ตอนที่ 7
7
ระยะเวลาหนึ่งปีช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน นับตั้งแต่วันนั้นจวบจนวันนี้ ฐิตารีก็มีอายุ 20 ปี พร้อมทั้งยังคงความเป็นคู่หมั้นของอาจารย์เมฆินทร์ บราวน์ มาหนึ่งปีเต็ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาคู่หมั้นของเธอให้เกียรติเธอมาตลอด เขาแค่จับมือและโอบกอดเป็นบางครั้ง ไม่ทำอะไรมากกว่านั้น คำขู่เมื่อ 1 ปีก่อน ไม่ถูกนำมาใช้แม้เธอจะเล่นแง่แค่ไหน จนฐิตารีรู้สึกว่าเธอกำลังเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุด
ทว่าความรู้สึกที่มีมากกว่านั้นคือความอึดอัด ความรู้สึกเหมือนถูกจองจำด้วยกระจกใสภายในห้องขัง เธอเห็นทุกคน ได้คุยกับทุกคนที่อยากคุย แต่ถ้าเจอหน้าเขาทุกคนก็เกือบจะกลายเป็นภาพลวงตา เพราะเวลานั้นเธอต้องอยู่กับเขาแค่คนเดียว
เหมือนวันนี้...
“ข้าว! ข้าวหอม อาจารย์มาร์คมารอหนูอยู่นานแล้วนะลูก”
ร่างอวบที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัวตะโกนเรียกบุตรสาวลั่นบ้าน นางกมลา สุริยาพิบูลย์ เป็นอดีตข้าราชการวัย 55 ปี เธอเพิ่งจะเกษียณเมื่อเดือนก่อน หลังจากนั้นก็ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำข้าวแกงขาย ส่วนสามี นายฐากูล สุริยาพิบูลย์ เป็นช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ามานานนับ 10 ปี หลังจากที่โหมงานเป็นลูกน้องเถ้าแก่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ามานานปีดีดัก ปีนี้อายุ 57 งานหนักแค่ไหนก็ยังสู้ขาดใจ ตราบใดที่ยังมีร่างกายแข็งแรงเป็นทุนชีวิต
หญิงสาวในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง สะพายกระเป๋าเป้ใบไม่โตนักสาวเท้าเร็วรี่ลงมาจากชั้นสอง
“มาแล้วค่ะ” เธอบอกมารดาแล้วมองผ่านไปยังห้องรับแขก เห็นร่างสูงในชุดภูมิฐานนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก็แสร้งตีหน้าบึ้งแล้วเดินเข้าไปกราบมารดาที่อกเสื้อ “ข้าวไปเรียนก่อนนะคะแม่”
“อย่าทำหน้าบูดแบบนั้นสิข้าว ตื่นเช้ามาต้องทำหน้าสดใส อะไรๆ จะได้สดชื่นตาม”
“ถ้าข้าวขึ้นรถเมล์ไปเองก็น่าจะยิ้มออกอยู่หรอกค่ะ แต่นี่...”
“ไม่เอานะข้าว อย่าพูดอะไรที่ไม่เป็นอันควร ไปได้แล้ว อาจารย์มาร์คมารอหนูอยู่นานแล้ว อ้อ...ก่อนไปลูกควรจะดื่มนมสักแก้วก่อนนะ”
ฐิตารีรับแก้วนมมาจากมือมารดาแล้วดื่มพรวดทีเดียวหมดแก้ว ก่อนจะแลบลิ้นเลียคราบนมบนกลีบปาก
“หมดเกลี้ยง! หนูไปแล้วนะคะ”
ฐิตารีเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มในห้องรับแขก ตั้งแต่เธอหมั้นกับเขามาตลอด 1 ปี เขาและเธอก็คล้ายจะเป็นคนอื่นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เขาทำตัวเหินห่างแต่เขาตีกรอบให้เธอเหลือเพียงช่องสี่เหลี่ยมแคบๆ เธอรู้สึกไม่ต่างจากเป็นนกน้อยในกรงทองของเขา
เขาเก่งที่เอาความเป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่มาผนวกกับการสอนพิเศษซึ่งได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินแค่กระผีก (สำหรับเขา) แต่สิ่งที่ได้กลับไปนั้นสำคัญกว่ามาก นั่นก็คือผลงานการออกแบบเครื่องประดับล้ำค่าต่อยอดเป็นรายได้มหาศาลคืนกลับมาให้เจมส์บราวน์ คนฉลาดหลักแหลมเช่นเขาไม่เคยทำอะไรแล้วไม่เกิดประโยชน์
“อาจารย์เมฆินทร์คะ” สาวน้อยเรียกเขาตามที่เรียกขานในมหาวิทยาลัยตั้งแต่เขากลายมาเป็นอาจารย์สอนวิชาพิเศษ แม้เขาจะทำหน้าไม่พอใจทุกครั้งกับวาจากล่าวขานของเธอ แต่เธอก็ไม่สน
“บอกแล้วไงคะ ว่าให้เรียกพี่มาร์ค” เมฆินทร์ บราวน์ หรือพี่มาร์คของเธอเตือนเสียงเย็น
“ข้าวเรียกอาจารย์ว่าพี่ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะในความเป็นจริง อาจารย์เป็นอาจารย์ของข้าว”
“แต่พี่มาร์คก็เป็นคู่หมั้นของน้องข้าว อย่าลืมสิคะ”
“พี่มาร์ค เอ้ย อาจารย์มาร์คต้องเข้าใจสถานภาพระหว่างเราด้วยนะคะ ถ้าข้าวสวมชุดนักศึกษาข้าวจะเป็นเพียงลูกศิษย์ของอาจารย์มาร์คนะคะ ถึงความเป็นจริงเราจะเป็นคู่หมั้นกัน พี่มาร์ค เอ้ย...อาจารย์มาร์คเคยบอกข้าวแบบนี้เมื่อปีก่อน จำไม่ได้หรือคะ”
เมฆินทร์อมยิ้ม ทำไมเขาจะจำไม่ได้ เขาเป็นคนบอกเธอแบบนี้เพื่อหวังจะให้ความเป็นอาจารย์ทำให้เขาคิดมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าคิดน้อยก็กลายเป็นการเอาแต่ใจตัวเองเหมือนที่เธอเคยว่าไว้ การมีสถานะเป็นอาจารย์เป็นกำแพงขวางกั้นความรู้สึก ‘อยากแสดงความรัก’ ได้ไม่น้อย
“เอาเถอะๆ น้องข้าวหอมไม่ต้องฝืนใจเรียกพี่มาร์คตอนนี้ก็ได้ แต่เมื่อเปลี่ยนชุดนักศึกษาออกเมื่อไหร่ อย่าลืมว่าเราเป็นคู่หมั้นกันแล้วนะคะ” เขายกมือทำเหมือนจะยอมแพ้ แต่จริงๆ แล้วไม่มีซะล่ะธงขาวของเมฆินทร์ “ไปขึ้นรถเถอะค่ะ เดี๋ยวน้องข้าวจะเข้าเรียนสายนะ วันนี้มีเรียนตอน 8 โมงครึ่งไม่ใช่หรือคะ นี่ก็จวนจะ 8 โมงอยู่แล้ว เดี๋ยวจะถูกตัดคะแนนนะคะ”
ฐิตารีลอบค้อนให้อาจารย์หนุ่มที่ทำตัวเป็นสารถีรับส่งเธอมาตลอดตั้งแต่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัย และกลายเป็นลูกศิษย์ในวิชาออกแบบอัญมณีของเขาด้วยความ (ฝัน) อยากเป็นนักออกแบบชื่อก้องโลกจวบจนตอนนี้เธอเรียนอยู่ปี 3 เขามีตารางเรียนของเธอทุกวัน ทุกภาคเรียนเลยก็ว่าได้ โดยที่ไม่ต้องถามเธอให้มากความ เขาก็ใช้สิทธิ์ความเป็นอาจารย์และสิทธิ์ความเป็นญาติขอตารางเรียนจากอาจารย์ที่ปรึกษา โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไงและเธอจะรู้สึกอย่างไร
กระเป๋าเป้ที่สะพายบ่าถูกดึงไปถือให้อย่างวิสาสะ แล้วร่างสูงก็เดินดุ่มนำหน้าไปยังรถสปอร์ตคันโก้สีเหลืองใส ฐิตารีจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่เธอยังเรียนมัธยมอยู่นั้น เขาขับรถสีขาวหรือไม่ก็สีดำ แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนมาขับรถสีเหลืองซึ่งเป็นสีโปรดของเธอก็ไม่ทราบ เธอไม่เคยถามและไม่อยากรู้ด้วยว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่าพอได้นั่งรถคันนี้ก็เหมือนกับนั่งอยู่บนรถในฝันของใครอีกหลายๆ คน
ฐิตารีเดินตามคนที่แอบตั้งฉายา ‘เทพบุตรฮิตเลอร์’ ไปเงียบๆ นับวันเข้าฉายานั้นก็ดูจะเหมาะสมกับเขามากขึ้นทุกนาที เขาเป็นจอมบงการขนานแท้ สั่งให้เธอทำนุ่นทำนี่ได้ตลอด แม้บิดามารดาของเธอยังไม่มีปากจะขัดความต้องการของเขาได้ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเขาเป็นเจ้าหนี้ของครอบครัวเธอยังไงล่ะ แม้เขาจะยกหนี้สินให้แล้วซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของความเป็นคู่หมั้น ทว่าเมื่ออารมณ์เสียเขาก็จะเอาหนี้สินขึ้นมาขู่ บางครั้งทำให้เธออยากหาอะไรมาเขวี้ยงใส่หน้าหล่อให้แตกยับด้วยความโมโห ถึงจะเป็นแค่คำขู่ แต่บ่อยไปก็โมโหไม่น้อย
“อาจารย์มาร์คไม่ต้องคอยรับคอยส่งข้าวทุกวันก็ได้นะคะ ข้าวไปและกลับเองได้”
“ไม่ดีหรอกค่ะ บ้านเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ แล้วเราก็ต้องไปทางเดียวกันทุกวันอยู่แล้ว ให้พี่มาร์ครับส่งน้องข้าวแบบนี้ดีแล้วล่ะค่ะ”
“แต่ข้าวเกรงใจนี่คะ อาจารย์ไม่มีสอนทุกวันและบางวันก็ไม่ใช่เวลาเดียวกันกับข้าวด้วย ข้าวเกรงใจค่ะ” ข้าวหอมเกรงใจจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง เพราะวิชาการออกแบบแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เวลาเรียนก็ต้องแบ่งกันไป ถ้าสอนกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มของฐิตารีเวลาก็ย่อมไม่ตรงกัน
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ พี่มาร์คยินดีทำเพื่อน้องข้าว น้องข้าวจะได้ไม่ต้องลำบากขึ้นรถเมล์ไปเบียดเสียดกับคนตั้งมากมาย ดีไม่ดีอาจถูกคนโรคจิตลวนลามบนรถเมล์เอาได้ ให้พี่มาร์คเทียวรับเทียวส่งนี่ล่ะค่ะดีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่มาร์คไม่เหนื่อยเลยสักนิดค่ะ”
“พี่มาร์คไม่เหนื่อย แต่ข้าว...”
“ทำไมคะ น้องข้าวเบื่อที่พี่เทียวรับเทียวส่งแบบนี้หรือไร แล้วน้องข้าวจะให้พี่ทำยังไงคะ”
เมฆินทร์ทำเหมือนจะยอมอ่อนข้อให้ฐิตารี หญิงสาวจึงอมยิ้มบอกความต้องการด้วยความหวังว่าเขาจะทำตาม
“ข้าวอยากไปและกลับเองค่ะ ข้าวเกรงใจพี่มาร์ค และอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังขออนุญาตผู้ปกครองยังไงยังงั้น เธอเรียกขานเขาว่า ‘พี่’ หาใช่อาจารย์มาร์คดังเดิมไม่ เสียงออดอ้อนออเซาะฉอเลาะที่หวังจะทำให้อาจารย์สอนพิเศษหนุ่มรูปงามยินยอม เกือบจะทำให้เมฆินทร์คล้อยตามแล้วเชียว ถ้าเขาไม่ผินหน้าละสายตาจากถนนหนทางมาจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยของฐิตารีแล้วล่ะก็ สายตาวาววามของเธอมันแสดงออกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังหลอกล่อเขา ซึ่งเมฆินทร์ต้องชั่งใจอยู่นานเป็นนาทีระหว่างทำตามที่สาวน้อยขอเพื่อให้เธอพอใจ หรือทำตามใจของตัวเองเพราะเป็นความต้องการของเขา
“ถ้าน้องข้าวต้องการอย่างนั้น พี่มาร์คก็ตามใจค่ะ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนพี่มาร์คไม่มีสอน หรือเวลาไม่ตรงกับน้องข้าว พี่มาร์คจะไม่รอรับ อย่างนี้ดีไหมคะ”
ฐิตารีรีบพยักหน้าก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ ในฐานะคู่หมั้นเธอเองก็ไม่ควรขัดใจเขามากไปนัก เพราะเกรงว่าจะกระทบกับสถานะความเป็นลูกหนี้ (ในอดีต) แต่นึกดีใจที่เมฆินทร์ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากทวง เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานเช่นเดียวกับเขาที่เป็นคู่หมั้นที่ใจถึงมากๆ ยกหนี้ก้อนโตให้ (แม้จะถูกข่มขู่อยู่หลายครั้ง)
“ดีค่ะ ต่อไปนี้ข้าวจะได้มีเวลาให้กับแก๊งเพื่อนๆ เสียที ขอบคุณนะคะอาจารย์มาร์ค”
ฐิตารีหลุดปากเรียกขานเขาว่าอาจารย์ เป็นเหตุให้เมฆินทร์ต้องปรามด้วยสายตาวาววับ ไม่มีคำพูดแค่สายตาคมปลาบนั่นก็ทำให้เธอต้องรีบแก้ไขทันควัน
“เอ้อ...พี่มาร์ค”
“ดีค่ะ พี่ขอเป็นข้อแลกเปลี่ยน ต่อไปนี้น้องข้าวต้องเรียกว่าพี่มาร์ค ห้ามเรียกอาจารย์มาร์คในยามที่อยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัย ตกลงไหมคะ”
“ตกลงค่ะพี่มาร์ค”
เมฆินทร์ระบายยิ้มออกมาได้ก็ตอนได้ยินเสียงตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากฐิตารี เขารู้ว่าเธออึดอัดกับการเทียวรับเทียวส่งของเขา แต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการจากก้นบึ้งของหัวใจ ใครกันเล่าจะปฏิเสธใจตัวเองได้ลง เขาทำตามความต้องการของตัวเองมานานหลายปี จวบจนใกล้เวลาที่รอคอยกำลังจะมาถึง อีกเพียงปีเศษๆ ฐิตารีจะเรียนจบและรับปริญญาบัตรทางการศึกษา หลังจากนั้นเขาจะทำให้เธอรู้ว่าปริญญาชีวิตมันคืออะไร
หากเมฆินทร์ป่าวประกาศบอกความในใจ คงจะมีผู้หญิงมากมายอิจฉาฐิตารีกันทั้งนั้น เพราะเธอได้รับปริญญาชีวิตทั้งที่แทบจะไม่ได้ศึกษา แต่ได้ใบประกาศเพราะเขาอยากจะให้ มันคือความสำเร็จที่สาวๆ หลายคนอยากประสบ แต่ชายหนุ่มไม่คิดจะมอบมันให้กับผู้หญิงคนไหนนอกจากเธอ...แม่ข้าวหอมของเขา
“เดี๋ยวค่ะน้องข้าว” อาจารย์หนุ่มรีบบอกพร้อมกับคว้ามือฐิตารี เมื่อรถจอดลงตรงหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ ไม่บ่อยนักที่เขาจะจับมือถือแขนเธอ เมฆินทร์ให้เกียรติฐิตารีมาโดยตลอด แม้ในใจจะร้องบอกว่าต้องการเธอมากแค่ไหน แต่ด้วยความไม่เหมาะสมและสถานภาพความเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ ทำให้เขาต้องหักห้ามใจตัวเองและวางตัวเป็นสุภาพบุรุษในสมกับที่เป็นอาจารย์ แม้จะแค่อาจารย์สอนพิเศษก็เถอะ
ฐิตารีมองมือใหญ่ที่คว้าข้อมือเล็กกระจ้อยร่อยของเธออย่างไม่ค่อยพอใจนัก และให้ขัดใจยิ่งกว่าเมื่อความรู้สึกกำลังสวนทางกับความอบอุ่นที่วาบอยู่รอบข้อมือนั้น
“ขอโทษค่ะ พี่แค่จะบอกว่าวันนี้เราเลิกพร้อมกัน พี่จะมารอรับตรงที่เดิมนะคะ”
ถ้อยคำเหล่านั้นเกือบจะทำให้ฐิตารีหลุดฉุน ทว่าเธอทำเพียงดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างละมุนละม่อม และฝืนยิ้มบางๆ ที่ดูยังไงก็มองออกว่าไม่เต็มใจ
“ค่ะ” เธอตอบได้เพียงแค่นั้นจริงๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถอย่างเร็วรี่ นึกเข่นเขี้ยวอาจารย์หนุ่มสุดเก๊กอยู่ในใจ เขาจะไม่ให้เวลาเธอหายใจหายคอบ้างหรือไงนะ เธอเป็นแค่คู่หมั้นไม่ใช่ทาสนะ หญิงสาวหันไปแล่บลิ้นให้อาจารย์หนุ่มซึ่งกำลังเคลื่อนรถไปจอดยังลานจอดรถของมหาวิทยาลัย
“ข้าว”
ฐิตารีหันไปมองคนเรียกแล้วเดินตรงเข้าไปหา ธารรินทร์ แก้วกุมผกา หรือลูกน้ำน้ำเป็นเพื่อนสนิทของเธอที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ความคิดฟุ้งซ่านจางหายไปเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักที่คบหากันมานานหลายปี
“วันนี้ลมอะไรหอบน้ำให้มาเร็วได้นะ ปกติข้าวมักจะเห็นน้ำเข้าเรียนสายเสมอนี่นา หรือวันนี้มีใครมาส่งเอ่ย” ว่าแล้วก็มองหาคนที่แอบหวังว่าจะกลายเป็นสารถีให้เพื่อนเลิฟ
ธารรินทร์แก้มระเรื่อขึ้นในทันที ฐิตารีจึงแน่ใจว่าต้องมีคนมาส่งเพื่อนเธอ และคนๆ นั้นต้องมีบทบาทในหัวใจของเพื่อนรักไม่น้อยเลยทีเดียวถึงขนาดทำให้ธารรินทร์ออกอาการเขินได้ถึงเพียงนี้
“อุ๊ย หน้าแดงด้วย แสดงว่าที่ข้าวคิดเอาไว้ก็ไม่ผิดน่ะสิ อูย...น้ำหยิกข้าวทำไมเนี่ย”
“ก็ข้าวน่ะ พูดอะไรไม่รู้”
ฐิตารีเข้าใจว่าธารรินทร์เป็นสาวใสซื่อและบริสุทธิ์ อีกทั้งยังเขินอายด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ ธารรินทร์ชอบคิดว่าตัวเองเป็นยายเฉิ่ม มีฐานะไม่สู้จะดีนัก ก็เลยกดดันตัวเองไม่ให้มองคนที่มีมากกว่า แต่ฐิตารีไม่คิดแบบนั้น เพื่อนของเธอก็แค่ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ได้แต่งตัวเฉิ่มเบ๊อะแบบพวกเด็กเนอร์สเขาใส่กัน ที่สำคัญเพื่อนรักของเธอจัดว่าเป็นคนสวย ขนาดไม่แต่งหน้าก็ยังเกลี้ยงเกลาใสสะอาดไร้ไฝฝ้าราคีที่จะมาบดบังความงามแต่อย่างใด ใครมองไม่เห็นก็ช่างหัว ถือว่าคนๆ นั้นบุญไม่ถึงก็เลยไม่ได้ยลความงามพิสุทธิ์นี้
แต่คราวนี้สงสัยนอกจากฐิตารีแล้วจะยังมีใครคนอื่นอีกที่น่าจะมองเห็นความงามบริสุทธิ์ของธารรินทร์ อยากรู้จริง คนๆ นั้นเป็นใคร
“ก็จริงนี่ ข้าวเห็นน้ำหน้าแดงตั้งแต่เมื่อกี้นี้ จะว่าเขินอะไรข้าวก็ไม่น่าใช่ บอกมาดีกว่าว่าน้ำมีเรื่องอะไรปิดบังข้าวอยู่”
ฐิตารีไม่คิดจะปล่อยให้ความเคลือบแคลงผ่านเลยไป เพราะสิ่งที่เห็นมันคือความแปลกใหม่ จริงอยู่ที่ธารรินทร์เพื่อนรักเป็นสาวขี้อาย แต่ไอ้ที่เห็นว่ายืนหน้าแดงแก้มแดงอยู่นี่มันไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ จะว่าแดดร้อนมากไปก็ไม่ใช่ ดูรึวันนี้มีเมฆมาบดบังรัศมีความร้อนของดวงอาทิตย์ ลดความอบอ้าวแถมยังมีลมพัดเย็นๆ มาต้องผิวกายต่างจากทุกวัน
“เปล่านะ น้ำไม่ได้ปิดบังอะไรข้าว ก็แค่...”
“แค่อะไร”
ธารรินทร์ยิ่งขวยเขินเมื่อฐิตารีจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อนรักคงจะไม่มีทางปล่อยผ่านถ้าเธอไม่เอ่ยปากบอก สาวน้อยร่างระหงในชุดนักศึกษาแต่สวมกระโปรงอัดพีทยาวครึ่งแข้ง หันรีหันขวางเพียงครู่เดียวก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่
วันนี้ธารรินทร์รีบตื่นนอนเร็วกว่าทุกวันเพราะจะรีบไปทานข้าวเช้าที่ร้านเดิมราคาคาประหยัด ร้านขายข้าวแกงรสชาติพอทานได้แต่ราคาถูกและได้ปริมาณมาก ก็ย่อมมีลูกค้าทุกเพศทุกวัยแน่นร้าน ดีไม่ดีสายหน่อยก็ขายหมดก่อนที่เธอจะไปถึงเสียอีก แต่ในขณะที่เธอกำลังข้ามถนนในซอยซึ่งเยื้องกับร้านของมารดาไปเล็กน้อย ด้วยความที่สายตาแลเห็นรถเมล์สายที่แล่นผ่านมหาวิทยาลัย เธอจึงรีบรุดเดินไปให้ทันจนเกือบเป็นวิ่งโดยไม่ได้มองว่ากำลังมีรถแล่นออกมาจากซอยนั้น พอได้ยินเสียงรถเบรกดังบาดหูถึงได้หันไปมองก็พบว่ารถคันโก้กำลังตรงเข้ามาหาเธอ ธารรินทร์หลับตาปี๋แข้งขาอ่อนจนต้องทรุดลงกับถนน ตำราเรียนตกหล่นให้เกลื่อนพื้นถนน
ธนบดินทร์ พิสุทธิ์เกษม เป็นคนขับรถคันโก้คันดังกล่าว เขาตกใจนึกว่าขับรถชนนักศึกษาสาวเข้าก็รีบลงไปดู
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหนบ้าง ให้ผมพาไปโรงพยาบาลนะครับ”
ถ้อยคำอ่อนโยนระคนความห่วงใยชวนให้ธารรินทร์เงยหน้าขึ้นมอง แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำเอาเธอตาพร่าไปชั่วขณะ ใครจะไม่รู้จักไฮโซหนุ่มชื่อดังอย่างธนบดินทร์ พิสุทธิ์เกษม ในเมื่อข่าวทั้งหน้าหนังสือพิมพ์และหน้าจอทีวีมีแต่ภาพเขาให้เกลื่อน ไฮโซหนุ่มนักเรียนนอกและเป็นทายาทของเจ้าของสนามกอล์ฟชื่อดัง เขากำลังเป็นที่จับตามองมากที่สุดในขณะนี้ เรียกว่าตอนนี้ธนบดินทร์ดังกว่าดาราบางคนเสียอีก
“คุณ!! เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ธารรินทร์กะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะยิ้มเฝื่อนๆ แล้วลุกขึ้นโดยมีธนบดินทร์ช่วยพยุง และเขาก็ทำให้เธออึ้งก่อนจะปลาบปลื้มอีกครั้งเมื่อร่างสูงสมส่วนก้มลงเก็บตำราเรียนและข้าวของที่ตกขึ้นมาให้
“ขอบคุณค่ะ คุณธนบดินทร์”
ธนบดินทร์ไม่ถามว่าสาวน้อยหน้าหวานคนนี้รู้จักเขาได้ยังไง เพราะแน่ใจว่าตอนนี้ใครๆ ก็ต้องรู้จักตน เขาไม่ได้ยกยอปอปั้นตัวเองแต่มันคือเรื่องจริง ในเมื่อนักข่าวแห่กันมาทำข่าวเขาไม่เว้นแต่ละวันจนเขาลายตาไปหมด
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
อารมณ์ดีๆ ที่ได้ออกกำลังกายในตอนเช้ากำลังจะขุ่นมัวเมื่อต้องถามคำถามแม่สาวคนนี้ซ้ำซาก เธอไม่ได้ยินหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับหูหรือไง ถึงไม่ยอมตอบคำถามของเขาเสียที
“ค่ะ ดิฉันไม่เป็นอะไรค่ะ แค่กลัวจนขาอ่อนเท่านั้นเอง ขอโทษนะคะ”
ธนบดินทร์ลอบถอนใจเมื่อได้ยินคำตอบจากเธอ เขากวาดตามองหาบาดแผลจากร่างอรชรอย่างเป็นห่วง แล้วดีใจที่เธอพูดความจริง แต่การจะถอนสายตาออกจากเธอทำไมช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แม่สาวน้อยคนนี้ก็หน้าตาธรรมดาๆ ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเจอมา แต่เธอกลับมีแรงดึงดูดที่น่าประหลาดใจไม่น้อย
“ทีหน้าทีหลังจะข้ามถนน แม้แต่เป็นซอยเล็กๆ ก็ต้องระวังให้มาก ถ้าผมเบรกไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น คุณคงเจ็บตัวและผมก็ต้องเสียใจ ถึงจะรีบแค่ไหนก็ต้องระวังให้มากกว่านี้นะ”
เขาเตือนเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตักเตือนเด็ก และธารรินทร์ก็รู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้เขาต้องมาเสียเวลากับความประมาทของเธอ
“ขอโทษค่ะ ต่อไปดิฉันจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
“เดี๋ยว” ธนบดินทร์เรียกเอาไว้เมื่อสาวน้อยกำลังจะเดินหนี “คุณเรียนอยู่ที่ไหน ผมจะไปส่ง”
“เอ๊ะ!!! มะ...ไม่ต้องค่ะ ดิฉันไปเองได้” ธารรินทร์ปฏิเสธเสียงหลง ยิ่งเห็นรถคันโก้ของเขาเธอก็ส่ายหน้าดิก รถหรูขนาดนั้นเธอนั่งไม่ลงหรอก
“มาเถอะ อย่าให้ผมต้องเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้เลย คุณเกือบจะทำให้ขวัญผมบินหนีไปแล้วรู้ไหม”
เหมือนถูกสะกดด้วยคำพูดชวนให้สะกิดใจ ธารรินทร์เดินตามเขาไปขึ้นรถคันโก้ในที่สุด เธอนั่งตัวลีบพยายามไม่ให้เนื้อตัวแตะถูกหนังหุ้มเบาะรถมากนัก เพราะกลัวจะทำให้รถของเขาเปื้อนเอาได้
“นั่งตามสบายเถอะคุณ รถผมไม่ได้หุ้มทองหรือฝังเพชร คุณถึงต้องระวังขนาดนั้น”
ธารรินทร์พยายามทิ้งตัวพิงพนัก แต่ก็ยังไม่วายจะแข็งขืนเพราะสำนึกตลอดเวลาว่าเธอไม่สมควรจะนั่งรถหรูระดับนี้
“คุณชื่ออะไร” ธนบดินทร์ถาม เขาปรายตามองแม่สาวขี้กลัวตลอดเวลา
“ธารรินทร์ค่ะ”
“ชื่อเล่นล่ะ ชื่ออะไร” เขาถามต่อ
“ลูกน้ำค่ะ” เธอเองก็ช่างตอบได้สั้นเสียจริง แล้วดูทีรึสะโพกสวยๆ ของเธอแทบจะติดเบาะรถของเขาไม่เกิน 5 เซนติเมตรด้วยซ้ำจนธนบดินทร์เริ่มระเหี่ยใจ ไม่รู้ว่าเธอจะกลัวอะไรเขานักหนา ไฮโซหนุ่มแอบส่องหน้าตัวเองในกระจกมองหลังเพื่อดูว่าบนใบหน้าเขามีเขี้ยวงอกออกมาจนเธอหวาดกลัวหรือเปล่า ก็ปกติดี หล่อ ดูดีเหมือนเดิมนี่นา
“ชื่อธารรินทร์ ชื่อเล่นชื่อลูกน้ำ เหมือนชื่อนางเอกในละครเลย”
ธารรินทร์รู้ว่าเขาแกล้งกระเซ้า เธอเหลือบตามองซีกหน้าด้านข้างของเขาอย่างเผลอๆ และพอเขาปรายตามาเจอก็หลบตาวูบแก้มแดงเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด
“แม่บอกว่าดูละครเรื่องนั้นแหละค่ะ ตอนที่มีดิฉันอยู่ในท้อง ชอบก็เลยตั้งชื่อดิฉันเหมือนนางเอก”
“อายุเท่าไหร่” อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนคำถาม
“คะ?” ธารรินทร์ก็เลยงง
“คุณน่ะอายุเท่าไหร่”
“20 ค่ะ” เธอตอบ
“ยังเด็กมาก แต่ทำไมชอบทำให้ตัวเองแก่ก็ไม่รู้”
ธารรินทร์ละสายตาจากมือที่ประสานกันอยู่บนหน้าตักมองธนบดินทร์เหมือนไม่เคยเห็น เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เธอตามเขาไม่ทันแล้วนะ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารวดเร็วเหลือเกิน
“ผมหมายถึง คุณน้ายุน้อยแต่เรียกตัวเองว่าดิฉันอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนคนแก่เรียกตัวเองมากกว่าเด็กสาวอายุ 20 นะ”
“อ๊ะ...น้ำไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ธารรินทร์ลืมตัวเถียงเขาออกไป พอนึกขึ้นได้ก็หุบปากฉับเสไปมองข้างทางหน้าแดงเถือก
ธนบดินทร์ยิ้มกว้าง ยายขี้กลัวเวลาลืมตัวก็น่ารักไม่เบา ได้ยินแบบนี้ค่อยดูเหมือนโลกทั้งใบจะสดใสขึ้นมาหน่อย
“แบบนี้สิค่อยน่ารัก เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่มหาวิทยาลัย อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว” เขาหลุบตาลงมองนาฬิกาข้อมือ “ผมก็ยังไปทำงานทัน เฮ้อ...คุณเกือบทำให้ผมสายแล้วนะ”
“ขอโทษนะคะ ดิฉัน...เอ่อ...น้ำไม่ตั้งใจ คุณไม่ต้องไปส่งน้ำก็ได้ จอดให้น้ำขึ้นรถเมล์ไปเองจะดีกว่า ไม่เสียเวลาคุณด้วย” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอขึ้นรถเขามา ที่เขาได้ยินประโยคพูดยาวๆ จากเธอ ความอึดอัดค่อยคลายลงไปบ้าง
“คุณจะขอโทษผมไปอีกสักกี่ครั้งกันฮะ ที่ทำงานผมเลยมหาวิทยาลัยคุณไปไม่ไกล ไหนๆ เราก็ไปทางเดียวกันแล้วผมจะปล่อยคุณขึ้นรถเมล์ไปทำไม ที่ผมบอกหมายถึงไม่อยากให้คุณประมาทแบบนี้อีก วันนี้คุณรอดแต่วันหน้าคุณน้าจไม่โชคดีแบบนี้ เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว พูดอีกคุณก็ขอโทษผมอีกอยู่ดี” ธนบดินทร์ตัดบทก็พอดีรถของเขาหยุดลงหน้ามหาวิทยาลัยที่ธารรินทร์เรียนอยู่
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง” นอกจากเธอจะกล่าวขอบคุณเขาแล้ว เธอยังพนมมือไหว้เขาได้อย่างน่ารักอีกด้วย ธนบดินทร์เพียงแค่พยักหน้าและรับไหว้เธอตามมารยาท หลังจากที่เธอลงจากรถ เขาก็เคลื่อนรถออกไปทันที
ธารรินทร์เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฐิตารีฟัง เพื่อนรักไม่ฟังเพียงอย่างเดียวยังทำหน้าเคลิบเคลิ้มไปกับฉากพบเจอของพระนางที่ลอยอยู่ในหัว
“ข้าว” เรียกครั้งแรกฐิตารีก็ยังเหม่อลอย
“ข้าว” เรียกครั้งที่สองเสียงดังกว่า เพื่อนรักถึงรู้สึกตัวยิ้มเฝื่อนๆ ให้ “คิดอะไรอยู่”
“ก็คิดถึงน้ำกับ...กับคุณอะไรนะ อ้อ...คุณธันว์ เขาชื่อเล่นว่าธันว์ ชื่อจริงธนบดินทร์ ถ้าจำไม่ผิดข่าวเขาเยอะมาก ออกถี่ยิบจนดังระเบิด แต่เอ...ข่าวล่าสุดบอกว่าเขาเป็นคาสโนว่านี่นา”
ธารรินทร์หน้าซีดไปน้ำกับคำว่า ‘คาสโนว่า’ แล้วปรับสีหน้าให้เป็นแจ่มใสอย่างตัดใจว่าเขาคนนั้นจะเป็นอะไรก็คงไม่เกี่ยวกับเธอ แค่คนเคยพบเจอเป็นครั้งแรกและคงครั้งเดียวเท่านั้น
“ช่างเขาเถอะข้าว ว่าแต่เมื่อกี้น้ำเห็นอาจารย์มาร์คมาส่งข้าวอีกแล้ว น้ำว่าท่าทีของอาจารย์สุดหล่อคนนี้มันแปลกๆ ยังไงชอบกลนะ ข้าวมีอะไรปิดบังน้ำหรือเปล่า” ธารรินทร์บอกอย่างสังเกต
“ไฮ้...เขาก็เป็นญาติห่างๆ กับพ่อข้าว ไปรับไปส่งก็ไม่แปลกหรอก อีกอย่างบ้านเราก็อยู่ใกล้กันด้วย” ฐิตารีรีบปฏิเสธ ที่จริงเธอไม่อยากโกหกเพื่อนรัก แต่หากจะบอกไปก็กลัวอนาคตจะเป็นเหมือนตอนนี้ แล้วเธอนั่นแหละที่จะเจ็บปวด
“ข้าวว่าไม่แปลก แต่น้ำว่าแปลก”
“ยัยน้ำ! เธออย่ามาสนใจเรื่องของฉันให้มากนักเลย อีตาอาจารย์นั่นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เพราะต่อไปนี้ข้าวจะได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ มากกว่าเดิมแล้ว ถ้า...”
“ถ้าอะไร ทำไมต้องมีถ้า”
“เฮ้อ...ไปเรียนเถอะ สายแล้วเดี๋ยวโดนตัดคะแนนนะ” ฐิตารีตัดบทและเดินนำเข้าไปในอาคารเรียน ธารรินทร์เลยไม่รู้คำตอบ ต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามเพื่อนรักไปอีกคน
เมฆินทร์หรืออาจารย์มาร์คกำลังนั่งดูผลงานการออกแบบของนักศึกษาอยู่ภายในห้องพักอาจารย์ ซึ่งอาจารย์สอนพิเศษอย่างเขาได้สิทธิ์พิเศษเหนืออาจารย์คนอื่นก็ตรงที่มีห้องพักเดี่ยวเป็นของตนเอง สิทธิ์พิเศษนี้ได้มาจากการช่วยเหลือมหาวิทยาลัยด้วยทรัพย์ส่วนตัว หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือการบริจาคเงินให้แก่มหาวิทยาลัย
ตั้งแต่เจมส์บราวน์วางโครงการเฟ้นหาดาวดวงใหม่ประดับวงการ เมฆินทร์ก็ใช้โอกาสนี้เลือกเฟ้นหาดาวดวงใหม่ พร้อมๆ กับการได้ใกล้ชิดคู่หมั้นสาวน้อยของเขา
ผลงานการออกแบบในมือยังไม่มีชิ้นไหนเข้าตากรรมการอย่างเขา จนกระทั่งเห็นผลงานของฐิตารี อาจารย์หนุ่มอมยิ้มเมื่อสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ได้เป็นจริงขึ้นมา เขามองคนไม่ผิดจริงๆ ผลงานของฐิตารีน่าสนใจและดึงดูดสายตาของเขาได้ตั้งแต่แรกเห็น นี่ยังแค่ผลงานร่างในแผ่นกระดาษ และถ้าทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วล่ะก็จะงดงามสักปานใด
มือใหญ่ต่อสายโทรศัพท์ถึงผู้ช่วยที่ทำหน้าที่อยู่ในเจมส์บราวน์ เขารอไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับจากโจเซฟผู้ช่วยฝีมือดีที่มอบหมายงานใดก็ไม่เคยทำพลาด
“ครับคุณมาร์ค”
“โจเซฟ เดี๋ยวฉันจะส่งผลงานที่ชอบไปให้ทางอีเมล์นะ”
“คุณมาร์คได้ผลงานที่เข้าตาแล้วหรือครับ”
“อืมได้แล้ว แต่แค่ 1 ชิ้น ผลงานของนักศึกษาจะมีออกมาอีก แล้วจะทยอยส่งให้ เก็บทุกชิ้นเอาเข้าที่ประชุมเลือกเฟ้นหางานที่ดีที่สุด”
“อีกแค่ปีเดียว เราคงจะมีผลงานให้เลือกหลายชิ้นนะครับ”
“ไม่รู้สิ เอาเป็นว่าการคัดเลือก ฉันจะเป็นกรรมการด้วยแล้วกัน”
“แต่ผมแน่ใจอยู่อย่างนึงนะครับ”
“อะไรรึ”
“สายตาของคุณมาร์ค มองอะไรแล้วไม่เคยพลาด ผลงานที่คุณเลือกต้องดีที่สุดแน่นอน”
เมฆินทร์กระตุกยิ้มในหน้า แล้วตัดบทสนทนาด้วยการวางสาย
“อาจารย์คะ” ทันทีที่วางสายก็ปรากฏร่างของนักศึกษาสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า อาจารย์หนุ่มมองเธอตั้งแต่ศีรษะไล่ลงมาอย่างประเมิน “หนูชื่อลินดาค่ะ อยากเรียนออกแบบกับอาจารย์ ไม่ทราบว่าอาจารย์ยังมีโควตาว่างสำหรับหนูไหมคะ”
ปกติอาจารย์เมฆินทร์จะไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้องพักถ้าไม่มีเหตุจำเป็น แต่เขาเองก็ไม่เคยล็อคห้องในเวลาที่ตนอยู่ ถ้าจะมีคนเข้ามาพบก็จะเป็นอาจารย์ด้วยกันซึ่งน้อยมากเพราะเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แล้วนักศึกษาตรงหน้านี้ต้องการอะไรกันแน่
“เราไม่มีโควต้า ทุกคนสมัครเรียนเองทั้งนั้น ตอนนี้ผมสอนมาได้ปีนึงแล้วนะ” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะตัดบทด้วยการก้มหน้ามองชิ้นงานในมือต่อ
“แต่ลินดาอยากเรียนตอนนี้ ลินดาอยากเป็นนักออกแบบของเจมส์บราวน์ และลินดาก็รู้ว่าคุณคือผู้บริหารของเจมส์บราวน์ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกและลินดาก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวเลือกของคุณ”
“ขอโทษเถอะนะ ผมคงให้คุณเป็นตัวเลือกตอนนี้ไม่ได้ กฎของนักศึกษาเป็นอย่างไร คุณน้าจจะยังไม่เข้าใจ ถ้างั้นกรุณาไปอ่านกฎเกณฑ์การเข้าศึกษาซะใหม่ ไม่มีที่ไหนให้คุณเข้าเรียนวิชานั้นได้กลางคันหรอก ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นจริงๆ”
“ถ้างั้นคุณต้องการให้ลินดาทำอย่างไร คุณถึงจะยอมให้ลินดาเข้าเรียนคะ ได้โปรดเห็นใจลินดาด้วยเถอะค่ะ อีกปีเดียวลินดาก็จะเรียนจบ เวลา 1 ปี ลินดายังพอจะสร้างผลงานให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณได้”
นักศึกษาสาวนามว่าลินดาเขยิบเข้าไปใกล้อาจารย์หนุ่มมากขึ้น เธอเดินอ้อมโต๊ะทำงานของเขาเข้าไปยืนจนเกือบชิด เมฆินทร์มองกิริยานั้นด้วยสายตาขุ่นมัว หัวคิ้วขมวดมุ่น แต่ลินดาก็หาได้ถอยห่างไม่
“กรุณาไปยืนอยู่ในที่ที่เธอควรยืน แล้วกรุณาเรียกผมว่าอาจารย์ด้วย”
ลินดาไม่ได้ยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม เธอยกมือขึ้นแตะปลายนิ้วบนกระดุมเสื้อเม็ดบนสุด อาจารย์หนุ่มเลยลดสายตาจากใบหน้ามองปลายนิ้ว ริมฝีปากของหญิงสาวโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ตายตอนที่เห็นผู้หญิงเปลื้องผ้า
“คุณจะให้ลินดาทำอะไรให้ ลินดายอมทุกอย่าง ขอแค่คุณรับลินดาเป็นนักศึกษาวิชาการออกแบบของคุณด้วยเถอะค่ะ”
“อย่าสร้างความเสื่อมเสียเพื่อทำลายชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเลยนะคุณลินดา ถึงผมจะไม่ใช่อาจารย์ที่ส่งตรงมาจากกระทรวงศึกษาธิการ แต่ผมไม่คิดจะทำลายมหาวิทยาลัยด้วยวิธีนี้ กรุณาออกไปด้วย” อาจารย์หนุ่มไม่คิดจะไว้หน้าลินดา แม้จะเห็นสีหน้าแดงสลับซีดเผือดของเธอจนบังเกิดความสงสาร
ร่างสูงลุกขึ้นเดินผ่านนักศึกษาสาวใจกล้าหน้าด้านไปผลักประตูห้องพักของตนออกกว้าง จนไอร้อนจากภายนอกพวยพุ่งเข้ามาให้วูบวาบผะผ่าว
“คุณจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้”
“เชิญ” อาจารย์เมฆินทร์ผายมือออกเป็นวิธีการไล่อย่างสุภาพบุรุษ
