บท
ตั้งค่า

บทที่1.จบ

“เธอว่าใครคนไข้วัยซน” เมื่อลับหลังหมอก้องแล้วธีรดลก็ก้มลงมองคนที่เป็น ไม้เท้า ให้เขาอย่างขุ่นเคือง แววตาคมวาวๆ หน้าตึงๆ ดุดัน หากคนอื่นเห็นคงพากันกลัวแต่สำหรับเธอแล้ว มันไม่น่ากลัวสักนิด น่าขันเสียมากกว่าและเธอก็สนุกที่ได้ยั่วแหย่เขาให้ ของขึ้น…

“ก็ว่าคุณไง นอกจากคุณกับฉันจะมีใครอื่นอีกล่ะ”

“นี่เธอ เธอกล้า...”

“โอ้ยยยย อยู่แค่นี้จะตะโกนทำไมกันคุณ อยากจะฝึกเดินไม่ใช่หรือไง ก็ไปสิ ฉันจะพาไป”

เธอเงยหน้าทำเสียงดุๆ ใส่อีกต่างหากไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อพยัคฆ์ร้ายเช่นเขาเลยสักนิด ธีรดลที่ตั้งใจจะมาหาเรื่องแม่ตัวดีที่นั่งคุยกับผู้ชายหน้าระรื่นให้กระเจิง แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกเธอต่อว่าเหน็บแนมเอาเสียอีก

“เธอนี่มันปากกล้าจริงๆ ไม่รู้เป็นพยาบาลได้ยังไง ซื้อใบประกอบวิชาชีพมารึเปล่า”

“อ้าวคุณ พูดแบบนี้หมิ่นประมาทกันชัดๆ เลยนะคะเนี่ย ไม่ดี ไม่เอาไม่พูด”

หญิงสาวทำหน้าทะเล้นไม่ได้สนใจหรือสะทกสะท้านกับคำพูดของเขา ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ระวังไม่ให้เขาเดินสะดุดล้ม

“หึ.. ถ้าอย่างนั้นก็คงติดสินบนครูผู้สอนจนจบมาได้ ฉันเคยได้ยินมาว่าบางคนเอาเหล้าขาวหนึ่งขวด กับไก่ต้มหนึ่งตัว หรือไม่ก็หัวหมูหนึ่งหัวไปให้ เขาก็ให้ผ่านแล้ว”

วาสิฏฐีหัวเราะก๊ากกับคำเปรียบเปรยของชายหนุ่ม นี่เขาไปจำมาจากไหนกันเนี่ย

“โอ๊ย คุณ.. คุณนี่ไทยแท้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าไปอยู่อิตาลีตั้งแต่เด็กๆ ถามจริงๆ ไปจำไอ้เรื่องพวกนี้มาจากไหน วงเหล้าไหนเขาโม้ให้ฟัง”

ธีรดลขึงตามองคนที่สูงเพียงไหล่กว้างของตนอย่างหมั่นไส้ อารมณ์ที่เดือดปุดๆ อยู่แล้ว ดูเหมือนจะเดือดยิ่งขึ้นไปอีก

“นี่เธอ พูดมากจริง มีใครเคยบอกเธอมั้ย”

“มีเยอะแยะไป คนไข้บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนตัวพยาบาลเลยก็มี” หญิงสาวยอมรับหน้าตาเฉย

“หน้ามึนหน้าด้าน”

“โอ้โห.. นี่คุณ ปากจัดกว่าผู้หญิงอีกนะเนี่ย ข้าน้อยนับถือๆ”

วาสิฏฐียังมีแก่ใจจะยั่วโมโหเขาขณะช่วยประคองเขาเดินไปตามเส้นทางที่ทำไว้สำหรับให้เขาฝึกเดิน บรรยากาศร่มรื่นและแวดล้อมด้วยสวนดอกไม้ที่คุณนรากับวิกานดาสะใภ้ใหญ่ของบ้านช่วยกันปลูกนั่นเอง

“ประสาท... ดูหนังจีนมากไปละ”

“ข้าน้อยมิกล้าๆ” วาสิฏฐีหัวเราะกับคำพูดของเขา ธีรดลปรายตามองคนที่ทำหน้าทะเล้นให้เขาอย่างหมั่นไส้

“โอ้ยๆๆ นี่คุณ เดินดีๆ สิ เดี๋ยวก็พากันล้ม”

“อยากเกิดมาตัวเล็กทำไมล่ะ ตอนเด็กๆ ไม่ได้กินนมบ้างเหรอ”

“บังเอิญบ้านยากจนน่ะค่ะ แม่เลี้ยงด้วยนมข้นหวานละลายน้ำให้กิน บางวันก็ได้กินน้ำข้าวผสมน้ำตาลทราย บางครั้งก็อดมื้อกินมื้อ ถ้าฉันเกิดมารวยเหมือนคุณคงตัวสูงใหญ่เหมือนคุณนี่ล่ะน่า ว่าแต่คุณเคยกินน้ำข้าวผสมน้ำตาลทรายมั้ย อร่อยมากเลยนะคุณ สมัยฉันเป็นเด็กนะเวลาที่หุงข้าวแบบเช็ดน้ำน่ะ เราจะต้องเทน้ำข้าวทิ้งหรือไม่ก็เอาไว้เลี้ยงหมูต่อใช่ไหม แต่เราก็เอาน้ำข้าวที่มันเราหุงจนมันเดือดข้าวแตกเม็ดแล้วนั่นน่ะ ค่อยๆ รินใส่หม้อหรือแก้ว กลิ่นน้ำข้าวที่ต้มใหม่ๆ นี่มันหอมมากเลยนะคุณ ยิ่งถ้าเป็นข้าวหอมมะลินะ โอ้โห้หอมฟุ้งไปแปดบ้านสิบบ้าน หลังจากนั้นนะ เราก็เอาน้ำข้าวที่เราเทออกมา สมมุติว่าเป็นนมสดจากเต้า ใส่เกลือนิดหน่อย ผสมน้ำตาลทรายนิด มากน้อยแล้วแต่ใครจะชอบ แต่ฉันชอบหวานน้อยก็ใส่น้ำตาลนิดเดียว จากนั้นเราก็ชนแก้ว ดื่มมมม” หญิงสาวอธิบายพร้อมทำท่าประกอบจริงจังไปอีก

“เฮ้อออ.. ฉันขี้เกียจคุยกับเธอแล้ว”

ธีรดลถอนใจหนักๆ ยอมรับโดยดีว่าเขาไม่สามารถต่อปากต่อคำเถียงเธอได้สำเร็จ ส่วนวาสิฏฐียิ้มพรายอย่างผู้ชนะ

ธีรดลนั่งอ่านเอกสารสำคัญที่เลขาเอามาให้พิจารณาเพราะเป็นเรื่องสำคัญ ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด วาสิฏฐีนำอาหารและยามาให้เขาก็รับรู้ถึงความเคร่งเครียดของเขาด้วย

“มีอะไรคะ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว”

“งานมีปัญหานิดหน่อย”

“จริงๆ แล้วเนี่ย คุณก็อาการดีขึ้นบ้างแล้ว จะเข้าบริษัทก็สามารถทำได้นะคะถ้ามันเป็นงานสำคัญ เดี๋ยวฉันจะตามไปดูแลคุณเอง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแล้ววางปากกาในมือลง

“ดูเธอจะดูแลคนไข้ดีมากเลยนะ มีแผนอะไรรึเปล่า”

“นี่คุณมองฉันในแง่ดีมากเลยนะ ขอบคุณๆ เอาล่ะค่ะ พักก่อน มากินข้าวก่อน จะได้กินยา ร่างกายคุณแม้จะดีขึ้นแล้วแต่ก็ต้องบำรุงร่างกายอยู่นะคะ จะได้แข็งแรงเร็วๆ”

“ดูเหมือนเธออยากจะให้ฉันหายเร็วๆ เหลือเกินนะ ทำไม เบื่อคนไข้ที่เอาแต่ใจ ร้ายกาจเแบบฉันแล้วหรือไง”

“แน่นอนสิคะ ใครจะอยากมาอยู่กับคนไข้เอาแต่ใจอย่างคุณกัน เสียสุขภาพจิต”

ยอมรับหน้าตาเฉยไปอีก ธีรดลทำหน้าเบื่อหน่ายกับความตรงไปตรงมาของเธอเสียนัก จะพูดจาอ้อมค้อมให้เขารู้สึกดีกว่านี้สักนิดอย่าได้หวัง

“เธอนี่มันจริงๆ เลย”

“ฉันวางไว้ตรงนี้นะคะ” หญิงสาวบอกแล้วจะเดินออกไปจากห้อง ชายหนุ่มจึงเรียกไว้ก่อน

“เดี๋ยวสิ”

“คะ มีอะไรจะให้ฉันรับใช้คะ”

“มีน่ะมีแน่...”

“ว่ามาเลยค่ะ”

“วันนี้ฉันทำงานมาทั้งวัน เมื่อยไปหมด ช่วยป้อนข้าวหน่อย”

“หา...” วาสิฏฐีเสียงสูงมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อหู แล้วหันมามองเขาอย่างสงสัย ทั้งยังเดินวนรอบกายสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง อย่างพิจารณา ทั้งยังมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ไว้ใจเพราะดูท่าทางแล้วเขาไม่ได้มีท่าทางว่าเหนื่อยอ่อนเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเรียบเฉยไร้พิรุธ

“มีพิรุธนะคุณน่ะ”

“อะไรของเธอ”

“อย่างคุณน่ะเหรอจะอ่อนแอจนกินข้าวเองไม่ได้”

“ทำไม... คนอย่างฉันจะอ่อนแอบ้างไม่ได้เหรอ”

“อย่างคุณน่ะไม่ได้เรียกว่าอ่อนแอหรอก แต่เรียกว่าแสดงละครเก่ง แต่เอาเถอะ ฉันจะป้อน งั้นรีบมานั่งตรงนี้เร็วๆ ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ...”

หญิงสาวพูดพลางจูงมือเขาไปนั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร ทั้งยังจับเขานั่งเหมือนตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์

“อ้าปาก” เธอทำหน้าขึงขัง ธีรดลถอนใจหนักๆ

“นี่เธอแน่ใจนะว่าเต็มใจ”

“ไม่เต็มใจ”

“แล้วทีตอนนั้นทำไมจะต้องมาบังคับจะป้อนข้าวฉันล่ะ”

“ก็ตอนนั้นคุณดื้อนี่นา ถ้าไม่บังคับก็จะทำให้เสียงาน” เธอบอกพร้อมทั้งจ่อช้อนที่ปากของเขาที่ยังไม่ยอมอ้าปากเสียที

“นี่คุณ ฉันเมื่อยมือแล้วนะ ตกลงจะกินไม่กินลีลาเยอะเหลือเกิน” หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขาเหมือนมองเด็กดื้อคนหนึ่ง

“เธอออกไปเถอะ ฉันกินเองจะดีกว่า ป้อนเหมือนยัดแบบนี้ฉันกลัวจะสำลักตายก่อน”

“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง กินดีๆ นะเด็กดื้อ...”

วาสิฏฐียิ้มกว้างแล้วตบแก้มสากเบาๆ อย่างทะเล้น ธีรดลขึงตามองเธอ อย่างไม่พอใจก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาแพ้ให้กับเธอสินะ

“ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ”

“รู้จักแต่คุณตัวสูง แต่ฉันตัวเตี้ย”

“ไปๆ รีบๆ ออกไปเลยก่อนที่ฉันจะหักคอเธอ”

วาสิฏฐีหัวเราะร่าแล้วเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี เมื่อลับหลังของวาสิฏฐีแล้วใบหน้าที่เรียบเฉยดั่งรูปปั้นน้ำแข็งก็ผุดรอยยิ้มบางๆ มุมปาก โดยที่เจ้าตัวก็แทบจะไม่รู้ตัวว่ายิ้มออกมา…

“ยายบ้า กวนประสาทชะมัด”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel