ตอนที่ 5 ร้าย...สมกับเป็นพญามาร
5
ร้าย...สมกับเป็นพญามาร
นายหัวหนุ่มปลดกระดุมกางเกงขาสามส่วนและกระชากลงต่ำพร้อมกางเกงชั้นในตัวจิ๋ว ต้นขากำยำแทรกเข้าระหว่างกลางร่างและดันต้นขาเรียวแยกห่างจากกัน
ภูผาใช้ความช่ำชองของตัวเองปลุกเร้าอารมณ์ใฝ่ต่ำของพิมพ์มาดา กระชากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอทิ้ง และดึงรั้งความรู้สึกชนิดหนึ่งให้พุ่งขึ้นสูง สายลมที่โชยเอื่อยไม่ได้พัดพาความร้อนรุ่มให้ดับลง กลับยิ่งเหมือนเชื้อเพลิงที่ราดลงบนกองไฟพิศวาสให้ลุกโชติช่วง
พิมพ์มาดารู้สึกร้อนวาบไปทั่วร่างแต่ขนในกายกลับลุกชันราวหนาวเหน็บ ภูผาสอดปลายนิ้วเข้าที่กลางร่างสาว นวดคลึงเนินสวาทที่อวบอิ่ม ก่อนกรีดปลายนิ้วไปตามรอยแยกของกลีบกุหลาบดอกงาม มืออีกข้างเคล้นคลึงอกอวบไร้บราเซียผ่านเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ปลายเล็บคมที่จิกเข้าที่ต้นคอหนาถูกเจ้าของคลายออกอย่างลืมตัว
“ไม่นะ อย่าทำแบบนี้” พิมพ์มาดาร้องห้ามเสียงสั่นอย่างแผ่วเบา ทันทีที่ริมฝีปากนุ่มถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
ภูผาเลื่อนริมฝีปากไปตามลำคอระหง จูบย้ำแผ่วๆ ที่ข้างหูหอมกรุ่นและขบเม้มติ่งหูเล็กบาง ปลายนิ้วที่ขยับเลื่อนไล้และสอดลึกเข้าไปข้างในความอบอุ่น ความคับแน่นที่ตอดปลายนิ้วของเขาทำให้ภูผาต้องกลั้นหายใจ ความชุ่มฉ่ำที่อาบเรียวนิ้วหนาทำให้ภูผาต้องครางเสียงแหบพร่า
“พิมพ์มาดา...ทำไมถึง...”
ปลายนิ้วแกร่งเริ่มสอดเข้าไปลึกขึ้น และเมื่อพบกับสิ่งกีดขวางที่เป็นเยื่อบางๆ ภูผาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เขาชะงักปลายนิ้วและผละริมฝีปากออกจากติ่งหู ก่อนมองสบตาคู่สวยที่หรี่ปรือและฉ่ำเยิ้มนิ่ง
“ทำไม...ไอ้ทินวิทย์มันไม่น่าปล่อยเธอให้รอดพ้นนี่นา แล้วทำไม...” ภูผาถามอย่างไม่เข้าใจ
พิมพ์มาดากะพริบตาปริบๆ ก่อนดึงสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปไกลกลับคืนมา
“ฉันเคยบอกคุณแล้ว ว่าฉันเพิ่งรู้จักทินวิทย์ ฉันไม่ได้เป็นคนรักของเขา” หญิงสาวตะโกนใส่หน้าหล่อเหลา และผลักร่างหนาให้ออกห่าง ทำให้ภูผาถอดถอนปลายนิ้วที่ยังคงฝังอยู่ในร่างอุ่น
“ไม่...ฉันไม่เชื่อ ฉันมีหลักฐานยืนยัน ว่าไอ้ทินวิทย์มันรักเธอ”
พิมพ์มาดาข่มความเขินอายก้มลงดึงกางเกงขึ้น ใบหน้างามหวานหยดนั้นแดงซ่าน และตวัดค้อนคมใส่ร่างสูงถี่ยิบ
“แล้วไหนล่ะหลักฐานน่ะ”
“ฉันมีแน่ อีกไม่นานเธอก็รู้ แต่...ตอนนี้เรามาต่อเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า” ภูผาขยับร่างเข้าหาอีกครั้ง แต่คราวนี้พิมพ์มาดาหลบฉาก แล้วต้องร้องครางอย่างเจ็บปวด เมื่อลืมตัวลงน้ำหนักไปที่เท้าข้างที่บาดเจ็บเต็มแรง
“โอ๊ย”
“พิมพ์มาดา...” ภูผาปรี่เข้าไปช่วยผยุงร่างบาง แต่ก็ถูกมือบางปัดป้อง “นี่...เธออย่าอวดดีนักได้มั้ย เวลาที่เธอครางน่ารักกว่าอวดดีแบบนี้เยอะเลย”
พิมพ์มาดาจ้องเขาตาเขียวปั๊ดอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มือหนาของภูผาคว้าหมับที่ต้นแขนเรียวของพิมพ์มาดาแล้วลากร่างบางออกเดิน หญิงสาวดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา
“ปล่อยนะ ฉันเดินเองได้ ไม่จำเป็นต้องลากไปแบบนี้”
ภูผาไม่ตอบและไม่ยอมปล่อยมือ เขาพาหญิงสาวเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว พิมพ์มาดาก็เหมือนจะทรุดฮวบลงถ้ามือหนาไม่ได้รั้งแขนเรียวไว้ได้ทัน ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของพิมพ์มาดา และตวัดร่างบางขึ้นพาดบ่าแทน
“ปล่อยนะ นี่...ไม่ต้องแบกฉันแบบนี้ได้มั้ย ฉันบอกแล้วไงว่าเดินเองได้”
“หุบปากซะ อยู่เงียบๆ ไม่งั้นฉันได้ตีก้นเธอแน่ๆ”
“ตีสิ คุณก็ดีแต่ใช้กำลังอยู่แล้วนี่ จะแปลกอะไรถ้าคุณจะตีก้นฉัน” พิมพ์มาดาเถียงคำไม่ตกฟาก เพราะคิดว่าเขาคงไม่ตีก้นหล่อนจริงอย่างที่พูด แต่เธอคิดผิด เพราะภูผาฟาดฝ่ามือหนาเข้าที่ก้นงอนงามสองครั้ง “โอ๊ย...ฉันเจ็บนะ คนบ้า” ร่างบางที่ห้อยหัวต้องดีดตัวขึ้นและทุบตีแผ่นหลังกว้างหลายอึก
“ทุบเข้าไป ตอนนี้ฉันให้เธอทุบ แต่พอถึงบ้านเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการเธออย่างสาสม”
พิมพ์มาดาอยากต่อว่าเขาให้เจ็บแสบ และอยากทำร้ายร่างแกร่งให้เจ็บปวด แต่เธอรู้ว่าการจัดการที่ชายหนุ่มว่านั้นหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงจับต้องหุบปากเงียบ ปล่อยให้เขาแบกเธอเดินดุ่มๆ เหมือนเธอเป็นกระสอบนุ่นที่เบาหวิว
ภูผาแบกร่างบางของพิมพ์มาดากลับมายังเรือนหลังเล็ก มณีรินและป้าทองเดินแกมวิ่งเข้ามาเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายแบกร่างของพิมพ์มาดาเดินดุ่มๆ เข้าไปในเรือนหลังเล็ก
“น้ำค้างไปตามหมอมา” เขาสั่งทันทีที่เห็นมณีริน
สาวน้อยวิ่งสวนทางกับร่างสูงของศิลา ชายหนุ่มคว้าแขนเรียวไว้ก่อนที่หล่อนจะวิ่งเลยไป
“มีอะไรน้ำค้าง” เขาถาม
“นายหัวให้ไปตามหมอ”
“ใครเป็นอะไร” ศิลาถามต่อ
“เชลย” ศิลาเลิกคิ้วให้กับคำบอกของน้ำค้าง เขานิ่งไปนิด “นายหินปล่อยแขนน้ำค้างก่อน น้ำค้างจะรีบไปตามหมอ ไม่อยากถูกนายหัวดุเอา”
ศิลายอมปล่อยมือออกจากแขนเรียว เมื่อได้รับอิสระมณีรินก็เร่งฝีเท้าเพื่อไปตามหมอให้นายหัวทันที ศิลานิ่วหน้าก่อนจะเดินไปยังบ้านสีฟ้า
“นายหัว”
ภูผากำลังดูแผลที่เท้าบางของพิมพ์มาดาอยู่ก็หันมามองตามเสียงเรียก ศิลามองเลยไปยังร่างบางที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียง เมื่อได้ออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ หญิงสาวยิ่งดูงดงามกว่าเดิมเสียอีก แม้ว่าจะดูมอมแมมมากไปหน่อยก็ตาม
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ” ศิลาอาสา แต่ร่างสูงก็ส่ายหน้าให้
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรอให้หมอมาดูดีกว่า”
“โดนอะไรเหรอครับ”
“หนามตำ” ภูผาบอกสั้นๆ ไม่นานนักร่างสมส่วนของหมอวิชัยก็มาถึง
“หมอดูให้หน่อยสิ ที่เท้าเท่านั้นนะ” ภูผาบอกหน้าตาเฉย
หมอหนุ่มลังเลอยู่พักหนึ่งก็ก้มลงดูที่เท้าบางของพิมพ์มาดา แม้เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าหล่อนมีบาดแผลที่อื่นบ้างไหม แต่คำพูดที่เจาะจงให้ดูเฉพาะที่เท้าบางนั้นทำให้หมอหนุ่มจนคำพูด
“แผลค่อนข้างลึก หมอจะใส่ยาแล้วให้ยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดไว้กิน แต่หมอจะมาล้างแผลให้ทุกวัน”
“ไม่ต้อง หมอแค่บอกมาเท่านั้นว่าจะต้องทำยังไงบ้าง” เสียงเข้มๆ ที่สวนกลับมานั้น ทำให้หมอหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง แต่เขาก็ต้องบอกวิธีการล้างแผลให้เจ้านายหนุ่มฟังอย่างละเอียด
“เอ่อ...ระหว่างนี้ห้ามไม่ให้แผลถูกน้ำนะครับ”
ภูผาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปบอกศิลาให้ไปส่งหมอ
เมื่ออยู่กันเพียงสองคน พิมพ์มาดาก็มองชายหนุ่มที่ยังยืนกอดอกมองเธออยู่เงียบๆ หญิงสาวปล่อยให้เขามองเฉยๆ แต่ไม่ถามไม่คุยด้วย จนกระทั่งร่างสูงขยับตัวเข้ามาใกล้ ร่างบางจึงขยับหนีทันที
“นี่แม่คุ้ณ...อย่าทำท่าทางราวกับว่าฉันเป็นสัตว์ป่าที่คอยจ้องขย้ำเหยื่ออย่างเธอเลย” ภูผาหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาว
“แล้วคุณมันต่างจากสัตว์ป่าตรงไหนกัน” เสียงใสนั้นแหวใส่เขากลับมา
ภูผาไม่ตอบ เขาเดินผ่านร่างบางเข้าไปยังห้องน้ำและออกมาอีกครั้งพร้อมกะละมังใบเล็ก ในนั้นมีน้ำและผ้าขนหนูแช่อยู่ ชายหนุ่มนำกะละมังมาวางไว้ที่พื้น เขาเอื้อมมือมาจะถอดเสื้อคอกระเช้าที่พิมพ์มาดาสวม
“จะทำอะไรน่ะ” มือบางกุมคอเสื้อไว้แน่น
“ก็จะถอดเสื้อผ้าทำความสะอาดร่างกายให้เธอไง เธอไม่ได้ยินที่หมอบอกเหรอว่าห้ามโดนน้ำ แต่ถ้าจะไม่ทำความสะอาดตัวเธอเลย ฉันคงทนกลิ่นเหม็นที่ออกมาจากตัวเธอไม่ไหวหรอกนะ”
“ไม่ต้องฉันทำเองได้” หล่อนรีบปฏิเสธ ภูผายักไหล่แต่ก็ยอมถอยห่าง
พิมพ์มาดามองตามร่างสูงที่ถอยออกไป หล่อนส่งสายตาพิฆาตให้เมื่อร่างสูงยังไม่ยอมออกไปให้พ้นจากบ้านนี้
“คุณก็ออกไปสิ” พิมพ์มาดาไล่
“เธอยังจะอายอะไรกับฉัน จำไม่ได้เหรอว่าฉันเคยเห็นเธอมาหมดทุกซอกทุกมุมแล้ว”
พิมพ์มาดาแทบกรีดร้องออกมาอย่างโมโห เมื่อได้ยินคำพูดที่แทงใจดำของชายหนุ่ม
“หุบปากเน่าๆ ของคุณไว้เลยนะ คราวนั้นฉันถือว่าให้ทาน แต่มันคงไม่มีทางจะเกิดขึ้นอีกแล้ว” พิมพ์มาดาตวาดแหวใส่ภูผา โดยลืมไปว่าหล่อนตกเป็นรองชายหนุ่มมากแค่ไหน
ภูผาเอียงคอมองพิมพ์มาดาด้วยท่าทางน่าตบ “งั้นเหรอ”
ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปหาพิมพ์มาดาอีกครั้ง หญิงสาวเขยิบถอยหลังหนีจนชิดผนังห้อง มือใหญ่คว้าข้อเท้าเล็กไว้ ก่อนกระตุกแรงๆ ร่างบางปลิวหวือเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
“อยากรู้มั้ยล่ะ ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า” เสียงของชายหนุ่มแหบพร่าอยู่ข้างใบหู
พิมพ์มาดาหน้าตาตื่น มือบางพยายามจะผลักดันร่างสูงออก แต่ร่างสูงแข็งแกร่งนั้นก็ไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่นิดเดียว
“อย่านะ” หล่อนห้ามเสียงสั่น
“ทำไมล่ะ ก็ดูเธอแน่ใจนักนี่ว่าจะรอดพ้นเงื้อมือฉันไปได้ ฉันก็จะพิสูจน์ให้เธอดูไงว่าใครมันจะแน่กว่ากัน” ภูผาเตรียมจะซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอระหง แต่แล้วก็ต้องชะงักค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อดวงตาคมเหลือบเห็นร่างบางของมณีรินยืนอยู่ตรงประตู
เขาผละร่างออกจากร่างอรชรทันที ดวงตาคมตวัดไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยืนมองตาค้างอยู่หน้าประตูบ้าน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ามณีริน และจ้องหน้าสาวน้อยที่มาใหม่อย่างไม่พอใจนัก
“เอ่อ...นะ...นะ...น้ำ...น้ำค้าง มะ...มาดูว่านายหัวต้องการอะไรอีกหรือเปล่า” เสียงหวานใสของ มณีรินค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“เธอเข้าไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้หล่อนที” ภูผาบอกและเหลียวกลับมามองร่างบางที่ยังหน้าตาตื่นอยู่บนเตียงอย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินจากไป
พิมพ์มาดาและมณีรินต้องถอนใจออกมาอย่างโล่งอก มณีรินเดินส่งยิ้มฝืดๆ เข้าไปให้หญิงสาว นี่น่ะหรือเชลยของนายหัว สวยจริงๆ ด้วย
“ฉันชื่อมณีริน หรือจะเรียกว่าน้ำค้างก็ได้ คุณล่ะชื่ออะไร”
พิมพ์มาดามองหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ผิวสีน้ำผึ้ง รวบผมยาวสลวยขึ้นเป็นหางม้าง่ายๆ
“ฉันชื่อพิมพ์มาดา ชื่อเล่นว่ากระถินจ้ะ” เสียงหวานใสสมกับความงามของคนบนเตียงตอบกลับมา
“ฉันจะช่วยคุณเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันทำเองได้ขอบใจมาก” พิมพ์มาดาส่งยิ้มหวานให้หญิงสาว
“ให้น้ำค้างช่วยเถอะ เอ่อ...น้ำค้างขอพูดตรงๆ เลยนะ ว่าคุณเริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เข้าแล้วล่ะ ขืนปล่อยให้คุณทำเองก็คงไม่เกลี้ยงหรอก”
“แต่ว่า...”
“จะเป็นอะไรไปล่ะ เราก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันไม่ต้องอายหรอกน่ะ แล้วเดี๋ยวน้ำค้างจะสระผมให้คุณด้วย”
ในที่สุดพิมพ์มาดาก็ต้องพยักหน้ายินยอม ‘ดีเหมือนกันให้น้ำค้างทำให้ เธอเองก็รู้สึกเหนียวตัวและก็เหม็นตัวเองเต็มทนแล้ว แต่ตาบ้านั่นไม่รู้สึกเหม็นบ้างรึไงนะ’ ความคิดของหญิงสาวเลยไปไกลถึงชายหนุ่มที่เพิ่งออกไป ใบหน้านวลแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ครู่ใหญ่ต่อมา พิมพ์มาดาก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งพับแขนขึ้นมาหลายทบ และกางเกงชาวเลขายาวผูกเอวบางเอาไว้แน่น มณีรินมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ในที่สุดหล่อนก็ลอกคราบให้นางโทษกลายเป็นนางฟ้าแสนสวย แม้จะดูตลกไปบ้างกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ แต่เธอก็ยังคงความงดงามเย้ายวนอยู่มากเลยทีเดียว
“เฮ้อ...เสร็จซะที” มณีรินเท้าสะเอวบางส่งยิ้มให้กับนางฟ้า
“ขอบใจมากจ้ะ” พิมพ์มาดาอดกล่าวขอบใจสาวน้อยอีกครั้งไม่ได้ ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก หมดหน้าที่ของน้ำค้างแล้วไปก่อนนะ แล้วน้ำค้างจะแว่บมาคุยด้วยบ่อยๆ” มณีรินหันมาบอกพิมพ์มาดาอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองเดินออกไปทิ้งร่างบางที่หล่อนให้สมญานามในใจว่า “นางฟ้า” ไว้คนเดียวในบ้านสีฟ้าหลังย่อมนี้
พิมพ์มาดาผ่อนลมหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะเอนตัวลงบนที่นอนและผล็อยหลับลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้มองว่าบานหน้าต่างที่เธอปีนหนีออกไปนั้น บัดนี้ได้ถูกปิดตายเรียบร้อยแล้ว
“ป้าทอง” ภูผาที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้มองเรือนหลังเล็กอยู่นั้น เห็นป้าทองกำลังเดินผ่านหน้าไปยังเรือนหลังเล็ก ก็เรียกเอาไว้
“คะ นายหัวมีอะไรให้ป้าช่วยเหรอคะ”
“พรุ่งนี้ ป้าไม่ต้องเฝ้าพิมพ์มาดาแล้วนะ ป้ากลับไปช่วยงานครัวในเหมือง และให้น้ำค้างมาเฝ้าพิมพ์มาดาแทน อ้อ...ถ้าแผลของพิมพ์มาดาค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว บอกให้น้ำค้างพาพิมพ์มาดาไปหาผมที่บ้านใหญ่ ผมจะให้พิมพ์มาดาไปเป็นแม่บ้านให้”
“แล้วยัยนวลละคะ ที่นั่นยัยนวลก็ดูแลอยู่แล้วนี่คะ” ป้าทองกำลังหวั่นวิตกแทนพิมพ์มาดา ร้อยวันพันปีนายหัวภูผาไม่เคยอยากให้ผู้หญิงคนไหนเข้าไปเดินป้วนเปี้ยนในบ้านใหญ่ นอกจากนายหญิงมธุรดา ป้านวลและมณีรินเท่านั้น ภาพของร่องรอยเป็นจ้ำๆ ที่ปรากฏบนลำคอระหง ยังคงติดตาติดใจป้าทองตลอดเวลา
“ป้านวลก็แก่แล้ว แก่พอๆ กับป้าทองนี่ล่ะ ผมอยากให้มีคนช่วยงานแกบ้าง ส่วนน้ำค้างที่เคยเดินสายระหว่างที่เหมืองกับครัวบ้านใหญ่ ก็คงไม่ต้องมาช่วยป้านวลแล้ว เพราะถ้าผมจะส่งพิมพ์มาดาไปช่วยงานครัวที่เหมืองคงจะไม่ได้ สาเหตุคงไม่ต้องพูดถึง ป้าก็น่าจะรู้ดี”
ป้าทองพยักหน้าอย่างเข้าใจ และอยากบอกเหลือเกินว่า สาเหตุที่นายหัวให้พิมพ์มาดาเข้าไปช่วยงานในบ้านใหญ่คืออะไร ป้าทองคิดว่าตนดูนายหัวภูผาไม่ผิดแน่นอน และใกล้ถึงเวลาที่นายหัวหนุ่มกำลังจะแพ้ภัยตัวเองแล้ว
มณีรินเข้าไปช่วยมารดาทำงานในครัวต่อ สาวน้อยพลางครุ่นคิดถึงร่างอรชรของพิมพ์มาดา ร่างบอบบางอรชรงดงามนั้น เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงๆ กระจายไปทั้งตัว จะว่าเป็นรอยถูกยุงหรือแมลงใดๆ กัด ก็ต้องเป็นตุ่มขึ้นมาสิ แต่รอยพวกนั้นเหมือนว่าจะช้ำมาจากข้างในมากกว่า แต่ขนาดของมันก็ไม่ใหญ่นัก สมองน้อยๆ ของมณีรินครุ่นคิดอย่างสงสัย
“น้ำค้างเอ้ย...น้ำค้าง” ป้านวลผู้เป็นมารดาเรียกลูกสาวที่กำลังนั่งเด็ดใบโหรพา แต่ดวงตานั้นเหม่อลอยไปถึงไหนๆ
“ป้าบ” เสียงฝ่ามือกระทบไหล่บางดังตามมา
“โอ้ย! แม่...มาตีน้ำค้างทำไมเนี่ย” สาวน้อยโอดครวญ และรู้สึกเจ็บๆ คันๆ ที่หัวไหล่
“ก็ข้าเรียกเอ็งตั้งนานแล้ว เอ็งเป็นอะไรไปน้ำค้าง ข้าใช้ให้เด็ดผัก แต่ดันมานั่งเหม่อลอยไปถึงไหนกันหรือว่าเอ็งไปตกหลุมรักหนุ่มคนไหนเข้าแล้วฮะ นังน้ำค้าง”
“แหม...แม่ก็ ฉันจะไปตกหลุมรักหนุ่มคนไหนได้ ลำพังคนงานในเหมืองเราน่ะ นอกจากนายหัวภูแล้วจะมีสักคนมั้ยที่หน้าตาดูดี เอาแค่หน้าตาดีเท่านั้นนะไม่ต้องถึงกับรูปหล่อ ฉันยังไม่เห็นมีสักคน แล้วแม่จะให้ฉันไปหลงรักใครเข้าล่ะ เชอะ ไม่มีหรอกแม่”
มณีรินลอยหน้าลอยตาตอบมารดา ป้านวลแอบเห็นด้วยกับหล่อน แต่...
“นายหินไงล่ะ ขานั้นคมเข้มนะโว้ย ดูเผินๆ อาจจะสู้นายหัวไม่ได้ แต่ข้าว่ามันหล่อคนละแบบกันว่ะ นายหัวน่ะผิวขาวเหมือนแม่ ไม่ว่าจะตากแดดมากขนาดไหนก็ไม่มีทางดำลงมากไปกว่านี้ ส่วนนายหินน่ะผิวเข้มเพราะทั้งพ่อและแม่ก็คมเข้มด้วยกันทั้งคู่ แต่...เอ็งอย่าบอกนะว่ากำลังคิดถึงนายหิน” มารดากระเซ้าลูกสาวไม่จริงจังนัก
“แม่!” ใบหน้านวลซับเลือดฝาดกระจายไปทั่วหน้า “ไม่ใช่ซักหน่อย น้ำค้างคิดเรื่องอื่นอยู่ต่างหากล่ะ แม่อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลยน่ะ” ริมฝีปากอิ่มยื่นออกมาอย่างขัดใจและเขินอาย
“อ้าว...ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมเอ็งถึงต้องหน้าแดงด้วยวะ”
“ก็แม่จะมายัดเยียดนายหินให้ฉันน่ะสิ ไปดีกว่าไม่ทงไม่ทำมันแล้ว” มือบางวางก้านใบโหรพาลง แล้วร่างบางก็ก้าวฉับๆ ออกไป ปล่อยให้มารดาส่ายหัวกับความผีเข้าผีออกของมณีริน
ตกเย็นหลังจากเลิกงานแล้วคนงาน 4 คน ที่มักจะรวมกลุ่มกันมานั่งกินเหล้ากันทุกเย็น ก็ทยอยกันเดินเข้ามาล้อมวงที่จุดเดิมและในเวลาเดิม
“เฮ้ย! วันนี้พวกมึงเห็นผู้หญิงคนที่นายหัวพามาหรือเปล่าวะ” ไอ้สินคนงานร่างใหญ่ ตัวดำเมี่ยมที่ตั้งตัวเป็นลูกพี่ของวงก็ถามไอ้ลูกน้องทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“เห็นสิพี่ นายหัวแบกขึ้นบ่าเดินดุ่มๆ เข้ามาเลยนะพี่สิน” ไอ้อูฐคนงานร่างสันทัด หนึ่งในลูกน้องทั้ง สามของไอ้สินบอก
“เออ...ฉันก็เห็นเหมือนกันนะพี่ แต่เห็นแว่บๆ นะพี่ ท่าทางจะสวยมากเลยล่ะ ฉันได้ยินพวกโรงครัวมันพูดกัน แต่ที่ฉันเห็นกับตานะพี่ ขาวว่ะพี่ขาว” ไอ้แมนคนงานร่างผอม และเป็นหนึ่งในลูกน้องทั้งสามของไอ้สินเช่นกันบอก
“เออ...กูรู้แล้ว เพราะกูก็เห็นมาเหมือนกับพวกมึง แม่งเอ๊ย...ทั้งขาวทั้งสวยเชียวนะมึง ขนาดมอมแมมแบบนั้นก็ยังดูสวยมากเลยว่ะ ถ้าได้เอามานอนกอดเล่นจ้ำจี้ในมุ้งกันสองต่อสองคงมีความสุขดีพิลึก” ไอ้สินบอก ก่อนที่เสียงหัวเราะเพลิดเพลินจะดังลั่นตามมา
“แต่นั่นมันของต้องห้ามนะพี่สิน ดูท่านายหัวจะหวงมากอยู่นา” ไอ้แกะ ลูกน้องอีกคนบอก
“มึงจะไปสนใจอะไรวะ ของต้องห้ามที่ไหนกัน นายหัวจับมาเป็นเชลยนะโว้ย แล้วถ้าเราแอบเข้าไปหาหล่อนโดยที่นายหัวไม่รู้จะเป็นอะไรไปวะ” ไอ้สินยังไม่เลิกความคิดชั่วๆ ของตน
“ก็จริงของพี่ แต่ต้องหาลู่ทางให้ดีก่อนนะพี่” ไอ้อูฐเตือน
“เออ...กูรู้ กูยังไม่เข้าไปวันนี้หรอกว่ะ รอให้ปลอดคนก่อน วันนั้นกูคงได้ขึ้นสวรรค์แน่ว่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ไอ้สินบอกอย่างหมายมาด ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อคิดถึงสวรรค์ที่ยังไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า
อีกสามวันต่อมา เมื่อบาดแผลที่ฝ่าเท้าของพิมพ์มาดาทุเลาลงมากแล้ว เธอก็ต้องเข้าไปช่วยงานครัวที่บ้านใหญ่ ในขณะที่หญิงสาวกำลังค่อยๆ ไต่บันได้สามขั้นลงมาจากเรือนหลังเล็ก พิมพ์มาดาก็พบกับศิลาที่กำลังจะเดินผ่านไปที่บ้านใหญ่เช่นเดียวกัน
“คุณกระถิน กำลังจะไปไหนเหรอครับ”
พิมพ์มาดามองศิลานิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกได้ว่าผู้ชายตรงหน้านี้เป็นใคร
“คุณหิน ขอโทษนะคะ ฉันไม่เคยได้คุยกับใคร ก็เลยต้องนึกก่อนว่าคุณเป็นใคร” หญิงสาวยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
ศิลาปรายตามองไปยังชายฉกรรจ์ที่ภูผาสั่งให้ยืนเฝ้าหญิงสาว เพราะกลัวพิมพ์มาดาจะหนี จนชายฉกรรจ์เหล่านั้นที่กำลังเดินมายังพิมพ์มาดาต้องหยุดชะงัก ก่อนจะถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม เมื่อเห็นศิลาสั่งด้วยดวงตาว่าไม่ต้องห่วงหญิงสาวจะหนี
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่อ...แล้วนี่คุณกระถินกำลังจะไปไหนเหรอครับ”
“ฉันกำลังจะไปบ้านใหญ่ค่ะ ใช่บ้านหลังนั้นรึเปล่าคะ” พิมพ์มาดาชี้ไปที่บ้านสองชั้นสีขาวที่ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆ ดูโดดเด่นและงดงาม
“อ๋อ...ใช่ครับ แล้วจะไปทำไมเหรอครับ”
“ก็เจ้านายของคุณ สั่งให้ฉันไปช่วยงานครัวที่นั่นค่ะ”
“เหรอครับ แล้ว...เท้าคุณหายดีแล้วเหรอ”
“ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ยังลงน้ำหนักมากไม่ได้นัก เพราะยังเจ็บอยู่บ้าง”
ศิลามองใบหน้าหวานสวยที่ยิ้มกริ่มนั้น ก็ถึงกับตาพร่ามัว และยืนอึ้งไปชั่วครู่ พิมพ์มาดาเป็นผู้หญิงสวยมากๆ สวยจนหัวใจของศิลากระตุก
“คุณหินคะ คุณหิน” พิมพ์มาดาเรียก เมื่อเห็นชายหนุ่มยืนเหม่อ
“เอ้อ...ครับ” ศิลาได้สติ และยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน “เอ่อ...ไปครับ ผมกำลังจะไปที่นั่นพอดี เดี๋ยวผมจะช่วยพยุงไป”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเดินเองได้แล้ว แต่ต้องไปช้าๆ หน่อย ถ้าจะกรุณาช่วยเดินเป็นเพื่อนก็ดีค่ะ”
“ด้วยความยินดีเลยครับ” ศิลารีบตอบ และรอให้หญิงสาวลงมาถึงพื้นด้านล่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเคียงไปด้วยกัน
