ตอนที่ 5: การแยกจากครอบครัวและการสูญสิ้น
ความมืดในคุกหลวงนั้นแตกต่างจากความมืดในยามค่ำคืนที่ลู่ชิงหยวนเคยรู้จัก มันเป็นความมืดที่หนาวเหน็บ ชื้นแฉะ และมีชีวิตจิตใจ ราวกับอสุรกายที่คอยกลืนกินความหวังและลมหายใจของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ กลิ่นอับชื้นของดิน โคลน และสิ่งปฏิกูลโชยคลุ้งจนน่าสะอิดสะเอียน เสียงหยดน้ำที่ไหลซึมจากผนังหินดังก้องเป็นจังหวะที่น่าหวาดหวั่น สลับกับเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของนักโทษคนอื่นๆ ที่ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ และเสียงวิ่งของหนูตัวใหญ่ที่วิ่งพล่านอยู่ตามพื้น
ในมุมหนึ่งของห้องขังที่คับแคบและสกปรก ร่างของสามชีวิตจากตระกูลหลินกอดกันกลมเพื่อมอบไออุ่นให้แก่กันและกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เคยงดงาม บัดนี้กลับขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลนและฝุ่นดิน ฮูหยินหลินพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเข้มแข็งเพื่อลูกๆ แต่นางก็ไม่อาจซ่อนเร้นร่างกายที่สั่นเทาจากทั้งความหนาวและความหวาดกลัวเอาไว้ได้ หลินจื่อเซวียนนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาของเขาแดงก่ำจ้องมองเข้าไปในความมืดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่ไร้หนทางระบาย สองมือที่ถูกเชือกมัดจนเป็นรอยแดงช้ำกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
ลู่ชิงหยวนอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นตระหนก แต่สติสัมปชัญญะของนางกลับยังคงทำงานอย่างชัดเจน นางซบหน้าลงบนตักของมารดา พยายามใช้สองมือที่ถูกมัดของตนเช็ดน้ำตาให้ท่านอย่างทุลักทุเล
“ท่านแม่...อย่าร้องไห้เลยนะเจ้าคะ...ท่านพ่อจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านได้แน่” นางเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่พูดออกไป
ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้นอีก เพราะความโหดร้ายของโชคชะตาที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะสรรหาคำพูดใดๆ มาบรรยายได้ พวกเขาทำได้เพียงเกาะกุมกันและกันไว้แน่น...ยึดเหนี่ยวไออุ่นจากเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันเป็นที่พึ่งสุดท้าย ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
แต่แล้ว...ที่พึ่งสุดท้ายนั้นก็กำลังจะถูกกระชากไปจากพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม
เสียงบานประตูเหล็กที่เสียดสีกับสนิมดังขึ้นอย่างโหยหวนจนแสบแก้วหู แสงจากคบไฟสาดส่องเข้ามาจนทำให้ทุกคนต้องหยีตา ผู้คุมคุกร่างกำยำหลายนายก้าวเข้ามาในห้องขัง นำโดยนายกองผู้มีดวงตาเย็นชาคนเดิมที่บุกเข้าจับกุมพวกเขา
“ตามคำสั่งเบิกตัวนักโทษ!” เขาประกาศเสียงกร้าว
“นักโทษกบฏหลินเจิ้งเฟิง จะถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดินที่ลึกที่สุดเพื่อรอการไต่สวนจากศาลหลวง! ส่วนทายาทชาย หลินจื่อเซวียน ในฐานะที่เป็นทหารและอาจเป็นภัยคุกคาม ให้แยกไปขังเดี่ยวในแดนความมั่นคงสูง! สำหรับสตรีในตระกูล...ให้แยกไปจัดการตามขั้นตอนต่อไป!”
ทุกประโยคที่หลุดออกมาจากปากของเขา เปรียบเสมือนใบมีดที่กรีดเฉือนลงบนหัวใจของคนในครอบครัวหลิน
“ไม่นะ! พวกเจ้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้!” หลินจื่อเซวียนคำรามลั่น เขาลุกพรวดขึ้นหมายจะเข้าขัดขวาง
“ข้าเป็นลูกชายคนเดียว ข้าต้องดูแลแม่กับน้องสาว! ท่านพ่อของข้าบริสุทธิ์!”
แต่เขาตัวคนเดียวหรือจะสู้แรงของผู้คุมร่างยักษ์ถึงสี่คนได้ การต่อสู้ดิ้นรนของเขากลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ เขาถูกกระชากลากถูอย่างรุนแรง และถูกท้ายด้ามทวนฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรงจนร่างสูงใหญ่ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ก่อนจะถูกลากออกไปจากห้องขังราวกับซากสัตว์
“จื่อเซวียน! ลูกแม่!” ฮูหยินหลินกรีดร้องสุดเสียง นางพยายามจะถลาเข้าไปหาลูกชาย แต่ก็ถูกผู้คุมผลักกระเด็นกลับมาอย่างแรง
จากนั้น...เป้าหมายต่อไปของพวกมันก็คือตัวนาง ฮูหยินหลินหันขวับมากอดลู่ชิงหยวนไว้แน่นราวกับแม่ไก่ที่พยายามกางปีกปกป้องลูกน้อยจากพญาเหยี่ยว
“ได้โปรดเถิด...อย่าพรากลูกสาวไปจากข้าเลย...นางยังเด็ก นางไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยแม้แต่น้อย จะลงโทษอะไรก็มาลงที่ข้าคนเดียวเถิด!”
“ปล่อยข้า! ปล่อยท่านแม่ของข้า!” ลู่ชิงหยวนดิ้นรนสุดชีวิต แต่นางหรือจะมีแรงสู้ผู้ชายตัวใหญ่ได้ สองแขนของนางถูกกระชากออกจากอ้อมกอดของมารดาอย่างแรงจนหัวไหล่แทบหลุดจากบ่า ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของมารดาที่กำลังถูกลากไปอีกทางหนึ่ง เสียงร้องเรียกชื่อนาง
“ชิงเอ๋อร์! ลูกแม่! ชิงเอ๋อร์!” ค่อยๆ แผ่วเบาและห่างไกลออกไปทุกที...จนกระทั่งจมหายไปกับความมืดในที่สุด
ณ วินาทีนั้น โลกทั้งใบของลู่ชิงหยวนก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบ นางถูกพรากจากทุกคนที่นางรัก...จากท่านพ่อ ท่านพี่ และท่านแม่...จนหมดสิ้น ร่างของนางแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้เป็นหิน ความรู้สึกหนาวเหน็บที่ว่างเปล่าเข้าเกาะกุมหัวใจอย่างรุนแรง ความตื่นตระหนกแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังอันมืดบอดที่ไร้ซึ่งทางออก นางไม่ได้เป็นเพียงนักโทษอีกต่อไป...แต่นางได้กลายเป็นเด็กกำพร้าที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุดในโลก
แต่ชะตากรรมยังคงเล่นตลกกับนางไม่สิ้นสุด...
แทนที่จะถูกนำตัวไปยังห้องขังอื่น ลู่ชิงหยวนกลับถูกลากกลับออกมายังนอกคุกหลวงอีกครั้ง นางถูกผลักขึ้นไปบนรถม้าคันเดิมที่เคยใช้ขนส่งพวกเขามา ความสับสนและความหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่นางอย่างหนักหน่วง พวกมันจะพานางไปที่ไหน? จะนำนางไปประหารหรือ?
รถม้าเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย...มันคือถนนที่มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของนาง! หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความหวังอันริบหรี่ หรือว่าฝ่าบาทจะทรงเปลี่ยนพระทัย? หรือว่าท่านพ่อจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้แล้ว?
แต่แล้ว...ความหวังทั้งหมดก็มอดดับลงในพริบตา เมื่อนางมองเห็นภาพอันน่าสยดสยองอยู่เบื้องหน้า...
เปลวเพลิงสีส้มแดงฉานกำลังลุกโชนสู่ท้องฟ้ายามราตรี กลุ่มควันสีดำขนาดมหึมาลอยขโมงขึ้นไปในอากาศ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ของไม้และทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยประกอบกันขึ้นเป็นความทรงจำของนาง...
จวนตระกูลหลิน...บ้านของนาง...กำลังถูกเผาทำลายจนวอดวาย!
มันไม่ใช่เพลิงไหม้จากอุบัติเหตุ แต่เป็นการเผาทำลายอย่างจงใจ เพื่อลบชื่อของตระกูลหลินให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแห่งนี้! นางเห็นเงาร่างของขุนนางกำลังยืนคุมบ่าวไพร่ให้ขนย้ายทรัพย์สมบัติชิ้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ออกมา ทุกสิ่งทุกอย่าง...ตั้งแต่โต๊ะ เก้าอี้ ไปจนถึงหนังสือในห้องสมุดของท่านพ่อ...ทั้งหมดได้กลายเป็นของหลวงไปแล้ว
ลู่ชิงหยวนจ้องมองภาพนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและว่างเปล่า น้ำตาเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น นางมองดูมรดกของวงศ์ตระกูล...มองดูสถานที่ที่นางถือกำเนิดและเติบโต...ค่อยๆ กลายเป็นเถ้าถ่านไปต่อหน้าต่อตา นี่คือความหมายของคำว่า “สูญสิ้น” อย่างแท้จริง
รถม้าไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้น มันหักเลี้ยวเข้าสู่ตรอกซอกซอยอันมืดมิดและสกปรกที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ในที่สุดมันก็หยุดลงที่ลานกว้างแห่งหนึ่งที่สว่างไสวไปด้วยแสงคบไฟและเต็มไปด้วยเสียงจอแจจอแจ
นางถูกกระชากลงจากรถอย่างแรง และถูกผลักเข้าไปรวมกับกลุ่มสตรีและเด็กอีกหลายสิบคน ทุกคนต่างมีสภาพที่น่าเวทนาไม่ต่างกัน บางคนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น บางคนนั่งนิ่งด้วยแววตาที่เลื่อนลอย และบางคนก็จ้องมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่แข็งกร้าวและสิ้นหวัง
กลิ่นเหงื่อไคลและความสิ้นหวังคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ที่นี่คือที่ไหนกัน? คำตอบปรากฏขึ้นแทบจะในทันที เมื่อชายร่างท้วมฟันเหลืองคนหนึ่งเดินเข้ามาหานาง เขาใช้นิ้วที่หยาบกร้านและสกปรกเชยคางของนางขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดราวกับกำลังประเมินราคาสินค้า
“อืมม์...หน้าตาหมดจดงดงาม ผิวพรรณก็ดี ถึงแม้จะมอมแมมไปหน่อย แต่ดูจากรูปพรรณแล้วน่าจะเป็นของชั้นดีจากตระกูลสูงศักดิ์ที่เพิ่งล่มจม...แววตายังดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่แบบนี้แหละที่พวกขุนนางเฒ่าตัณหากลับชอบนัก! น่าจะทำราคาได้งาม!”
ตลาดทาส...
นี่คือตลาดทาส...สถานที่ที่นางเคยได้ยินแต่ในเรื่องเล่าขานอันน่าหวาดกลัว บัดนี้นางได้มายืนอยู่ ณ จุดที่ต่ำต้อยและน่าอดสูที่สุดของสังคมแล้ว
ชื่อ...ตระกูล...บ้าน...ครอบครัว...เกียรติยศ...ทุกอย่างถูกเผาทำลายไปพร้อมกับจวนหลังนั้น บัดนี้นางไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แม้กระทั่งอิสรภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ลู่ชิงหยวนแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยควันไฟ ดวงตาของนางที่เคยใสซื่อและอ่อนโยน บัดนี้กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดและเย็นชา...ความแค้นได้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของนางแล้ว
