บท
ตั้งค่า

8

8

“นี่เธอๆ รู้เรื่องอาจารย์เมฆินทร์หรือเปล่า”

“เรื่องอะไรหรือเธอ”

“ก็เรื่องนังคุณนายลินดาเข้าไปยั่วอาจารย์มาร์คถึงในห้องพักน่ะสิ”

บทสนทนาดังกล่าวอาจจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปอย่างไม่สนใจ ถ้าไม่มีคำว่า ‘ยั่ว’ ร่างเล็กเพรียวบางชะงักเท้าก่อนจะเหลียวมองกลุ่มนักศึกษารุ่นเดียวกันแต่คนละคณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นชมพูพันธ์ทิพย์ นักศึกษากลุ่มนั้นกำลังสนทนากันอย่างสนุกปาก จึงไม่สนใจว่าจะมีใครสักกี่คนได้ยินพวกเธอคุยกันบ้าง

ฐิตารีลากขาเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ไกลพอที่จะมองไม่เห็น แต่ก็ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นชัดเต็มสองรูหู เธอฟังอย่างตั้งใจด้วยหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติโดยไม่รู้สาเหตุ

“ว้ายเหรอ แล้วอาจารย์สุดที่รักของฉันเสร็จนังนั่นหรือเปล่าล่ะ”

“ได้ยินมาว่า มีคนเห็นอาจารย์มาร์คเดินออกมาจากห้องพัก แล้วเข้าไปที่ห้องของคณะบดี ต่อจากนั้นก็มีคนเห็นนังลินดานั่นเข้าไปห้องของคณะบดีเหมือนกัน”

“นี่เธอจะบอกว่าอาจารย์สุดหล่อของฉัน ไปบอกเรื่องยัยนั่นกับคณะบดีงั้นเหรอ”

“อือฮึ และฉันก็คิดว่า อาจารย์มาร์คสุดที่รักของพวกเรายังไม่เสร็จนังลินดาหรอก ไม่งั้นจะไปห้องคณะบดีทำไม”

“จริงด้วย แต่อาจารย์มาร์คเป็นสุภาพบุรุษจะตายนะ เขาคงไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องคณะบดีหรอกมั้ง”

“ไม่รู้ย่ะ รู้แค่ว่าอาจารย์มาร์ครอดพ้นจากเงื้อมือยัยคุณนายนั่นแน่นอน”

ฐิตารีฟังแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วสาวเท้าเร็วๆ ไปหาเพื่อนรัก ธารรินทร์นั่งอ่านตำราเรียนอยู่ที่โต๊ะม้าหินริมบึงบัวกับกลุ่มเพื่อน ฐิตารีจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้รอให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก่อนแล้วค่อยถาม แต่เธอไม่จำเป็นต้องรอนานเพราะเรื่องนี้รู้ไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้วแน่ เมื่อสกุลวดีเพื่อนร่วมแก๊งโพล่งขึ้นมา

“ยัยลินดานั่นทำอะไรน่าเกลียดจริงๆ เลยเนอะ เข้าไปยั่วอาจารย์ถึงในห้องพัก นี่คงเห็นว่าอาจารย์อยู่คนเดียวล่ะสิ”

“นั่นสิ รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น ดีนะที่อาจารย์มาร์คไม่เล่นด้วย” ญาติกาเพื่อนอีกคนในแก๊งเสริม

“พวกเธอรู้ดีกันจัง เรื่องแบบนี้เขาน่าจะปิดบังกันนะ” หญิงสาวสนิมสร้อยอย่างธารรินทร์ทักท้วง เธอได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแต่ไม่คิดจะเอามาพูด เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด แต่เธอก็ห้ามปากเพื่อนไม่ได้

“ปิดกันให้แซ่ดน่ะสิยัยน้ำ คนเขารู้กันทั่ว”

“แล้วรู้ได้ไง” ฐิตารีถามขึ้น เธออยากรู้จริงๆ ว่าทำไมข่าวคาวแบบนี้กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วนัก

“ก็มีคนเห็นยัยลินดาอยู่ในห้องพักอาจารย์มาร์ค มีคนเห็นอีกว่าสภาพของยัยลินดาน่ะ กระดุมเสื้อเม็ดบนสุดกับเม็ดที่สองหลุด” สกุลวดีคงเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด และเหมือนจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยกระมัง ฐิตารีคิดเล่นๆ

“เห็นแค่นั้นเหรอ” เธอถามซ้ำอย่างต้องการความมั่นใจ

“อื้ม เขาว่ากันอย่างนั้นนะ”

“โธ่...ข้าวก็นึกว่าวดีอยู่ในเหตุการณ์กับเขาด้วยซะอีก” ฐิตารีแซวเพื่อน รู้สึกโล่งอกจนบอกไม่ถูก กระดุมหลุดแค่ 2 เม็ด ก็ต้องดีกว่าหลุดทุกเม็ดอยู่แล้ว แบบนี้เธอน่าจะเชื่อได้ว่าเมฆินทร์ไม่ได้ทำอะไรลินดา

“ฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นย่ะ แต่ข่าวลือกันให้กระฉ่อนว่าอาจารย์มาร์คเข้าไปหาคณะบดี หลังจากที่หนียัยนั่นออกมาได้”

ฐิตารีไม่อยากเชื่อว่าเมฆินทร์จะหนีลินดา เขาน่าจะชอบที่มีผู้หญิงสาวมามอบกายให้ ก็เวลาที่เขาสบตาเธอดวงตาคู่นั้นมันบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ใช่แมวนอนหวด แต่เขาเป็นเสือที่ยังหลับไหลแล้วจวนเจียนจะตื่นเต็มที ดวงตาที่ดูอบอุ่นแต่แฝงไปด้วยความรุมร้อนทำให้บางครั้งเธอเองก็ไม่อาจประสานสายตากับเขาได้อย่างสนิทใจ มองทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางสมันเนื้อนุ่มไปเสียทุกครั้ง

และถ้าคิดไพล่ไปถึงเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นเมื่อปีก่อน เธอแน่ใจเต็มร้อยว่าคู่หมั้นของเธอไม่ใช่ฤาษีอย่างที่ทุกๆ คนคิด เขาพร้อมจะเป็นผู้ล่าอย่างเสือร้ายทุกครั้งที่ลืมตาตื่นด้วยซ้ำ

“หมายความว่าอาจารย์มาร์คไปบอกคณะบดีเหรอ” ธารรินทร์เองก็อยากรู้ไม่แพ้ฐิตารี เพียงแต่รู้แล้วก็เงียบเพราะไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร

“ไม่รู้นะ เรื่องนี้ถ้าอยากรู้คงต้องไปถามคณะบดีหรือไม่ก็ถามเจ้าตัว ว่าเข้าไปทำอะไรที่ห้องคณะบดี”

ธารรินทร์หันมาสบตาฐิตารี ซึ่งเพื่อนสาวก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องคณะบดี ถ้ามัวแต่ถามตัวเองคงไม่ได้คำตอบเท่ากับถามเจ้าตัวอย่างที่สกุลวดีบอกกล่าว สงสัยว่าเรื่องนี้คงปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้เสียแล้ว

เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน ฐิตารีก็ทำใจกล้าบุกไปเค้นเอาความจริงจากเมฆินทร์ถึงห้องพัก ร่างเล็กค่อยๆ ย่องออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นที่ต้องการ แล้วจัดการไขประตูห้องด้วยคีย์การ์ดที่เมฆินทร์มอบให้ คีย์การ์ดใบนี้เขาให้เธอเก็บไว้นานมาแล้ว ตั้งแต่ค่ำคืนของความสุขหลังการดินเนอร์วันคล้ายวันเกิดผ่านพ้นไป เขาให้เธอแล้วยังบอกด้วยว่าที่นี่ต้อนรับเธอเสมอ ต้องการมาเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เธอต้องการ และเมื่อเดือนก่อนคุณลุงคุณป้าก็บินมาอยู่ที่นี่นานหลายวัน เธอไม่ได้เจอหน้าท่านบ่อยนัก ก็เลยไม่แน่ใจว่าท่านจะอังกฤษไปหรือยัง

ก่อนขึ้นมาฐิตารีเห็นรถหรูของเขาจอดอยู่ก็ลอบถอนใจว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว ถ้าเขาอยู่เธอจะได้คำตอบ แต่เอ...ทำไมเธอต้องแคร์ถึงขั้นมาตามหาความจริงด้วยล่ะ เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาสิ ใจซีกหนึ่งของเธอร้องถามแล้วใจอีกซีกก็เป็นฝ่ายตอบ

‘เธอเป็นคู่หมั้น เธอมีสิทธิ์ถาม’

ใช่สิ ในเมื่อเขาว่าเขามีสิทธิ์ในตัวเธอ เธอเองก็ย่อมมีสิทธิ์ในตัวเขาเช่นกัน

“ไม่ยักรู้ว่าจะถูกขโมยขึ้นบ้านในตอนเย็นๆ”

สาวน้อยสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคน เสียงกระเซ้าที่ทุ้มนุ่มทุกครั้งเวลาพูดกับเธอ ไม่บอกก็รู้ว่าเขาคือใคร

“ข้าวไม่ใช่ขโมยซะหน่อยค่ะ” ฐิตารีแก้ตัวก่อนจะหันไปหาร่างสูง เห็นเขายืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่ด้านหลังเธอ สาวน้อยยิ้มเฝื่อนๆ ใจไม่ดีคิดว่าจะถูกดุ แต่พอเห็นแววตาวาววับดังเช่นทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน ความหวาดหวั่นก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่คล้ายจะผวาตื่นเต้นมากกว่าความกลัว

“ขโมยสิคะ น้องข้าวขโมยหัวใจของพี่ไปค่ะ ไหนให้พี่มาร์คค้นกระเป๋าหน่อยสิคะ จะได้รู้ว่าเอาหัวใจของพี่ไปหรือเปล่า”

มามุกนี้ฐิตารีก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ตกลงเขาคิดกับเธอถึงขั้นนั้นจริงๆ หรือ?

และเมื่อเมฆินทร์ขยับกาย ฐิตารีก็ก้าวขาถอยหลังโดยอัตโนมัติ เธอจะไม่เสี่ยงให้เขาเข้ามาใกล้ตัวในขณะที่อยู่ภายในสถานที่รโหฐานแบบนี้ บางทีเขาอาจหม่ำยัยลินดาจนอิ่มแปล้ไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้ หรือบางทีลินดาคนเดียวก็อาจไม่ทำให้เขาอิ่ม

“น้องข้าวกลัวพี่มาร์ค?”

“เปล่าค่ะ นี่ใครๆ ไปไหนกันหมดคะ คุณลุงคุณป้าไม่อยู่หรือคะ” เฉไฉถามหาคนอื่น แล้วเดินนำไปยังห้องโถงของบ้าน ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาราคาแพงขนาดที่บ้านเธอไม่มีปัญญาซื้อหาได้

“คุณพ่อคุณแม่เพิ่งจะออกไปงานเลี้ยงสโมสรค่ะ ส่วนคนอื่นวันนี้เป็นวันหยุดก็เลยไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายค่ะ”

แสดงว่าคุณลุงคุณป้ายังไม่กลับอังกฤษ ส่วนคนอื่นๆ ที่เขาพูดหมายถึงคนรับใช้ที่จ้างมาทำความสะอาดบ้านแบบเหมาจ่าย แต่ไม่ได้มาทุกวัน แค่สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ ได้รับเงินค่าจ้างแพงกว่าคนที่ทำงานบ้านอื่นแบบอยู่ประจำรับเงินเดือนเสียอีก

นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาห้องพักของเขา เธอรู้ว่าการมาเหยียบที่นี่ความความผิดพลาดมหันต์ เหมือนกำลังเข้ามาอยู่ในถ้ำเสือโหย คู่หมั้นของเธอร้ายกาจแค่ไหน ถ้ามองไปยังโต๊ะอาหาร ตัวที่เธอเกือบเสียท่าให้เขามาแล้ว ใจของเธอก็เต้นรัวแรง ตื่นเต้นจนมือเย็นเฉียบ

ฐิตารีมองเมฆินทร์เมื่อเห็นเขาเดินหายเข้าไปในครัวเล็กๆ ไม่นานก็ออกมาพร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ สีส้มในแก้วทรงสูง เห็นแล้วก็ทำเอาเธอต้องขยับกายยื่นมือไปรับเครื่องดื่มนั้นอย่างกุลีกุจอ

“ขอบคุณค่ะ แต่ทีหลังไม่ต้องนะคะ ข้าวเกรงใจค่ะ”

“ได้ยังไงล่ะคะ พี่เป็นเจ้าของบ้านก็ต้องดูแลแขกเป็นธรรมดา ยิ่งแขกคนนี้เป็นน้องข้าว พี่มาร์คก็ยิ่งต้องดูแลค่ะ”

เมฆินทร์ถือโอกาสทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง เหมือนเป็นโชคเข้าข้างเขาเมื่อเธอเลือกนั่งบนโซฟายาวแทนที่จะเป็นโซฟาตัวเดี่ยว ฐิตารีก็เลยนั่งตัวเกร็งเมื่อต้นขาแกร่งสัมผัสกับต้นขานุ่มของเธอ

“น้องข้าวมาหาพี่มาร์คหรือมาหาคุณพ่อคุณแม่พี่กันคะ”

คราวนี้ฐิตารีเงยหน้ามองเขาแต่ไม่กล้าสบตา ได้แค่มองซีกแก้มที่มีไรเคราขึ้นประปรายเสริมให้ใบหน้านั้นคมเข้มหล่อเหลายิ่งขึ้น

“คือว่า...ข้าว”

“บอกพี่มาเถอะค่ะ น้องข้าวคงอยากทราบเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้”

ฐิตารีสบตาคมที่คาดว่าจะเปลี่ยนประกายเป็นไม่พอใจรึไม่ก็เย็นชา เพราะเธอกำลังก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ในแววตาคมนั้นมีเพียงความวับวาวติดจะทะเล้นดังเช่นทุกครั้ง แววตาของอาจารย์หรือผู้บริหารทุกคนน่าจะนุ่มลึก คมบาดเหมือนมีดโกน แต่ทำไมเธอไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นจากเขาเลยสักครั้ง

อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าสายตาแบบนี้มีไว้เพื่อเธอคนเดียวหรือเปล่า

“ขอโทษค่ะ ข้าว...ไม่อยากทราบ ขอตัวกลับก่อนนะคะ” อยู่ดีๆ เธอก็คิดเปลี่ยนใจ การก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวที่โจษจันไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องดี และเด็กดีอย่างเธอก็ไม่ควรทำเสียด้วย

“ไม่ค่ะ” เมฆินทร์โพล่งขึ้น แถมยังคว้าข้อมือเล็กไว้โดยอัตโนมัติ “พี่ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบัง เพราะพี่ไม่ได้ทำอะไรผิด น้องข้าวนั่งลงเถอะค่ะ พี่อยากเล่า”

ฐิตารีจำตัวนั่งนิ่งเช่นเดิม สายตาของเธอมองมือใหญ่ที่ยังกุมข้อมือเล็กไม่วางตา เป็นเหตุให้เมฆินทร์ต้องปล่อยมือเพราะคิดว่าเธอจะไม่ชอบ เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังเย็นวาบไปทั่วบริเวณข้อมือนั้นหลังจากที่ความอบอุ่นนั้นปลิวหายไปดื้อๆ แก้มนวลแดงระเรื่อขึ้นทันตาเห็น เมฆินทร์อยากชื่นใจคนน่ารักให้หายคิดถึง ทว่าเมื่อเห็นเครื่องแบบนักศึกษาที่เธอสวม เขาก็จำต้องตัดใจจากสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้า มาเป็นสิ่งที่เพิ่งคิดได้ในนาทีนี้

ความสุขของเขาคือการได้อยู่ใกล้คนที่รัก ได้เห็นชีวิตประจำวันของเธออยู่ห่างๆ แม้จะไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกอย่าง ขอแค่เห็นทุกสิ่งที่เธอทำ เขาก็พอใจเหลือจะกล่าว

“ถ้าพี่จะบอกว่าเรื่องวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้องข้าวจะเชื่อพี่ไหมคะ”

นั่นสิ เธอจะเชื่อเขาดีหรือเปล่า แล้วข่าวลือว่าเขา ‘รอด’ จริงหรือไม่

“ไม่เชื่อค่ะ” สุดท้ายเธอก็ตอบเสียงเบา จะให้เชื่อว่าคนอย่างเขาเขี่ยลินดาสาวสวยประจำคณะทิ้งโดยไม่แยแส จะเป็นไปได้กี่เปอร์เซนต์กัน

คำตอบของฐิตารีทำให้สีหน้าของเมฆินทร์เปลี่ยนไป ถ้าเธอยังสบตาคมก็คงจะเห็นว่าแววตาคู่นั้นไหววาบดูจะเย็นชาขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเรียบสนิทแล้วค่อยๆ เปล่งประกายดังเดิมที่มักจะเกิดขึ้นเองทุกครั้งในยามที่อยู่ใกล้สาวน้อยคนนี้

“เจ็บจัง” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ย

ฐิตารีมองหาอาการบาดเจ็บจากเขา เขาเจ็บอะไร เจ็บตรงไหน แล้วไปทำอะไรมาถึงได้เจ็บ

“พี่มาร์คเจ็บป่วยตรงไหนคะ ให้ข้าวไปเอายามาให้ไหมคะ” ก็เพราะเป็นห่วงถึงต้องรีบกุลีกุจอสำรวจอาการ และแทบจะลุกไปหายามาให้

“หายแล้ว” แต่คำตอบต่อมาของเขา ก็ทำให้สาวน้อยต้องชะงัก

ฐิตารีอดไม่ได้ที่จะสบตาคมวับวาว แลเห็นดวงตาไหวระริกก็งงเพราะตามเกมเขาไม่ทัน แค่อยู่ใกล้เธอไม่เคยตามเกมเขาทันเลยสักครั้ง ขนาดประโยคง่ายๆ ยังทำเอาเธอเป็นบื้อใบ้ไปเลยก็มี

“หายแล้ว?”

“ค่ะ พี่มาร์คหายแล้ว เพราะได้ยาดีฉีดตรงเข้าที่หัวใจ หายเร็วมาก”

“พี่มาร์คหมายถึงอะไรคะ ข้าวไม่เข้าใจ”

เมฆินทร์ยิ้มกว้าง ที่จริงเขาก็อยากเฉลยว่ายาขนานเอกนั้นคืออะไร ทว่าปริศนาของเขาควรจะเฉลยคำตอบให้เธอได้รู้อย่างช้าๆ ทำถึงขั้นนี้แล้วยังไม่รู้ก็เกินไปล่ะนะ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่มาร์คแค่ล้อเล่น เข้าเรื่องเลยดีกว่า น้องข้าวคงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องพักอาจารย์ ลินดา นักศึกษาคนนั้นเข้ามาหาพี่ แล้วบอกว่าอยากเรียนออกแบบกับพี่ แต่พี่ปฏิเสธค่ะ ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงถึงจะใช้ร่างกายแลกกับการเรียน เล่นเอาพี่มาร์คไปไม่เป็นเหมือนกันนะคะ ไม่เคยเจอนักศึกษาประเภทนี้มาก่อน จะเรียกว่าประหลาดใจก็คงไม่ผิด แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่มาร์คปฏิเสธขั้นเด็ดขาดไปแล้ว เด็กคนนั้นคงไม่กล้าทำแบบนี้กับพี่มาร์คอีก”

“พี่มาร์คทำยังไงคะ”

“พี่แค่บอกว่ากระดุมเม็ดที่สองหลุดเมื่อไหร่ พี่มาร์คจะไปหาคณะบดีแล้วบอกเรื่องที่เธอทำ เธอไม่เชื่อว่าพี่จะทำจริง หึหึ พี่คงดูเป็นสุภาพบุรุษมากไปล่ะมั้ง เด็กนั่นถึงไม่เชื่อ พอเธอปลดกระดุมเม็ดที่สอง พี่ก็เลยเดินออกเลย เธอคงงงและเริ่มเชื่อว่าพี่จะทำอย่างที่พูดจริง เธอก็เลยกลับห้องเรียน” เมฆินทร์ไม่ได้บอกความจริง เรื่องที่เขาเข้าไปในห้องคณบดีไม่ใช่เรื่องของลินดา แต่เป็นเรื่องเงินบริจาคของมหาวิทยาลัยต่างหาก

ฐิตารีก็เชื่อตามที่เขาบอก ซึ่งก็ตรงกับเรื่องที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟัง

“พี่มาร์คบอกคณะบดีหรือคะว่าลินดายั่วพี่มาร์ค”

“บอกค่ะ แต่พี่บอกให้คณะบดีช่วยบอกลินดาทีว่าควรจะทำตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยมากกว่าจะใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เพราะพี่บอกแล้วเธอไม่เข้าใจ จึงต้องขอให้คณะบดีช่วย”

“พี่มาร์คไม่ได้บอกเรื่องลินดา...”

“ถ้าทำแบบนั้นพี่ก็ควรจะลาออกจากความเป็นอาจารย์น่ะสิคะ ผู้ชายที่ดีไม่ควรทำให้ผู้หญิงเสียหายไม่ใช่เหรอคะ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” สุดท้ายเขาก็เฉลย

ฐิตารีร้องโอ้โหอยู่ในใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าเมฆินทร์จะเป็นสุภาพบุรุษได้ถึงเพียงนี้ ตรงข้ามกับภาพพจน์ที่เขามักจะแสดงกับเธอเลย รู้สึกเหมือนน้ำมันใกล้ไฟมากกว่า

“พี่มาร์คไม่ได้ทำอะไรลินดาเลยหรือคะ อย่างเช่น จูบ หรือจับ” ถามไปแล้วก็ให้อยากตบปากตัวเองเสียหลายหน แต่เธออยากรู้นี่นา

เมฆินทร์วางมือบนต้นขาอ่อนที่ขาวละเอียดของฐิตารี หญิงสาวตาโตกลัวว่าเขาจะทำอะไรเธอ แต่ทำไมถึงไม่ปัดป้องก็ไม่รู้ ได้แต่กำมือแน่นอยู่ข้างลำตัว ตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง แล้ววินาทีต่อมาลำแขนกำยำก็ตวัดเข้ารวบเอวคอด คราวนี้ฐิตารีนั่งเฉยไม่ไหว เธอผลักบ่ากว้างสุดแรงเกิด

“นี่ต่างหากที่พี่อยากทำ พี่ไม่เล่นหรือคิดอะไรนอกลู่นอกทางกับนักศึกษา พี่ไม่ชอบเป็นสมภารกินไก่วัด แต่ถ้าสมภารจะมีไก่วัดอยู่ในใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไอ้จะให้จับกินทั้งที่อยู่ในวัดน่ะไม่มีทาง ไม่งั้นพี่คงทำไปนานแล้วล่ะค่ะ ในเมื่อ...”

เมฆินทร์โน้มใบหน้าลงมาใกล้จนลมหายใจอุ่นเป่ารดผิวหน้าจนแก้มนวลร้อนผะผ่าว แต่นั่นก็ทำให้ฐิตารีแทบผวา เธอผินหน้าหนีใช้หางตามองเขาอย่างตื่นตระหนก

“พี่มาร์ค!!”

เรียวปากได้รูปกระตุกยิ้มโค้งดุจคันศร นึกอยากจรดปลายจมูกลงบนแก้มนวลแล้วคลอเคลียให้สาสมกับที่ถวิลหา ได้แต่ท่องไว้ในใจว่ารอๆๆๆ อีกแค่ 1 ปี สาวน้อยก็จะเป็นของเขา เวลาแค่นั้นไม่ทำให้เขาขาดใจหรอกกระมัง ถ้าความสุขที่ยากจะบรรยายได้มาเยือน...เมื่อครบ 1 ปี

อาจารย์หนุ่มตัดใจผละห่างอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน แต่ยังลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปตั้งหลักเสียไกล ฐิตารีขยับตัวนั่งใหม่ดึงกระเป๋าเป้เข้ามากอด เหมือนจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันอะไรบางอย่าง

“มีเรื่องอะไรจะถามพี่อีกไหมคะ”

“ไม่มีค่ะ” ฐิตารีรีบตอบ กลัวตอบช้าไปจะได้เรื่อง

“แน่หรือ อยากรู้เรื่องอะไรก็ถามพี่ได้นะคะ สำหรับน้องข้าวแล้วพี่มาร์คยินดีตอบทุกเรื่อง”

“แน่ค่ะ ข้าวกลับก่อนดีกว่าค่ะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น

“พี่ไปส่งค่ะ” เมฆินทร์เสนอ แล้วเดินนำออกไปจากบ้าน

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ บ้านใกล้กันแค่นี้ ข้าวกลับเองได้สบายอยู่แล้ว” ฐิตารีปฏิเสธเขาทันก่อนร่างสูงจะก้าวขึ้นรถ อาจารย์หนุ่มชะงัก ขมวดคิ้วมุ่น

“เย็นขนาดนี้รถเยอะ น้องข้าวจะเดินกลับบ้านก็ต้องข้ามทางม้าลาย เพราะหน้าปากซอยบ้านเราไม่มีสะพานลอย อันตรายออกค่ะ แค่พี่มาร์คขับรถไปยูเทิร์นข้ามฝั่งเข้าหมู่บ้านของน้องข้าวเอง ไม่ลำบากอะไรเลยนะคะ ถ้าน้องข้าวปฏิเสธสิถึงจะลำบาก เพราะพี่คงพะวักพะวงเป็นห่วงว่าน้องข้าวจะถึงบ้านหรือยัง อย่าปฏิเสธความปรารถนาดีจากพี่เลยนะคะ ขึ้นรถเถอะค่ะ”

ชายหนุ่มชักแม่น้ำทั้งห้าออกมาชี้ชวน เธอลืมไปว่าห้องพักสุดหรูของเขาทะลุซอยฝั่งตรงข้ามกับซอยบ้านของเธอก็ได้ หญิงสาวสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นบ่า เดินผ่านหน้าคู่หมั้นตัวสูง แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออ้อมแขนแข็งแกร่งรวบร่างน้อยเข้าไว้

“พี่มาร์ค!! อย่าค่ะ ปล่อยข้าวนะคะ”

“พี่มาร์คอยากปล่อยค่ะ แต่ขอหอมแก้มทีนึงได้ไหมคะ พี่มาร์คใจแห้งมานานแล้วนะ ขอความชื่นใจหน่อยสินะคะ”

มือน้อยพยายามแกะมือใหญ่ออกจากเอวกิ่ว ทว่ามือนั้นช่างเหนียวแกะมือนี้อีกมือก็คว้าหมับ สุดท้ายความอุ่นวาบก็กระจายไปทั่วแผ่นหลัง เมื่อร่างหนาจงใจเบียดกระแซะแนบแน่น ปลายจมูกโด่งเป็นสันซุกไซ้พวงแก้มสีทับทิม กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วหัวใจ ก่อนจะแนบปากเข้ากับติ่งหูเล็กๆ ที่หอมไม่แพ้แก้มสาว

“พี่มาร์คคะ ไหนว่าจะหอมแก้มไงล่ะคะ นี่มัน...”

“พี่คิดถึงน้องข้าวนี่คะ แค่หอมแก้มคงไม่พอ ขอพี่จูบสักทีได้ไหมคะ”

“ได้คืบจะเอาศอกหรือไงคะอาจารย์มาร์ค” ฐิตารีจงใจเรียกเขาว่าอาจารย์ เมฆินทร์กลับไม่สะทกสะท้านนอกจากกอดนิ่งๆ นานนับนาที แต่แล้วแก้มสาวหอมกรุ่นก็ถูกซุกไซ้อีกระลอก

“พี่มาร์คขอก็แล้วกันนะคะ ในฐานะคู่หมั้น”

สิ้นเสียงทุ้มปากร้อนก็จูบทับปากนุ่มแสนหวาน ฝ่ามือหนาเคลื่อนไปทั่วแผ่นหลังบอบบาง ความทรงจำอันดื่มด่ำกลับคืนมาอีกครั้ง ทำให้ใจโหยหาอยากรังแกนักศึกษาขึ้นมาดื้อ

‘นักศึกษา’ คำนี้มีอิทธิพลต่อเขานัก เขาเป็นประเภทไม่นิยมหาความสุขสำราญกับพวกนักศึกษาเท่าไหร่ เพราะเขาให้เกียรติต่อสถาบันและเครื่องแบบอันศักดิ์สิทธิ์

คิดดังนั้นมือใหญ่ก็หยุดเคลื่อน มาร์คถอนริมฝีปากออกแล้วจับปลายคางมนของคนตาเยิ้มส่ายไปมา

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ เดี๋ยวพี่มาร์คก็อดใจไม่ไหวกันพอดี กลายเป็นว่าน้องข้าวใจร้ายไม่รู้ด้วยนะคะ”

“ข้าวใจร้ายที่ไหนกัน เห็นมีแต่พี่มาร์ครังแกข้าวตลอด” ว่าแล้วก็ปัดมือใหญ่ออกจากปลายคางมน พลางแกะมือที่วางนิ่งอยู่ตรงเอวคอดออก

“น้องข้าวขา...รู้ใช่ไหมคะ พี่มาร์ครู้สึกยังไง”

ฐิตารีส่ายหน้าแถมยังสะบัดร่างหนี เมฆินทร์ส่ายหัว ดูเด็กดื้อจะไม่ยอมลงให้เขาง่ายๆ เสียแล้วสิ นี่ล่ะนะ ริอาจจะรักเด็กก็ต้องทำใจ ถ้าเด็กเล่นตัวทำเป็นไม่รู้ก็ต้องปล่อยไปก่อน อย่าผลีผลาม

“พี่มาร์คคิดว่าน้องข้าวทราบ เอาเถอะค่ะ พี่มาร์คจำได้ว่าเคยบอกไปแล้วครั้งนึง วันหลังจะบอกอีกก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามน้องข้าวใส่ชุดนักศึกษามาหาพี่มาร์คอีก นะคะ ถ้านอกเหนือเวลาเรียนแล้ว ขอให้เราเจอกันโดยที่น้องข้าวไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาได้มั้ยคะ”

“ทำไมหรือคะ”

“ก็...พี่มาร์ครู้สึกว่าตัวเองแก่จัง ถ้าต้องเดินข้างๆ นักศึกษาน่ะสิคะ”

“พี่มาร์คยังไม่แก่สักหน่อย”

“35 แล้วนะคะ” เขาแย้งแถมยังดึงมือเธอไปกุมไว้ ก่อนจะพากันเดินออกจากห้องพัก

“เรื่องอะไร ถ้าข้าวยอมทำตามคำสั่งพี่มาร์ค ก็เท่ากับข้าวยอมแพ้พี่มาร์คน่ะสิคะ”

สรุปแล้วแม่นางน้อยฐิตารีก็ยังไม่ยอมลงให้เขาอยู่วันยังค่ำสินะ เอาเถอะ เมื่อไหร่ที่เธอเรียนจบ ฐิตารีจะต้องทำความรู้จักเขาไปอีกนาน

ลินดา สารินนาถ นั่งหน้าบูดอยู่ริมสระว่ายน้ำหลังบ้าน ในมือของเธอมีเครื่องดื่มมึนเมาสีสวย เธอดื่มเครื่องดื่มจำพวกนี้เป็นตั้งแต่อายุ 16 และรสชาติของมันก็ทำให้เธอโปรดปรานทีเดียว ปกติเธอจะไม่ดื่มในตอนฟ้าแจ้งแบบนี้ แต่วันนี้ความรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ดั่งใจทำให้เธอต้องคว้ามันออกมาดื่มเร็วหน่อย

“ลินดา นี่ยังไม่เที่ยง หนูดื่มเหล้าแล้วหรือลูก พ่อบอกแล้วนี่นาว่ามันไม่ดี” ลักษณ์ สารินนาถ บิดาของลินดาอยู่ในชุดเรียบร้อยเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก แต่เห็นลินดาเข้าเสียก่อนเขาจึงเดินเข้ามาหา

“หนูเบื่อค่ะพ่อ เหล้าเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้หนูเบื่อ” ลินดาตอบแบบไม่ยี่หระ เรื่องอะไรที่เธอชอบบิดามักจะตามใจปล่อยให้ทำมาโดยตลอด เธอเลยมีนิสัยเอาแต่ใจ อารมณ์ร้อน ไม่ค่อยยอมฟังเสียใคร แม้แต่บิดาเองบางครั้งถึงกับระน้า

“เหล้าไม่ใช่สิ่งที่ขจัดความเบื่อหน่ายได้นะลูก มันมีแต่โทษไม่มีคุณ แล้วนี่หนูเบื่อเรื่องอะไร เล่าให้พ่อฟังซิ เผื่อพ่อจะช่วยอะไรลูกได้บ้าง” ใช้ไม้แข็งไม่เคยได้ นายลักษณ์ก็ต้องใช้ไม้อ่อน อะไรที่ลูกต้องการเขาก็พร้อมจะหามาให้

“หนูเบื่ออาจารย์ทึ่มที่มหาวิทยาลัยค่ะ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ทั้งทึ่ม ทั้งโง่ มีดีแค่หล่อกับรวย ขนาดอ่อยให้ถึงที่ก็ยังไม่ยอม บ้าจริงเชียว”

“ลินดา นี่หนูกำลังจะบอกพ่อว่าหนู...ไปให้ท่าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมางั้นเหรอลูก!!!”

แม้จะเลี้ยงลูกแบบปล่อยให้ทำอะไรตามใจมาตลอด แต่บางครั้งเรื่องที่ลินดาทำลงไปก็สร้างความตกอกตกใจให้ไม่น้อย เหมือนเรื่องนี้ เขาไม่คิดว่าลินดาจะบ้าระห่ำทำเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าขนาดยั่วยวนอาจารย์ที่หมาวิทยาลัย ยิ่งไปกว่านั้นก็หน้าม้านกลับมานั่งหน้าบูดเพราะถูกปฏิเสธ เป็นผู้หญิงยิงเรือถูกผู้ชายปฏิเสธก็น่าอายอยู่หรอก ยิ่งลินดาเป็นลูกของเขา นายลักษณ์ สารินนาถ นักธุรกิจพันล้าน เศรษฐมีอันดับของเมืองไทย

“ก็ใช่น่ะสิคะ อาจารย์เมฆินทร์ เป็นเจ้าของเจมส์บราวน์ ตอนนี้อาจารย์กำลังหาดาวดวงใหม่ประดับวงการนักออกแบบเครื่องประดับ หนูอยากเป็นนักออกแบบเครื่องประดับน่ะค่ะพ่อ” สาวมั่นอย่างลินดายอมรับโดยดุษฎี

“ก็เลยไปให้ท่าอาจารย์ถึงในห้องพัก ลินดา พ่อว่าหนูทำเกินไปแล้วนะลูก กับอาจารย์สอนวิชาการออกแบบจะมีอะไรดีเทียบเท่าเรา หนูเอาตัวไปแลกกับการเข้าเรียนวิชานั้น พ่อว่ามันไม่คุ้มกันเลยนะลูก แต่เอ๊ะ!!! เดี๋ยวหนูพูดใหม่ซิ อาจารย์ที่ว่าเนี่ยชื่ออะไร นามสกุลอะไรนะ เมื่อกี้พ่อฟังไม่ถนัด”

“คุณพ่อขา อาจารย์เขาชื่อเมฆินทร์ บราวน์ เป็นทายาทผู้สืบทอดกิจการเจมส์บราวน์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ และมีสาขาอยู่รอบโลก เขามาเปิดสาขาที่ประเทศไทยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เครื่องประดับอัญมณีของเขาแต่ละชิ้นมีมูลค่าไม่ต่ำว่า 5 ล้าน และที่แพงมากที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินมาก็มีมูลค่าสูงถึง พันล้านเหรียญเชียวนะคะคุณพ่อ”

“นี่ลูกคงไม่ได้อยากเป็นนักออกแบบของเจมส์บราวน์เท่านั้นหรอกใช่ไหม ลูกคงอยากเป็นมากกว่านั้น”

ทำไมพ่ออย่างเขาจะดูไม่ออก ถ้าเป็นมาร์ค บราวน์ หรืออาจารย์เมฆินทร์ที่ลินดากำลังกล่าวถึง ก็ย่อมจะมีสาวๆ หมายปองเกือบค่อนประเทศ นายลักษณ์นึกหน้ามาร์ค บราวน์ออก เพราะเห็นจากสื่อทุกประเภทประโคมข่าวของเขาทุกเรื่อง ตั้งแต่ความร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีเมืองผู้ดีอังกฤษไปจนถึงความหล่อเข้มติดอันดับผู้ชายหน้าตาดีที่สุดในโลก

ทว่าเรื่องหัวใจยังไม่มีใครกล่าวถึง

“ก็ใช่น่ะสิคะ ไม่งั้นหนูจะลงทุนขนาดนั้นเหรอ ถ้าเป็นอาจารย์ธรรมดาๆ ต่อให้หางตาหนูก็ไม่มองหรอกค่ะ”

นายลักษณ์เคยได้ยินชื่อเสียงของเจมส์บราวน์มาพอสมควร เขารู้ดีว่าฐานะเข้าขั้นมหาเศรษฐีติดอันดับของตน ยังไงก็ยังด้อยกว่าเจ้าของเจมส์บราวน์ ที่ติดอันดับมหาเศรษฐีของโลก แม้จะไม่ใช่อันดับต้นๆ แต่คนไทยที่มีฐานะติดอันดับโลกมีไม่กี่คน และแต่ละคนก็รวยอื้อซ่า

“ถ้าเราได้ดองกับเจมส์บราวน์จะเกิดอะไรขึ้นนะลูก คำว่ามหาเศรษฐีมันคงน้อยไป ต้องเป็นอัครมหาเศรษฐีสินะ ฮ่าๆๆ”

“หมายความว่าไงคะคุณพ่อ” ลินดาวางแก้วเครื่องดื่มลง ลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดแขนบิดาอย่างสงสัย

“พ่อจะช่วยหนู ถ้าหนูอยากเรียนออกแบบ พ่อจะช่วยเอง”

“จริงนะคะคุณพ่อ ลินดาดีใจที่สุดเลยค่ะ”

นายลักษณ์เม้มปากกอดร่างบุตรสาวที่ถลาเข้าหาไว้แน่น ลินดาเป็นคนสวยถ้าส่งไปบรรณาการเมฆินทร์บ่อยๆ มีหรือเขาจะทานทนต่อเสน่ห์อันมากล้นของเธอได้ แล้วถ้าลินดาทำสำเร็จ ฐานะอันมั่งคั่งที่ถูกฉาบด้วยหนี้สินมหาศาล ก็จะใสปิ๊งบริสุทธิ์ งานนี้คำว่ารวยล้นฟ้าก็คงจะอยู่ในมือ

3 วันต่อมา คณะบดีก็เรียกเมฆินทร์เข้าไปพบ

“คณะบดีมีอะไรกับผมหรือครับ”

ร่างสูงนั่งลงโดยไม่รอให้คณะบดีอนุญาต ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผยทำให้คณะบดีรู้สึกอึดอัด เมฆินทร์ไม่ใช่แค่อาจารย์สอนพิเศษแต่ยังเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นผู้ให้การสนับสนุนมอบทุนในการบูรณะอาคารเรียนและทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเด่น

แต่คณะบดีก็ต้องคิดหนัก เพราะว่าบุคคลที่สามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นผู้มีอิทธิพลและสนับสนุนช่วยเหลือมหาวิทยาลัยในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลหรือเอกชน หากมีใครสักคนจะให้การสนับสนุนด้านเงินซ่อมแซมหรือเงินช่วยเหลือเป็นทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาเรียนดี ท่านอธิการบดี คณะบดี หรือแม้แต่บุคคลที่เป็นผู้บริหารก็ย่อมจะไม่รีรอไขว่คว้าเอาไว้

ให้ฟรีโดยไม่ต้องลงทุน มีแต่ได้ไม่มีเสีย ใครล่ะจะไม่เอา

“ผมอยากให้อาจารย์รับลูกศิษย์เพิ่มอีก 1 คนครับ”

“วิชาการออกแบบที่ผมสอนเปิดรับสมัครตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ จะรับเข้าตอนนี้ไม่คิดว่าช้าเกินไปหรือครับคณะบดี” เมฆินทร์รู้ในทันทีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของใคร

“แต่ผมจะเพิ่มโควตาให้อีก 1 คนสำหรับกรณีพิเศษนี้”

“ผมไม่เคยมีโควตาสำหรับนักศึกษาคนใด เพราะผมต้องการรับสมัครนักศึกษาคนที่สนใจจริงๆ และมีฝีมือการวาดเขียนอยู่บ้าง แล้วคณะบดีจะจัดโควตาขึ้นได้ยังไงล่ะครับ”

“ถือว่าผมขอเพิ่มเป็นกรณีพิเศษแล้วกันนะครับอาจารย์เมฆินทร์”

อาจารย์หนุ่มรูปงามสีหน้าเฉยเมยนิ่งสงบเสียจนคณะบดีรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง

“เขาคนนั้นคงจะให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยมากเลยสินะครับ ถึงได้รับอภิสิทธิ์ขนาดนี้ ไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องใดๆ ทั้งสิ้น”

เมื่อถูกต่อว่ากรายๆ คณะบดีก็หน้าเสีย เมฆินทร์หรี่ตาลงมองคณะบดีด้วยสายตาดูแคลน เงินมีค่ามากมายต่อทุกชีวิตไม่เว้นแม้กระทั่งการศึกษา คนไม่รักเรียนแต่พ่อรวย พ่อก็ยัดเงินให้ลูกมีสิทธิ์เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยมีชื่อ ที่การันตีได้ว่าเมื่อจบออกมาแล้วมีงานทำดีๆ แน่นอน บางคนถึงจะไม่มีงานทำเพราะไม่สนใจจะทำงานด้วยฐานะดีมีกินมีใช้ตลอดชาติ ก็อยากเป็นหนึ่งในนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ในวงสังคม คนแบบนี้เมฆินทร์เกลียดนัก

“เอ่อ...คือว่า คุณพ่อของนักศึกษาคนนี้อยากให้ลูกเรียนการออกแบบจริงๆ นะครับ เขาอยากให้ลูกเป็นหนึ่งในเจมส์บราวน์ ผมว่าคุณไม่น่าจะปฏิเสธ”

“คณะบดี” เมฆินทร์เรียกเสียงแข็ง คนที่เขาเกลียดที่สุดอีกคนก็คือคนเห็นแก่เงินอย่างคณะบดีนี่แหละ “ถ้าผมจะเปรียบเทียบการสนับสนุนระหว่างผมกับพ่อของนักศึกษาคนนั้นล่ะ และถ้าต่อให้เรียนจนจบแต่ผมไม่เลือกผลงานของเขา เพราะผมไม่ชอบใจบ้างล่ะ อย่าลืมว่าผมเป็นใครนะครับคณะบดี”

เมฆินทร์ไม่คิดอยากข่มขู่คณะบดีหรือใครอื่นในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เลยสักนิด เขาไม่ได้อยากทำ แต่ทนไม่ไหวกับความเห็นแก่เงินของมนุษย์ทุกวันนี้ เงินไม่ได้ทำให้คนเราเป็นสุขไปได้ตลอดชีวิต เขารู้ก็เพราะเขาเกิดมาบนกองเงินกองทอง ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ แต่ใช่ว่าทุกวินาทีจะมีแต่ความสุข ทุกข์ใจ เสียใจ เขาเผชิญหน้ากับมันมาหมดแล้ว

คนที่เห็นเงินเป็นพระเจ้าคือคนที่น่ารังเกียจที่สุด

“อาจารย์ อย่าทำให้ผมลำบากใจเลยนะครับ แค่นักศึกษาที่อยากเรียนออกแบบแล้วสมัครเรียนไม่ทันคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

เมฆินทร์ปรายตาคมปราดมองคณะบดีตาเขียวจนคณะบดีต้องหลบสายตาลงมองปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะ อาจารย์หนุ่มหล่อเจ้าของเจมส์บราวน์นึกรังเกียจเดียดฉันท์ทั้งคณะบดีและนักศึกษาสาวคนนั้น รวมทั้งพ่อของเธอที่ใช้เงินฟาดหัวเพียงเพื่อให้ลูกได้เรียน โดยไม่คำนึงถึงเวลาที่เหลืออยู่ อีกปีเดียวก็จะสำเร็จการศึกษา เริ่มเรียนตอนนี้จะได้อะไรสักเท่าไหร่ คนพวกนี้เห็นการออกแบบเป็นเรื่องง่ายดายหรืออย่างไรกัน

“ก็ได้ ผมยอมให้คนนี้คนเดียว ถ้ามีกรณีแบบนี้อีก ผมจะเลิกให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยนี้ซะ แล้วจำไว้อย่าง ผมไม่ได้เอาเงินมาฟาดหัวเพื่อต้องการเป็นอาจารย์ แต่เข้ามาเป็นอาจารย์เพื่อเลือกสรรและให้โอกาสนักศึกษาที่เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เป็นนักออกแบบชื่อดังในอนาคต ซึ่งนั่นก็ถือว่าจะทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เลื่องชื่อขึ้นอีกด้วย”

“อาจารย์เมฆินทร์ คือ...”

“หยุด” เมฆินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ผมจะไม่พูดกับคณะบดีอีก ถ้าไม่จำเป็น ขอตัวครับ” แล้วเขาก็เดินย่ำเท้าจากไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธที่เป็นเหมือนพายุทอร์นาโดรอเวลาที่จะทำลายล้างใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ๆ รัศมี แม้คณะบดีเองก็ได้แต่ปล่อยวาง ทอดถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มือถือติดต่อบอกข่าวสำคัญนี้ให้ใครบางคนฟัง

ภายในห้องเรียนวิชาการออกแบบเครื่องประดับ

ลินดาพาร่างสะโอดสะองเข้ามาหาที่นั่งว่างๆ บังเอิญทีเดียวที่ว่างก็เป็นที่นั่งแถวหน้าสุด หญิงสาวนั่งลงแล้วกวาดตามองเพื่อนร่วมห้องด้วยแววตาจิกกัด สร้างความขุ่นเคืองให้ทุกคนที่ถูกกวาดตามอง

“ดูสิ นังคุณนายลินดามองพวกเราอย่างกับเป็นขี้ข้า แล้วหล่อนเป็นนายงั้นแหละ แหม...น่าตบให้คว่ำจริงๆ” สกุลวดีพึมพำกับจามิกรณ์

“ใช่ จิกพวกเราด้วยสายตาเหรอ เดี๋ยวฉันจะจิกมันด้วยฝ่ามือ” กวินตราบอก

ฐิตารีสะกิดหลังเพื่อนทั้งคู่เป็นเชิงบอกให้เงียบ ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้จะมีเพื่อนใหม่ที่ชื่อลินดา โดยเฉพาะฐิตารีก็คิดว่าลินดาไม่น่าจะได้เข้าเรียนวิชานี้อีกแล้ว แล้วทำไมวันนี้ถึงมีเธออยู่ในห้อง

อาจารย์เมฆินทร์เดินเข้ามาทำให้นักศึกษาเลิกสนใจลินดาแล้วหันมาสนใจอาจารย์หนุ่มรูปหล่อ เมฆินทร์ชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นลินดานั่งอยู่แถวหน้า เขาเดาไว้ไม่ผิด นักศึกษาใหม่ที่ใช้เงินฟาดหัวเพื่อพาตัวเองเข้ามาเรียนในวิชาที่ต้องการ ต้องไม่พ้นลินดาแน่ๆ

“อาจารย์ขา ลินดายังใหม่ ต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนคะ” ลินดาถามอาจารย์หนุ่ม นึกดีใจว่าโต๊ะของอาจารย์อยู่ตรงข้ามโต๊ะของเธอพอดี แบบนี้ยั่วได้สบายมาก

“ในเมื่อคุณเข้ามาเรียนตอนใกล้จะจบ ไหนคุณลองร่างแบบสร้อยเพชรให้ผมดูหน่อยซิ”

ลินดาอมยิ้ม ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ เพราะเธอมีพื้นฐานทางด้านการวาดภาพมาก่อน ก็แค่วาดรูปสร้อยเพชรด้วยดินสอไม้ จะยากอะไรกัน

“ได้ค่ะ”

เมฆินทร์พยักหน้าแล้วปรายตามองฐิตารี เห็นเธอมองกระดาษร่างแบบของตัวเองไม่ได้สนใจเขาก็นึกขุ่นเคือง แต่ต้องเก็บอาการให้นิ่งที่สุด

“ผมสอนวิธีการออกแบบทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู และแหวนไปหมดทุกอย่างแล้ว แบบร่างที่พวกคุณส่งมาก็ยังขาดแค่แบบแหวน วันนี้เรามีเพื่อนร่วมห้องเรียนใหม่ เพราะฉะนั้นผมจะให้พวกคุณร่างแบบแหวนเพชร จะเป็นเพชรล้วนหรือพลอยล้อมเพชรก็แล้วแต่พวกคุณ ผมให้เวลาพวกคุณทั้งคาบเรียน เสร็จแล้วก็เหมือนเดิม ผมจะคัดเลือกแบบที่ถูกใจส่งไปประกวดดาวดวงใหม่ที่เจมส์บราวน์ เริ่มได้!”

“เดี๋ยวค่ะอาจารย์ขา” ลินดายกมือขึ้น

“มีอะไรหรือ”

“ถ้างั้นขอลินดาร่างแบบแหวนส่งอาจารย์เหมือนคนอื่นได้ไหมคะ ลินดาจะแสดงให้เห็นว่าลินดาไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่”

“พญาปลวก!” ทันทีที่ลินดาพูดจบ เสียงๆ หนึ่งก็ดังมาจากกลุ่มของฐิตารี

“เอ๊ะ!!! เมื่อกี้ใครว่าฉัน” ลินดาลุกขึ้นพรวดมองหาต้นเสียง “บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เมื่อกี้ใครว่าฉัน”

“ลินดานั่งลง” อาจารย์สุดหล่อบอก เขาไม่รู้ว่าใครว่า แต่ไม่อยากให้มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรกที่ลินดาเริ่มเรียน

“อาจารย์คะ เมื่อกี้นี้มีคนว่าลินดาว่าพญาปลวกค่ะ” เธอได้ทีฟ้อง ยิ่งสร้างความหมั่นไส้ให้กับบรรดานักศึกษาสาว เพราะลินดาสร้างศัตรูไว้รอบตัว เวลานี้จึงมีแต่คนคอยหัวเราะเยาะมากกว่าคนสงสาร

“ผมว่าคุณนั่งเถอะ บางทีหูคุณน้าจจะมีปัญหา” คนเป็นอาจารย์หาวิธีไกล่เกลี่ย

“ใช่ค่ะอาจารย์ คนร้อนตัวไปเองก็งี้แหละ คิคิ” เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่นั่งอยู่ข้างหลังฐิตารีกล่าว

“นี่เธอ!!!” ลินดาใกล้จะวีนแตกเข้าไปทุกทีแล้ว

“พอๆ เลิกสร้างเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องเสียที ลินดานั่งลง แล้วก็เริ่มร่างแบบของเธอเองได้แล้ว”

ลินดาเม้มปากแน่น ใจอยากจะเข้าไปตบคนพูดให้ปากแตก แต่อีกใจก็สั่งให้เธอควรจะนิ่งเฉยเพื่อเรียกคะแนนความสงสารให้ตัวเอง เธอนั่งลงทำทีเป็นอยากลดละเลิก แต่ใจของเธอกำลังกรุ่นไปด้วยความโกรธ

เมฆินทร์ถอนใจเฮือก ลินดาเข้าเรียนเป็นวันแรกเหตุการณ์ก็ไม่ปกติเสียแล้ว นักศึกษาคนนี้ไม่ใช่คนยอมใคร เธอไม่ได้เงียบเฉยอย่างท่าทางในตอนนี้หรอก ร่างสูงนั่งประจำที่ลอบมองฐิตารี แว่บหนึ่งเธอปรายตามองมายังเขา แค่นั้นก็ทำให้ใจแฟ่บๆ ของเขาพองโตขึ้นมาได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมในห้องเรียนศิลปะการออกแบบเครื่องประดับ ลินดาเป็นคนส่งงานให้อาจารย์หนุ่มคนแรก ทั้งที่ยังเหลือเวลาประดิดประดอยอีกตั้งครึ่งชั่วโมง นักศึกษาร่วมชั้นเรียนจ้องมายังเธอเป็นตาเดียว หลายคนกำลังกังขากับความสามารถของเธอ

“อาจารย์ขา นี่ค่ะ ผลงานของลินดา”

เมฆินทร์มองผลงานที่เธอยื่นให้ หลังจากรับมันไว้เขาก็พิจารณาอย่างละเอียด

“ไปนั่งที่ แล้วเดี๋ยวผมจะบอกอะไรให้”

ลินดาหน้าเปลี่ยนสีแต่ก็กลับไปนั่งประจำที่ของตน นักศึกษาเริ่มส่งงานกันเรื่อยๆ จนมาถึงฐิตารี ร่างอรชรกลมกลึงยื่นแผ่นกระดาษให้อาจารย์หนุ่ม เมฆินทร์รับกระดาษแผ่นนั้นโดยจงใจที่จะสัมผัสถูกมือของเธอ มันไม่ใช่ครั้งแรกฐิตารีจึงไม่ผวาแต่หน้าของเธอค่อยๆ เปลี่ยนสีขึ้นทีละนิด อาจารย์หนุ่มเห็นชัดเพราะเขาจับจ้องหน้าหวานๆ ไม่วางตา รอยยิ้มประดับบนเรียวปากได้รูปอย่างพึงพอใจ

ทั้งสองไม่รู้เลยว่าการกระทำที่เกิดปฏิกิริยาทางเคมีนั้นอยู่ในสายตาของลินดา และเธอก็กำลังมองมาด้วยความไม่พอใจระคนริษยา

หลังจากที่ฐิตารีกลับไปนั่งที่เดิม เมฆินทร์ก็ลุกขึ้นในมือของเขามีแผ่นงานของนักศึกษาอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นของลินดาส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นของฐิตารี

“คุณลินดา ผมจะให้ดูความแตกต่างระหว่างผลงานของคุณกับของฐิตารี” อาจารย์หนุ่มบอก ลินดามองผลงานของตัวเองแล้วเปรียบเทียบกับผลงานของฐิตารี “คุณเห็นอะไรไหม”

“ของลินดาคมชัด เป็นการวาดภาพที่สวยงามมาก” ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าลินดาจะชมตัวเองขนาดนี้ “ส่วนของฐิตารีลายเส้นน่าเวียนหัว มองเห็นแค่แบบร่างแหวนแต่ไม่คมชัด ไม่สวยเท่าของลินดาเลยค่ะ”

คำตอบของเธอทำให้ฐิตารีเม้มปาก

“ผมไม่เถียงว่าคุณวาดภาพได้ชัดเจนและสวยงาม แต่ที่ผมให้ทำก็คือการร่างแบบ แบบของฐิตารีมีรายละเอียดมากที่เห็นว่าเส้นเยอะจนคุณเวียนหัว ก็เพราะฐิตารีตั้งใจจะลงรายละเอียดเพื่อให้คนที่ผลิตแหวนออกมาตามแบบของเธอเข้าใจชัด คุณมองภาพวาด...ผมขอใช้คำว่าภาพวาดแล้วกันนะ ภาพวาดของคุณไม่มีรายละเอียด เป็นภาพที่เด่นชัดจริงแต่ไม่มีความอ่อนช้อย ถ้าส่งแบบของคุณไปให้คนผลิต คุณคิดว่าเขาจะมองเห็นมิติของมันไหม แล้วคุณคิดว่าเขาจะทำออกมาได้ดีหรือเปล่า”

“อาจารย์กำลังบอกว่าฝีมือวาดภาพของหนูห่วยแตกหรือคะ” อีกครั้งที่เธอร้อนตัว

“ไม่เลยลินดา คุณฟังผมใหม่นะ ผมบอกว่าผลงานการวาดภาพของคุณดีทีเดียว แต่ผมไม่ต้องการให้คุณวาดภาพ ผมต้องการให้คุณร่างแบบซึ่งรายละเอียดของมันต้องมีมิติด้วย ที่ผมพูดคุณเข้าใจไหม”

“ก็ลินดาเพิ่งเรียนจะรู้อะไรล่ะคะ อาจารย์ต้องเน้นสอนลินดาเป็นกรณีพิเศษนะคะ คราวต่อไปลินดาจะต้องทำมันออกมาได้ดีกว่านี้แน่ ดีจนไม่มีใครเทียบได้”

“คิกๆๆ” เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอต่างหัวเราะขำที่เธอโอ้อวด

“หัวเราะอะไร!! อาจารย์ขา พวกนี้หัวเราะเยาะลินดาค่ะ” หญิงสาวหันไปออดอ้อนอาจารย์หนุ่ม ไม่แยแสต่อสายตาหลากหลายของเพื่อนๆ ที่มีทั้งริษยา เยาะเย้ย สมน้ำหน้า โกรธและเกลียด

“ใครหัวเราะเยาะเธอ ยัยตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง พวกเราหัวเราะอย่างอื่นต่างหากล่ะ” เพื่อนในกลุ่มของฐิตารีโพล่งขึ้น

“หัวเราะอย่างอื่น หัวเราะอะไร พวกเธอบอกมานะ”

“พวกเราหัวเราะก็เพราะรู้ว่าในห้องเรียนนี้ ผลงานที่ได้อันดับหนึ่งก็คือผลงานของฐิตารี ที่อาจารย์มาร์คเลือกมาเปรียบเทียบกับเธอไง ยังไม่รู้ตัวอีก ชั่วโมงบินของเธอมันน้อยกว่าฐิตารีและพวกเรามาก อย่าพยายามยกตัวเองให้เท่าฐิตารีเลย”

“พอเถอะ อย่าทะเลาะกันเลยนะ” ฐิตารีห้าม เธอไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในวงตีรันฟันแทงด้วยวาจาของกลุ่มเพื่อนๆ รวมถึงไม่อยากให้เพื่อนในกลุ่มต้องไปมีเรื่องกับลินดา เธอรู้ว่าลินดาไม่ยอมให้ใครฟาดฟันอยู่ฝ่ายเดียวหรอก อีกไม่นานเธอต้องเอาคืน และฐิตารีก็ไม่อยากมีเรื่องกับใครทั้งนั้น

“ไหนบอกไม่ได้ว่าฉัน นี่มันด่ากันชัดๆ” ลินดาลุกพรวด

“พวกเราไม่ได้ด่า แต่ถ้าเธอจะเห็นว่าอย่างนั้นก็ตามใจเธอ” สกุลวดีกล่าวสำทับ เป็นเหตุให้ธารรินทร์ต้องสะกิดเอวเพื่อนเป็นเชิงให้นิ่งเฉย

“นี่เธอ!!!” ลินดาไม่ยอมแพ้เดินเข้าไปหาสกุลวดี

“ลินดากลับมานั่งที่เดี๋ยวนี้” อาจารย์หนุ่มเริ่มปวดหัวตุบเรียกนักศึกษาสาวให้กลับมานั่งที่เดิม

“ไม่ค่ะ จนกว่าหนูจะเอาเรี่องพวกมันก่อน”

“ลินดาหยุดเถอะนะ อย่ามีเรื่องกันเลย มันไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอเองนะ” ธารรินทร์เพื่อนสนิทของฐิตารีลุกขึ้นห้าม ยกมือขวางลินดาเมื่อสกุลวดีลุกขึ้น

“นี่เธอมีสิทธิ์อะไรมาเตือนฉันห๊า นังนี่!!!” ลินดายกมือหมายจะตบธารรินทร์แทนสกุลวดี ฐิตารีจึงผลักลินดาให้ถอยไป แรงผลักไม่น้อยหมายเพียงแค่ให้ลินดาถอยห่าง ทว่าลินดากลับเซไปชนโต๊ะของเพื่อนอีกคน สะโพกชนเข้าอย่างจังลินดาก็หน้าเสีย เจ็บจี๊ดที่สะโพกแต่ยังไม่ยอมแพ้กลับยิ่งเคียดแค้นจึงก้าวเข้ามาเงื้อมือขึ้นเหวี่ยงใส่หน้าฐิตารี

“หยุดนะลินดา!!!” เมฆินทร์ร้องห้าม เดินเร็วๆ เข้ามาห้าม แต่เขาช้าไปกว่ามือใครอีกคนที่รับมือสั่นๆ ของลินดาไว้ได้ทันก่อนกระทบกับแก้มของฐิตารี

สมิธเป็นเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ด้านหลังฐิตารีนั่นเอง เขาใช้ความสูงและความไวรับมือนางมารร้าย แล้วยังใช้ร่างกายขวางไว้ไม่ให้ลินดาทำร้ายฐิตารีได้อีก

“เธอเป็นใคร ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ” ลินดาพยายามบิดข้อมือออก แต่สมิธไม่ปล่อย เขาไม่ยอมให้ลินดาทำร้ายฐิตารีแน่นอน

“ไม่ปล่อย และถ้าเธอยังไม่เลิกทำร้ายข้าวหอมล่ะก็ ฉันจะเหวี่ยงเธอออกจากห้องเอง”

ไม่มีใครคาดคิดว่าคนเงียบๆ อย่างสมิธจะกล้าต่อกรกับผู้หญิงร้ายๆ อย่างลินดา แต่พอสมิธทำทุกคนในห้องที่นั่งลุ้นเหตุการณ์ก็อ้าปากหวอ แล้วเริ่มมองสมิธใหม่

“แก...กล้าดียังไงมาทำกับฉันแบบนี้” ลินดาเจ็บแค้นนัก ในใจของเธอร่ำร้องกระวนกระวายเหมือนอยู่ท่ามกลางกองเพลิง “คอยดูนะฉันจะบอกคุณพ่อว่าทุกคนทำอะไรกับฉันไว้ พ่อฉันจะต้องจัดการกับทุกคน โดยเฉพาะแก ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”

“คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องพ่อของเธอเลยยัยบ้า เข้าเรียนวันแรกก็ทำเรื่องให้แล้ว นี่น่ะหรือคนมีอันจะกิน เฮอะ!!” สมิธปล่อยมือลินดาด้วยการสะบัด ลินดามองชายหนุ่มอย่างอาฆาต แต่สมิธไม่กลัวหรอก เขามองเธอด้วยสายตาดูแคลนเหมือนมองกองขยะกองหนึ่งเท่านั้น

“ฉันไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบแบบนี้แน่จำไว้!!!” ลินดากล่าวอาฆาตก่อนจะเดินย่ำเท้าออกไปจากห้อง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel