มาก เพราะอีกด้านของเตียงนั้นติดผนังแล้ว
“สบายเหลือเกินนะ ครึ่งนั่งครึ่งนอนอ่านหนังสือดาราอยู่บนเตียง” เขาแขวะ
“ออกไปนะคนชั่ว ฉันทำงานให้คุณแล้ว และนี่ก็เป็นเวลาพัก ฉันจะต้องกินยาตามที่หมอสั่งให้หมด หรือถ้าคุณอยากให้ฉันตายเร็วๆ ก็บอกมา เพราะฉันก็ไม่อยากอยู่กับคุณเหมือนกัน”
ภูผามองถุงยาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ก่อนหยิบขึ้นมาดูจำนวนยาในถุง ราวกับจะดูให้แน่ใจว่าหญิงสาวได้กินยาที่หมอสั่งหรือเปล่า ก่อนจะวางถุงยาลงที่เดิม และยกเท้าบางข้างที่บาดเจ็บขึ้นดู
“ปล่อยนะ ไม่ต้องมาสนใจฉันได้มั้ย ฉันบอกแล้วไงว่าเกลียดคุณ เกลียดๆๆๆ ไม่ได้ยินรึไง” หญิงสาวปัดป้องมือหนาที่กุมข้อเท้าบาง แต่ภูผาไม่ยอมปล่อย
“คนเป็นห่วง อยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าแผลดีขึ้นมากรึยัง” คำพูดของเขาทำให้พิมพ์มาดาชะงัก และหรี่ตาลงมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ
“ฮึ ไม่ต้องมาเสแสร้งทำเป็นห่วงฉันหรอก ไอ้สิ่งที่คุณทำไว้กับฉัน มันไม่มีทางหวนกลับมาได้”
“ถ้าเธอ...ไม่ทำให้ฉันโกรธ เรื่องนั้นมันก็คงไม่เกิดขึ้น”
“มันเป็นความผิดของฉันอีกสินะ คนชั่ว”
“ฉันเป็นคนดี ไม่เคยคิดเป็นคนชั่วเลยสักนิด”
“แต่ฉันไม่เคยเห็นคุณเป็นคนดีเลย คุณมันชั่วๆๆๆ”
เขาบดขยี้จูบหญิงสาวอย่างหนักหน่วง พิมพ์มาดาเองก็เม้มริมฝีปากอิ่มเอาไว้แน่น แต่ก็ต้องเผยอออกด้วยความเจ็บปวด เมื่อแก้มนวลถูกมือหนาบีบเข้าหากันราวคีมเหล็ก มือบางไล่ทุบตีไปทั่วร่างแกร่งจนเจ็บมือไปหมด ภูผาส่งเรียวลิ้นเข้าไปทักทายลิ้นเล็กๆ ของหล่อน ตวัดพัวพันไปมาอย่างดูดดื่ม ควานหาความหวานเนิ่นนานจนพึงพอใจก็ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“ทีนี้เห็นดีหรือยัง” เขาถามชิดริมฝีปากนุ่ม
“ชั่ว” หล่อนตอบกลับมาสั้นๆ
ริมฝีปากได้รูปก็ฉกวูบลงไปอีก คราวนี้เต็มไปด้วยความเรียกร้อง ร่างบางนั้นอ่อนลงเมื่อเจอกับสัมผัสที่อ่อนโยนและเรียกร้องจากเขา มือบางเปลี่ยนจากทุบตีเป็นวางนิ่งๆ อยู่บนบ่าแข็งแรง
“เห็นดีหรือยัง” เขาถามอีก เมื่อถอนริมฝีปากออก
“ชะ” ริมฝีปากได้รูปก้มต่ำลงมาทันที “ดีแล้ว” พิมพ์มาดารีบตอบออกไป ก่อนจะโดนจูบอีกครั้ง
ภูผากดมุมปากของตนลึกเป็นรอยยิ้มบางๆ ให้หญิงสาว
“จำไว้นี่คือการเห็นดี อย่างฉันคงไม่มีการเห็นชั่ว แต่อย่างเธอน่ะไม่แน่”
พิมพ์มาดาผลักร่างสูงออกทันทีอย่างฉุนกึก แต่เขาก็ไม่ยอมจากไปไหน ใบหน้านวลสวยนั้นบึ้งตึงงอง้ำลงอย่างขัดใจ
ภูผาลากปลายนิ้วเรียวไปบนสาบเสื้อที่เธอสวม พิมพ์มาดากำลังสร้างความปั่นป่วนทางร่างกายให้กับเขาอีกแล้ว ทำไมหญิงสาวถึงได้น่าปรารถนามากขนาดนี้
“คุณจะทำอะไร” หล่อนคว้าหมับเข้าที่สาบเสื้อของตนแน่นอย่างระวังตัว
เสียงสั่นๆ ของพิมพ์มาดาเรียกสติของชายหนุ่มให้กลับคืนมา ภูผาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะยืนขึ้นและเดินกลับออกไปเงียบๆ ถ้าไม่รีบออกมา เขาอาจทำร้ายเธออีก ทั้งที่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แต่กับพิมพ์มาดาแล้วเขามักจะห้ามใจไม่อยู่ และปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลไปเสียทุกครั้ง
“ความจริงน้ำค้างไม่ต้องมานอนเฝ้าฉันก็ได้นะจ๊ะ ฉันนอนได้” พิมพ์มาดาบอกอย่างเกรงใจสาวน้อย เมื่อเห็นมณีรินหอบที่นอนเข้ามานอนเป็นเพื่อนทุกคืน
“ไม่เป็นไรหรอก น้ำค้างนอนได้ นายหัวคงเป็นห่วงคุณน่ะเลยให้น้ำค้างมานอนเป็นเพื่อน”
“เชอะ เขาน่ะเหรอจะเป็นห่วงฉัน กลัวฉันหนีล่ะสิไม่ว่า”
มณีรินส่งยิ้มน่ารักให้อย่างปลอบใจ
“นายหัวไม่ได้ร้ายมากอย่างที่คุณเข้าใจหรอก”
“น้ำค้างยังไม่รู้หรอก ว่าเขาทำอะไรฉันไว้บ้าง” น้ำเสียงนั้นฟังดูเศร้าๆ พิกล
“ตอนนี้นายหัวกำลังโกรธอยู่ เดี๋ยวถ้านายหัวหายโกรธคุณก็จะรู้เอง” มณีรินเอนกายลงนอน “นอนเถอะ พรุ่งนี้น้ำค้างต้องตื่นไปช่วยแม่แต่เช้า”
พิมพ์มาดาจึงต้องเอนกายลงนอนบ้าง และหลับลงไปทันทีที่หัวถึงหมอน
เสียงไก่ขันในยามเช้าปลุกให้หญิงสาวตื่นจากหลับใหล พิมพ์มาดาลุกขึ้นนั่งและมองไปตรงที่มณีรินนอนเมื่อคืนนี้ แต่ก็ไม่เห็นเงาของสาวน้อยอยู่แล้ว พร้อมที่หลับที่นอนก็ถูกเก็บอย่างเรียบร้อย
หญิงสาวลุกขึ้นเดินเขย่งเท้าไปยังห้องน้ำ จัดการล้างหน้าแปรงฟันและทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อย ก็กลับออกมา ใบหน้าสวยมีอันต้องงอลงอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างสูงของภูผายืนอยู่หน้าเตียงเล็ก เขายื่นผ้าขน หนูผืนเล็กให้หญิงสาวซับหน้า พิมพ์มาดากระชากผ้าขนหนูผืนนั้นจากมือหนามาซับหน้า ก่อนจะพาดไว้ที่ขอบหน้าต่าง
ภูผาพยุงร่างบางพาเดินออกมาด้านนอก ซึ่งมีโต๊ะกลมตัวเล็กพร้อมเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมีข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ตั้งอยู่สองถ้วย
นายหัวหนุ่มลากเก้าอี้ให้พิมพ์มาดานั่ง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
“คุณนี่ผีเข้าผีออกจริงๆ เนอะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” พิมพ์มาดาอดที่จะแขวะไม่ได้
“กินๆ เข้าเถอะน่ะ พูดมากอยู่ได้รำคาญ” ภูผาบอกเสียงแข็ง ก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก
พิมพ์มาดามองเขากินอย่างเอร็ดอร่อย หล่อนก็เลยตักข้าวต้มเข้าปากบ้าง
“โอ๊ย...ร้อน” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างตกใจ วางช้อนที่ยังมีข้าวต้มอยู่ลงในถ้วย และอ้าปากโบกมือไปมาเหมือนเด็ก
“ฮึ! สมน้ำหน้า อยากโง่ไม่ยอมเป่าก่อนทำไม” เขาว่าอย่างเผ็ดร้อน
พิมพ์มาดาได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรง ดวงตาคู่สวยมองชายหนุ่มอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก็เธอเห็นเขาตักเข้าปากกินเอาๆ ไม่คิดว่าจะร้อนนี่นาก็เลยไม่ได้เป่า
“ใครจะไปรู้ว่าคุณลิ้นจระเข้ ไม่รับรู้ว่ามันร้อนหรือเย็น”
“อ้าว...ฉันชอบกินของร้อนเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ลิ้นฉันน่ะไม่ใช่ลิ้นจระเข้แน่นอน เพราะว่ามันรู้หวานรู้ขม” คำพูดสองแง่สองง่ามของเขา ทำให้ใบหน้านวลนั้นแดงระเรื่อขึ้นทันที
มือใหญ่คว้าถ้วยข้าวต้มของพิมพ์มาดามาคนไปมา พร้อมกับเป่าไปด้วย สักพักเขาก็ส่งคืนให้คนที่นั่งหน้าหยิกอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อ้าว...กินซะสิ หรือต้องให้ป้อนอีก”
“ไม่ต้อง”
พิมพ์มาดาตักข้าวต้มขึ้นมาและเป่าลงไปอีก ก่อนจะส่งเข้าปากตัวเอง ภูผามองตามแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความเป็นเด็กของหล่อน
ชายหนุ่มหยิบถุงยาส่งให้หญิงสาวเมื่อเห็นเธอกินเสร็จแล้ว พิมพ์มาดารับมาก่อนจะเปิดและหยิบยาใส่ปาก ตามด้วยน้ำเย็นหนึ่งแก้วเต็มๆ พิมพ์มาดาเหลือบตามองชายหนุ่ม และไม่เข้าใจในการกระทำของเขานัก
“มองอะไร” เสียงถามห้วนๆ ที่ดังมา ทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขาเองก็มองหล่อนอยู่เช่นกัน
“มองคนผีเข้าผีออก”
“เธอจะมองฉันยังไง ฉันไม่ว่า แต่อย่าคิดเชียวนะว่าฉันจะดีกับเธอ ฉันแค่จะให้เธอหายไวๆ เพื่อจะลงโทษเธอตามที่ตั้งใจไว้เท่านั้น” เขาบอก ก่อนจะเดินมาฉุดหญิงสาวขึ้นจากเก้าอี้และลากเข้าไปข้างในบ้าน
ภูผาจัดการทำความสะอาดบาดแผลที่เท้าบางให้หล่อนอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะพันผ้ากลับคืนให้ดังเดิม และเดินออกไปอย่างเงียบๆ เหมือนขามา ทิ้งร่างบางให้อยู่คนเดียวในบ้านหลังเล็กอีกครั้ง
ร่างของไอ้สินและไอ้แกะที่เดินผ่านมาเห็นพิมพ์มาดาเข้า ก็หยุดมองด้วยสายตาหมายมาด
“ไอ้แกะ มึงดูสิวะ นางฟ้าปรากฎโฉมให้ได้เห็นกันแต่เช้าเลยว่ะ”
“จริงด้วยพี่สิน คนอะไรเป็นคนดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นนางฟ้า” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น
“คอยดูนะไอ้แกะ กูจะเป็นคนสอยนางฟ้าลงมานอนกอดให้ได้” ไอ้สินบอก ก่อนจะมองไปที่ร่างบางอีกครั้ง และเดินจากไป
