ตอนที่ 5
5
“พี่มาร์ค!” ฐิตารีครางหวิวเมื่อร่างของเธอถูกคู่หมั้นหนุ่มหล่อผลักนิดๆ แต่ก็มากพอจะทำให้คนอ่อนแรงเสียหลักถอยหลังไปชนผ้าม่านที่ยังไม่ถูกรูดปิดกั้นความร้อน เธอเหลียวมองผ่านกระจกด้านข้างแล้วผินหน้าไปอีกข้าง ก่อนจะเบียดตัวราวกับจะฝังตัวเองลงในกลุ่มผ้าม่านสีสะอาดหนาหนัก
เธอเห็นสีหน้าของคู่หมั้นเข้มขึ้น เรียวปากของเขาไม่ขยับยิ้มเหมือนเคย กลับดูว่าเขากำลังทำหน้าบึ้งราวกับไม่พอใจในตัวเธอ ฐิตารีสำเหนียกได้ถึงอันตรายที่คืบคลานใกล้เข้ามา ร่างสูงเยื้องย่างอย่างช้าๆ ยิ่งใกล้หญิงสาวก็ยิ่งดึงผ้าม่านมาพันตัว
ก็แค่ผ้า จะช่วยอะไรเธอได้เล่า!
“พี่...” เธออ้าปากเตรียมจะชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาอ้อนวอน
“พี่มาร์ครู้ค่ะ แต่พี่มาร์คเจ็บไปทั้งตัวแล้วนะคะ พี่มาร์คเจ็บมาก น้องข้าวไม่สงสารพี่มาร์คบ้างเลยหรือคะ”
ชายหนุ่มไม่ได้เสแสร้ง ร่างกายของเขารวดร้าวอย่างใกล้จะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายในร่างกายกำลังเกิดคลื่นมหาศาลที่ร้อนระอุยิ่งกว่าลาวาภูเขาไฟ ซ่านร้อนไปตามกระแสเลือดที่ไหลเวียนไปทั่วทุกรูขุมขน เกิดเป็นไอน้ำที่กลั่นออกมาเป็นหยาดเหงื่อ ทั้งที่เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ และทั้งที่ห้องพักของเขาเปิดแอร์เย็นเฉียบ หากในเวลาปกติที่นี่ไม่เคยร้อน แต่ในเวลานี้เขาทั้งร้อนรุ่ม เจ็บปวด ทุรนทุราย
ดวงตาสีอัลมอนด์จับจ้องคนตัวเล็กที่กำลังใช้ผ้าม่านห่อร่าง สายตาอ้อนวอนคู่นั้นทำให้ฐิตารีใจอ่อนยวบพลางมองหาบาดแผลที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวด
“พี่มาร์คเจ็บตรงไหนเหรอคะ”
ชายหนุ่มแค่นยิ้มนัยน์ตาอ่อนเชื่อมดูอิดโรยผิดปกติ สาวน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ไม่เข้าใจความหมายของเขา เขาอยากอธิบายเป็นคำพูด แต่ไม่ไหวแล้ว เขาต้องการเธอเดี๋ยวนี้
“ขอพี่มาร์คกอดให้แน่นกว่านี้หน่อยนะคะคนดี พี่มาร์คสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินน้องข้าว”
เขากอดเธอมาแล้วหนหนึ่งเมื่อครู่นี้ กอดแล้วก็ปล่อย มาตอนนี้จะขอกอดอีกหน ก็แล้วทำไมไม่กอดให้เต็มที่ตั้งแต่เมื่อกี้นี้ล่ะ สาวน้อยไร้เดียงสาคิดว้าวุ่นอยู่ในหัว ดูเหมือนเธอจะคิดช้าไปนิดเพราะบัดนี้ร่างเล็กได้ถูกร่างหนาใหญ่พันธนาการเต็มอ้อมแขนเสียแล้ว
มาร์คกอดคู่หมั้นผู้แสนจะน่ารักของเขาเต็มความรู้สึก ไม่สิ ถ้าจะดีกว่านี้เขาต้องกระชากผ้าม่านเฮงซวยนี่ออกไปให้พ้นร่างเธอ มือเร็วเท่าความคิด มาร์คกระตุกผ้าม่านหนาหนักจากมือเล็กที่ขยุ้มมันจนยับ ฐิตารีแทบจะปลิวไปกับแรงกระตุกนั้น แล้วแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็ห่อตัวเธอไว้แทน
“อุ๊ย!!”
หญิงสาวสงสัย ถ้าเขาเจ็บไปทั้งตัวแล้วทำไมถึงมีแรงรัดร่างเธอจนแนบแน่นแบบนี้
ชายหนุ่มหักห้ามใจตัวเองไม่ไหว กดริมฝีปากลงบนพวงแก้มเคล้าคลออย่างหลงใหล จุมพิตติ่งหูเล็กๆ ให้สาวน้อยซ่านสยิวถึงขึ้นสั่นเทิ้ม
“ใจเย็นๆ ค่ะ พี่มาร์คไม่ทำผิดแน่นอน ขอให้เชื่อ นะคะคนเก่ง” เสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบใกล้ รู้สึกถึงไอร้อนผะผ่าวที่แต้มไปทั่วบริเวณนั้น
ฐิตารีกำลังสั่น หวั่นใจเหลือกำลังแต่ไม่รู้ทำไมถึงไร้เรี่ยวแรงห้ามปราม เธอไม่รู้จะทำยังไงอารมณ์ที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงผสานกับร่างที่อ่อนเปลี้ยทำให้ต้องยกมือทาบอกกว้าง แม้แต่จะขัดขืนหรือดันอกกว้างนิดเดียวก็ยังทำไม่ได้ แค่แตะเธอก็รู้ว่าร่างหนานั้นก็สั่นไม่ต่างกัน
“ขอพี่มาร์คชื่นใจหน่อยนะคะคนดี นิดเดียวเท่านั้น นะคะ”
ชายหนุ่มวิงวอนโดยไม่ยอมเสียเวลารอคำตอบ ปากเฉียบไปด้วยพิษสงไต่ไปทั่วพวงแก้มอิ่ม จูบเหนือเปลือกตาทั้งสองข้าง ก่อนจะแนบปากทับปากนุ่มหวานอีกครั้งด้วยความหนักหน่วงที่มากขึ้นกว่าเดิม เรียกร้องการตอบสนองเต็มที่ หญิงสาวสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจูบตอบเขาโดยความพลั้งเผลอ ตวัดปลายลิ้นเล็กๆ ไปตามการนำทางของลิ้นสาก ยิ่งเขารุกมากเท่าไหร่ เธอก็ต้องตามติดมากเท่านั้น
มาร์คเคลื่อนฝ่ามือไปทั่วร่างเล็กที่บอบบางเสียจนเขาหวั่นใจหากกอดรัดแรงกว่านี้ ร่างเล็กๆ นี้อาจจะหัก ไม่ เขาไม่มีวันทำให้เธอต้องเจ็บปวดในทุกกรณี เขาจะรัดเธอให้แน่นอย่างนุ่มนวลที่สุด ทว่ายิ่งกอดรัดชายหนุ่มก็ยิ่งหักห้ามใจตัวเองไม่ไหว จากที่เคลื่อนฝ่ามือไปตามแนวสันหลังก็เลื่อนต่ำลงไปยังสะโพกโค้งงอน คู่หมั้นสาวน้อยของเขากำลังเตลิดไปกับประสบการณ์แปลกใหม่ เปิดโอกาสให้เขาทำตามใจปรารถนาหนักขึ้นเรื่อยๆ
มาร์คไม่อาจหยุดเคลื่อนไหวมือที่อยากจะบีบเคล้นสะโพกสวยหนักหน่วง เขาคลึงเคล้นอย่างย่ามใจ บีบขยำไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็เคลื่อนฝ่ามือมาด้านหน้า ร่างกายของเขายิ่งปวดร้าวระบม สัดส่วนแห่งความเป็นชายแสดงตัวตนอย่างเปิดเผย และเขาก็จงใจดันสะโพกสวยแนบสัดส่วนกำยำอย่างแผ่วเบา
ฐิตารีเคลิ้มลอยขึ้นสู่ที่สูงทั้งตัวและหัวใจ จุมพิตแผดเผาเรียกร้องเคลื่อนลงมายังแอ่งชีพจร เธอสยิวซ่านเมื่อยามที่เรียวปากนั้นขบเม้มย้ำๆ ผวาเฮือกเมื่อปลายลิ้นชุ่มชื้นตวัดไปทั่วลำคอระหงวกขึ้นสู่ปลายคาง
เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมเธอเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ เธอกำลังถูกสาปจากพ่อมดอย่างเขาหรือไรนะ วาบหวิวไปถึงทรวง หัวใจของเธอเต้นเร่าต่างจากร่างกายที่อ่อนระทวย แก้มของเธอร้อนผ่าว ร้อนจนต้องระบายความร้อนออกมาทางริมฝีปาก เธอเผยอปากได้นิดเดียวก็รู้สึกว่าปากแห้งผาก เธอหิวน้ำ หิวมากจนต้องแล่บลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง แต่แล้วจู่ๆ ธารน้ำชุ่มฉ่ำก็สอดเข้ามาในกลีบปาก เติมเต็มความกระหายให้เธอเหลือแต่เพียงความรุ่มร้อนคล้ายกระวนกระวายอยู่ลึกๆ
มาร์คดึงตัวเองออกในนาทีสุดท้าย เมื่อสำเหนียกได้ว่าสัดส่วนอันใหญ่โตดันตัวแทรกออกมาจากสาปเสื้อคลุม เขาช้อนร่างเล็กเพราะเห็นว่าสาวน้อยยังประคองสติไม่ได้ วางเธอไว้บนโซฟาก่อนจูบปากอิ่มหนักๆ กดแนบไม่ล่วงล้ำหาความหวาน แม้จะติดใจอยู่มากแต่หากไม่รั้งตัวเองเสียตอนนี้ มีหวังได้ผิดคำพูดแน่นอน
“รอพี่อยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวพี่มา”
ร่างสูงก้าวเร็วๆ ไปยังห้องนอนปล่อยให้คู่หมั้นสาวมีเวลาตั้งสติอยู่คนเดียวเงียบๆ ฐิตารีหลับตาลงกำมือแน่นแล้วคลายออก เธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เขามากมายนัก ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายหยุด เธอคงเสียตัวให้คู่หมั้นตั้งแต่วันแรกที่ได้สวมแหวนหมั้น
บ้าชะมัด!!
หญิงสาวรวบรวมสติคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของตนแล้วลุกขึ้น เธออยากไปให้พ้นจากที่นี่ ถ้าต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้ง เธอไม่รู้จะทำหน้ายังไง แล้วเขาเล่าจะทำหน้ายังไง เขาอาจกำลังคิดว่าเธอใจง่าย ปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาตั้งแต่วันแรกของการหมั้น เขาต้องเยาะเย้ยถากถางเธอแน่นอน ถึงไม่พูดสายตาก็บอกได้เป็นอย่างดี เธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ขอหนีไปตั้งหลักหน่อยแล้วกัน
ฐิตารีคิดจะเดินออกไปจากห้องพักสุดหรู แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นนิตยสารเกี่ยวกับเครื่องประดับเล่มหนึ่ง หน้าปกเขียนไว้ว่า ‘นิวสตาร์ออฟเจมส์บราวน์’ แล้วก็มีภาพเครื่องเพชรครบชุด มองดูแล้วหาค่าเปรียบมิได้ ทั้งสวยและเลอค่ามากมายนัก สิ่งที่ดึงดูดใจสาวน้อยจนต้องคว้านิตยสารเล่มนี้แล้วถอยหลังไปนั่งที่เดิม ก็คือข้อความที่เขียนบนหน้าปก มือบางเปิดไปยังหน้าที่ระบุไว้บนปกหน้า แล้วอ่านทุกตัวอักษรอย่างสนใจ
“อ่านอะไรอยู่เอ่ย” ชายหนุ่มกระซิบข้างหู เล่นเอาหญิงสาวสะดุ้งเฮือกปิดหนังสือแทบไม่ทัน “โอเคค่ะ พี่มาร์คไม่กวนแล้ว ว่าแต่น้องข้าวกำลังอ่านอะไรอยู่คะ”
ร่างสูงแต่งกายเรียบร้อยดูสบายๆ เดินอ้อมหลังโซฟามานั่งข้างๆ หญิงสาว ฐิตารีขยับตัวเพิ่มระยะห่างในทันทีที่ต้นขาแกร่งเบียดขานุ่ม แต่เมื่อมาร์คไม่เขยิบตามมาเธอก็ไม่จำเป็นต้องถอยออกไปอีก เธอสบตาเขาหน้าระเรื่อคิดไพล่ไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มาร์คยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขารู้เธอกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่มาร์ครู้มาว่าน้องข้าวเรียนศิลปะศาสตร์ อืม...วางแพลนไว้หรือยังคะว่าอยากทำงานอะไร” เขาชวนคุย เพื่อจะดึงความสนใจของเธอออกห่างจากเรื่องวาบหวาม
“ข้าวอยากเป็นนักออกแบบค่ะ”
“หืม...นักออกแบบด้านไหนคะ”
“เครื่องประดับค่ะ เจมส์บราวน์กำลังเฟ้นหานักออกแบบคนใหม่หรือคะ” ฐิตารีถาม เมื่อนึกได้ว่ามาร์คคือผู้บริหารระดับสูงของเจมส์บราวน์
“รับสมัครค่ะ ใครมีฝีมือด้านการออกแบบเครื่องประดับก็ส่งผลงานการออกแบบเข้ามาให้พิจารณาค่ะ”
“เปิดรับแล้วหรือคะ รับสมัครถึงเมื่อไหร่คะ”
ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เจมส์บราวน์ได้รับการกล่าวขานมากขนาดไหนทำไมคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักออกแบบอย่างเธอจะไม่รู้ บริษัทที่ออกแบบและจัดจำหน่ายในแบรนด์ของตัวเองโด่งดังระดับโลก เพิ่งจะเปิดสาขาในประเทศไทยมาได้ 2 ปี แต่ดังแซงหน้าบริษัทอื่นยิ่งกว่าพลุแตก เธอเองก็ได้ประจักษ์แก่สายตาเป็นครั้งแรกตอนที่ได้รับบลูไดมอนด์ออนเดอะริง แล้วยังแหวนหมั้นบนนิ้วนางข้างซ้ายนี่อีก
หญิงสาวหลุบตามองแหวนเพชรน้ำงามไร้มลทินอย่างสนใจ แล้วชูมือของตัวเองขึ้นทำท่าอวดเขา
“แหวนวงนี้ใครเป็นคนออกแบบคะพี่มาร์ค เป็นแบรนด์ของเจมส์บราวน์ใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ เป็นแบรนด์ของเจมส์บราวน์ และพี่มาร์คก็เป็นคนออกแบบเองค่ะ น้องข้าวชอบใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ข้าวชอบ พี่มาร์คเก่งมากเลยนะคะ บลูไดมอนด์ออนเดอะริงพี่มาร์คก็เป็นคนออกแบบ และแหวนวงนี้...”
“เฟิร์สเลิฟค่ะ แหวนวงนี้พี่มาร์คตั้งชื่อว่าเฟิร์สเลิฟ มันเหมาะสมกับความหมายมากน้องข้าวว่ามั้ยคะ”
“เฟิร์สเลิฟ!” ฐิตารีมองแหวนเพชรน้ำงามทรงคุณค่าด้วยใจเต้นระทึก “พี่มาร์คแน่ใจหรือคะว่ามันเหมาะกับข้าว” ความหมายของมันคือรักครั้งแรก แล้วตรงไหนที่เรียกว่าเหมาะสม ในเมื่อเธอไม่ใช่รักครั้งแรกของเขา
“ยิ่งกว่าแน่ใจเสียอีกค่ะ น้องข้าวอย่าดูถูกความรู้สึกของพี่นะคะ พี่มาร์คทำอะไรมีเหตุผลเสมอ ถ้าแหวนวงนี้ไม่เหมาะกับน้องข้าว แหวนวงนี้ก็ควรจะถูกทิ้งเพราะไม่มีใครที่เหมาะสมกับมันอีกแล้ว”
ฐิตารีมึนงงหากยืนขึ้นเธอแน่ใจว่าต้องเซแซ่ดๆ แล้วล้มลงไม่เป็นท่า มาร์ค บราวน์ จู่โจมเธอทุกรูปแบบ ทั้งร่างกายและความรู้สึกดูเหมือนเตรียมจะอ่อนข้อให้เขาทุกทาง ในตอนแรกเธอแน่ใจว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นเพียงความชอบแบบปั๊บปี้เลิฟ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่นชมผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งจนเก็บเอาไปฝันและชะเง้อคอมองหา เมื่อไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นก็พลอยเศร้า แต่พอเวลาผ่านไปเธอโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น ไม่มีเด็กสาวที่รอคอยเจ้าชายในฝันอีกต่อไป
ทว่า...บลูไดมอนด์ออนเดอะริงก็ยังเป็นพันธนาการหัวใจที่อยากมองข้าม แต่ทำไม่ได้ แม้จะเก็บมันไว้ในซอกหลืบมิดชิดเพียงใด มันก็ยังอยู่ในหัวใจเธอตลอดมา
“พี่มาร์คกำลังจะบอก...รัก...ข้าวหรือเปล่าคะ” กระแสเสียงของเธอในวินาทีนี้เต็มไปด้วยความลังเลใจ ไม่แน่ใจ และหวั่นใจในคำตอบที่คาดว่าจะได้ยิน หากเขาปฏิเสธก็เท่ากับยื่นมือมาบีบหัวใจพองโตจนแหลกเหลว
“ความหมายมันอยู่ในแหวนหมั้นของเราแล้วค่ะ แหวนวงนี้ที่พี่สวม ต่างชื่อต่างดีไซน์เพราะเป็นของผู้ชาย แต่ความหมายคล้ายกัน มายเดียร์” เขาวางมือใหญ่ข้างซ้ายบนมือเล็ก กุมมือน้อยเบาๆ มอบรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นสุดหัวใจให้เธอผู้เป็นทุกความหมายของเขา
ถึงแม้คู่หมั้นของเธอจะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามตรงๆ เอาความหมายของแหวนมาอ้าง ฐิตารีก็ใจพองโตคับอกแล้วในตอนนี้
ความรู้สึกปั๊บปี้เลิฟกำลังเปลี่ยนไป...
“น้องข้าวอยากเป็นนักออกแบบเครื่องประดับหรือคะ ให้พี่มาร์คช่วยสอนให้เอามั้ย พอเก่งแล้วก็ไปช่วยพี่มาร์คออกแบบเครื่องเพชรให้เจมส์บราวน์”
“ฮะ...เอ่อ...ข้าวคิดว่าทำไม่ได้หรอกค่ะ ข้าวยังไม่รู้เรื่องการออกแบบเลย ข้าวแค่วาดรูปเป็น ขีดๆ เขียนๆ ระบายสีได้ แต่ข้าวว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือเครื่องประดับไม่ใช่แค่วาดรูปเป็นก็ทำได้ มันต้องมีรายละเอียดมากพอให้ฝ่ายผลิตได้ผลิตออกมาให้เหมือนแบบ ข้าวคิดว่าถ้าเรียนจบปริญญาตรีเมื่อไหร่ ข้าวจะไปเรียนต่อวิชาการออกแบบเครื่องประดับค่ะ คงต้องหาที่ลงเรียน เพราะในมหาวิทยาลัยที่ข้าวเรียนไม่มีสาขานี้ค่ะ”
“เหรอคะ ที่จริงน้องข้าวไม่ต้องไปลงเรียนให้ยุ่งยาก แค่ให้พี่มาร์คช่วยสอน สำหรับคนมีใจรักไม่มีอะไรยากเกินความพยายามหรอกนะคะ ถึงยังไงเราก็เป็นคู่หมั้นกันแล้ว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ข้าวไม่อยากรบกวนพี่มาร์ค งานของพี่มาร์คก็เยอะมากอยู่แล้ว”
มาร์คยิ้มกริ่ม รู้สึกพอใจกับความคิดความอ่านของคู่หมั้นนัก ฐิตารีไม่ใช่เด็กสาวสวยแต่ไร้สมอง เธอคิดเป็นและคิดถูกเสียด้วยสิ
“รู้ได้ยังไงคะว่างานพี่เยอะ สำหรับน้องข้าวพี่มีเวลาให้เสมอ”
เขาไม่อธิบายว่างานบริหารอยู่ตัวขนาดไหน งานออกแบบถือเป็นงานอดิเรกที่ใช้เวลาว่างทำ หน้าที่หลักๆ ของเขาแค่ตัดสินใจและสั่งการพร้อมตรวจความเรียบร้อยเท่านั้น และหากจะแบ่งเวลาที่มีให้คู่หมั้นผู้แสนน่ารักคนนี้ทำไมจะทำไม่ได้เล่า
“ข้าวไม่อยากรบกวนพี่มาร์คนี่คะ”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ เราเป็นคู่หมั้นกันแล้วนะคะ น้องข้าวอย่าเกรงใจพี่”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เอาไว้ข้าวเรียนจบเมื่อไหร่ ข้าวจะไปหาเรียนเพิ่มเติมเอง ถึงเวลานั้นข้าวจะได้มีเวลาเรียนเต็มที่ ไม่ต้องเจียดเวลาพักผ่อนมาเรียนต่อ ถึงสาขาที่ข้าวเรียนจะไม่ปวดหัวอย่างสาขาอื่นๆ ก็เถอะค่ะ” สาวน้อยยังยืนยันคำตอบเดิม
“พี่มาร์คถามหน่อยนะคะ” ชายหนุ่มตั้งคำถาม
“ถามอะไรคะ”
“ทุกวันนี้น้องข้าวมาเรียนกี่วิชาคะ เรียนหนักมากแค่ไหน”
ฐิตารียิ้มน้อยๆ มาร์คตาพร่างพราว แค่รอยยิ้มเพียงนิดเดียวของเธอก็ทำให้เขามีความสุขได้
“บางวันก็ 3 บางวันก็ 4 มากสุดก็ 5 วิชาค่ะ วันไหนเรียนน้อยวิชาแต่คาบเรียนจะมากหน่อยค่ะ”
“โอเคค่ะ พี่มาร์คเข้าใจแล้ว”
มาร์คกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้คู่หมั้นได้สมหวัง เห็นสายตาและสีหน้าเขาก็พอจะเดาออกว่าเธออยากเรียนรู้เรื่องการออกแบบเครื่องประดับมากแค่ไหน เพียงแต่อะไรหลายๆ อย่างยังเป็นอุปสรรคและเพราะเธอเกรงใจเขาซึ่งเพิ่งรู้จักไม่นาน
การเจอกันที่อังกฤษเพียงไม่กี่ครั้งรวมกับวันนี้เป็นเวลาเพียงน้อยนิดที่จะทำลายกำแพงบางๆ กั้นระหว่างคำว่าสนิทสนมกับคุ้นเคย แม้วันนี้เธอจะทำความรู้จักอารมณ์เบื้องลึกอันรุนแรงของเขาบ้างแล้ว แต่นั่นยังน้อยนิด สาวน้อยยังต้องรู้จักความเป็นเขาอีกมากเลยทีเดียว ตรงกันข้ามมาร์คคิดว่าตนรู้จักคู่หมั้นสาวดีพอเพราะถึงแม้จะห่างกันไกลหลายปี แต่เขารู้ความเคลื่อนไหวของเธอตลอด
“เอ้อ...” ฐิตารีปิดนิตยสารและวางบนโต๊ะข้างโซฟา “ข้าวว่าเย็นแล้ว พี่มาร์คส่งข้าวกลับบ้านเถอะนะคะ คุณพ่อคุณแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว” ป่านนี้บิดามารดาจะคิดไกลไปถึงไหนก็ไม่รู้ เธอเล่นหายมากับเขาสองคนแบบนี้ เป็นใครก็ต้องห่วง
“ได้ค่ะ พี่มาร์คจะไปบอกคุณน้าด้วยเรื่องของเรา” ว่าแล้วแทนที่เขาจะลุกขึ้น กลับดึงรั้งร่างเล็กบอบบางทีเดียวขึ้นมานั่งซ้อนตัก ฐิตารีหน้าตาตื่นยกมือยันอกกว้างพัลวัน
“อย่าค่ะ ไหนว่าจะไปส่งข้าว”
“ไปส่งแน่ค่ะ แต่พี่มาร์คขอกำลังใจหน่อยนะคะ”
หญิงสาวถอนใจ เพิ่งรู้ว่าคู่หมั้นจะมีสิทธิ์ทำอะไรทำนองนี้แล้วเรียกร้องรบเร้าจากเธอเหมือนเด็กๆ เธอสบตาเขาเห็นความรุนแรงของอารมณ์บางอย่างซ่อนอยู่ เธอหลบตาวูบรู้สึกอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในนั้นจะพวยพุ่งออกมาจนไม่กล้าสบสายตานานๆ
มาร์คเชยคางมนขึ้น หญิงสาวยังคงหลบตาเขาด้วยการหลับตาลงเสียเลย เขากระตุกยิ้มนัยน์ตาอ่อนเชื่อม ริจะรักเด็กต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้ได้แม้ว่ามันยากแสนยากขนาดไหนก็ตาม แต่เอาเข้าใจเขาก็อดใจไม่ไหวเสียร่ำไป แค่ใกล้ชิดยังไม่พอ เขาต้องการมากกว่ากอดเธอไว้ในอ้อมแขน อยากจูบปากอิ่มสีกุหลาบ อยากหอมแก้มใสๆ อยากทำมากกว่านี้ ทว่าหากริจะรักเด็กก็ต้องอดทน อย่าคิดได้คืบจะเอาศอก แม้ศอกจะอยู่ใกล้เพียงแค่กระตุกก็ได้แล้ว
เรียวปากอิ่มแย้มเล็กน้อยราวกับกำลังรอคอยริมฝีปากของเขา สาวน้อยน่ารักขนาดนี้แล้วเขาจะอดใจไหวได้อย่างไร มาร์คจูบปากอิ่มเต็มความรู้สึกเร่าร้อน เป็นจูบที่หนักหน่วยและเรียกร้องรุนแรงกว่าเดิม สิทธิ์ของความเป็นคู่หมั้นก็คงได้แค่จูบ แล้วเขาก็ใช้มันให้เต็มที่สมปรารถนา
ร่างเล็กๆ สั่นเทิ้มเมื่อคู่หมั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จูบราวพายุบุแคมราวกับจะถอดกายและวิญญาณของเธอออกจากกัน ฐิตารีเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องจนต้องจิกปลายเล็บลงบนบ่าแล้วออกแรงดันสุดกำลัง มันไม่มีประโยชน์ แรงเท่ามดไม่ทำให้เขาถอยได้ถ้าไม่ช่วย มาร์คยอมผละห่างแล้วกอดสาวน้อยลูบหลังเธออย่างปลอบโยน
อารมณ์ของเขากำลังทำให้เธอตกใจ...
“พี่มาร์คขอโทษค่ะ ขอกอดแบบนี้สักพัก แล้วพี่มาร์คจะไปส่งนะคะ”
ไม่อยากจากเธอในตอนนี้เลย ให้ตายสิ! ฐิตารีหวานเกินตัดใจด่วนพลัน ร่างกายของเขารวดร้าวเจ็บปวดและทรมานจนไม่อาจให้เธอเห็นสีหน้าที่เข้มจัดของเขาในตอนนี้ กลัวเธอจะตกใจกลัวและผวาหากเขาจะเข้าใกล้ทีหลัง
การกอดรัดนิ่งๆ ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น แต่เขาต้องตัดใจปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุดแม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม ร่างเล็กถูกปล่อยเหลือเพียงมือน้อยที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่ ร่างสูงลุกขึ้นเดินนำพร้อมกับจูงคนตัวเล็กให้เดินตามเงียบๆ
ฐิตารีลอบมองแผ่นหลังกว้างของคู่หมั้น แล้วยกมือข้างซ้ายดูแหวนหมั้นที่ไร้พิธีรีตอง เธอถูกจองจำด้วยความเสน่หา หัวใจบอกว่าอย่างนั้น และตอนนี้หัวใจของเธอก็พองโตเหลือกำลัง
มาร์ค บราวน์ คือคู่หมั้นของเธอ!
หลังจากเย็นวันนั้น วันที่มาร์คพาคู่หมั้นตัวน้อยไปส่งบ้านแล้วเขาก็ทำให้ผู้ใหญ่เจ้าของบ้านทั้งสองเป็นต้องอึ้ง อ้าปากค้างก่อนละล่ำละลักซักถามความสมัครใจของบุตรสาว เมื่อได้คำตอบที่แน่ชัดบนน้ำเสียงสั่นพร่าพร้อมทั้งเห็นแหวนเพชรเลอค่าบนนิ้วนางข้างซ้าย บิดามารดาของฐิตารีก็หมดคำพูด
คืนนั้นหลังจากมาร์คกลับไปด้วยใจที่เบิกบานราวติดปีก นายฐากูรและนางกมลาก็มีโอกาสคุยกับบุตรสาว
“ข้าวแน่ใจแล้วหรือลูก แม่ว่าน่าจะรอให้เรียนจบก่อนนะ”
“ที่ข้าวทำ ไม่ใช่เพราะข้าว...เอ่อ...ชอบพี่มาร์คเท่านั้นนะคะ แต่ข้าวอยากช่วยคุณพ่อ พี่มาร์คยกหนี้สินให้คุณพ่อหมดแล้วนะคะ ตอนนี้คุณพ่อไม่ได้เป็นหนี้เขาแล้ว แล้วถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นพี่มาร์คพร้อมจะยื่นมาเข้ามาช่วยค่ะ”
“ไหนข้าวเคยบอกแม่ว่าจะไม่ทำแบบนี้ไงลูก ต่อให้เราต้องลำบากเราก็จะทนไงล่ะลูก”
“ข้าวจำได้ค่ะแม่ แต่ข้าวทำเพื่อพ่อกับแม่นะคะ ตอนนี้เราก็แค่หมั้น ขนาดแค่หมั้นพี่มาร์คยังยกหนี้ให้เลยนะคะ พ่อกับแม่จะว่าข้าวยังไงก็ได้ ข้าวไม่อยากเห็นพ่อทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอีกต่อไป เงินไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ดอกเบี้ยก็ยังไม่เคยให้เขา ถ้าทบต้นทบดอกจะมากมายแค่ไหน ทุกวันนี้ข้าวรู้นะคะบริษัทเราไม่ใช่ไม่มีปัญหา คุณพ่อพยายามรักษาบริษัทเล็กๆ นี้ไว้ อะไรทำเองได้ก็ทำ คุณพ่อกระเบียดกระเสียรเพื่อความอยู่รอดเขาครอบครัวและพนักงานด้วย เงินเดือน โบนัส นี่ดีนะคะที่ไม่ค่อยมีค่าล่วงเวลา ไม่งั้น...”
“แต่การทำแบบนี้ข้าวจะมีความสุขหรือลูก แล้วคุณมาร์คจะไว้ใจได้แค่ไหน หนุ่มแน่นขนาดนั้นกับสาววัยกำดัดความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นง่าย ถ้าถึงเวลานั้น...”
“เราตกลงกันแล้วค่ะคุณแม่ พี่มาร์คให้สัญญาว่าจะรอข้าวเรียนจบ ความจริงข้าวก็ยังไม่ได้รักพี่มาร์ค จะพูดให้ถูก ข้าวยังไม่รู้จักพี่มาร์คดีพอเลย แต่ข้าวคิดว่าหมั้นกันไว้ก่อนก็ดี ช่วงนี้จะได้ศึกษาใจคอกัน อีก 2 ปีนะคะ กว่าข้าวจะเรียนจบ”
“พ่อรู้ คุณมาร์คเป็นคนดี เข้าตามตรอกออกตามประตูดี แต่พ่อเป็นห่วงกลัวข้าวจะไม่มีความสุข ยิ่งข้าวบอกว่าไม่ได้รักเขาพ่อก็ยิ่งห่วง เฮ้อ...ไม่รู้ทำไมจู่ๆ คุณมาร์คถึงมาชอบข้าวได้ ทั้งที่เราก็อยู่ห่างกันเหลือเกิน”
นางกมลามองบุตรสาวอย่างสำรวจ หายไปด้วยกันนานกลับมาพร้อมกับเรื่องที่ทำให้ตระหนกตกใจไม่น้อย แหวนเพชรบนนิ้วนางข้างซ้ายยืนยันได้ว่าไม่ได้ฝัน มันเกิดขึ้นจริง
“ข้าวสัญญากับพ่อกับแม่ได้ไหมลูก ว่าจะไม่ชิงสุกก่อนห่าม ถึงเราจะเป็นคู่หมั้นเขา แต่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ว่าจะทำอะไรมันมีเส้นแบ่งเสมอ”
“ค่ะแม่ ข้าวเข้าใจที่แม่เตือนค่ะ ข้าวจะเชื่อฟังแม่ จะรอให้ถึงวันแต่งงานค่ะ”
ฐิตารีบอกเสียงหนักแน่นแต่หัวใจไม่หนักเท่าน้ำเสียง การรุกประชิดของเขาทำให้เธอตัวอ่อนทุกครั้งไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน แต่เขาสัญญากับเธอแล้ว เขาต้องทำตามสัญญาสิ
หลังจากคุยกับบิดามารดาเสร็จ หญิงสาวก็ขึ้นห้องนอน เธอมองแหวนหมั้นอย่างสำรวจพลันนึกถึงใบหน้าคมจัดของคู่หมั้นที่มาเร็วด่วนจี๋จนตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน
เธอชอบเขา นี่คือสาเหตุหลักที่ยอมรับหมั้น หาใช่เรื่องหนี้สินแม้มันจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอก็ตาม
แต่ยังไม่รัก เธอแน่ใจว่ายังไม่รักเขา แม้ใจจะหวั่นไหวทุกครั้งที่เข้าใกล้หรือได้ยินเสียง เธอจะยังไม่รักเขาจนกว่าจะเรียนจบ
ฐิตารีขอสัญญากับตัวเอง!
และหลังจากนั้นเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ...
1 เดือนต่อมา
ภายในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่ฐิตารีเรียนอยู่ เช้าวันนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยได้ประกาศออกไมค์เรื่องจะมีอาจารย์เข้ามาสอนพิเศษวิชาการออกแบบเครื่องประดับอัญมณี หากนักศึกษาคนใดที่สนใจอยากเรียนสามารถส่งใบสมัครเรียนได้นับแต่วันนี้
“ข้าว...ข้าวหอม ได้ยินประกาศของทางมหาวิทยาลัยหรือยัง เรื่องที่จะมีอาจารย์มาสอนพิเศษวิชาการออกแบบเครื่องประดับน่ะ” ธารรินทร์ เรืองรัตน์ หรือลูกน้ำ เป็นเพื่อนรักของฐิตารีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เดินเร็วๆ มาบอกเพื่อนรักที่นั่งดื่มน้ำอยู่บนโต๊ะม้าหินใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์
“ได้ยิน ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ก็จะมีสอนล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นได้ยินข่าวคราวเลย”
“เห็นว่าเป็นคนจากเจมส์บราวน์นะที่จะมาเป็นอาจารย์พิเศษน่ะ แล้วฉันก็ได้ยินว่าเจมส์บราวน์คิดจะใช้วิธีนี้เฟ้นหานักออกแบบคนใหม่ประดับวงการน่ะ”
“งั้นเหรอ ทำไมข้าวไม่รู้” ประโยคหลังฐิตารีพูดกับตัวเองพึมพำ
“ว่าอะไรนะข้าว”
“เอ่อ...เปล่าๆ ไม่มีอะไร ว่าแต่น้ำสนใจหรือเปล่า ถ้าสนเราจะได้สมัครพร้อมกัน ไม่รู้ว่าเขารับกี่คนนะ”
“100 คนเท่านั้น แต่ตอนนี้คนไปสมัครหลายร้อยคนแล้วนะ เห็นเขาบอกว่าจะมีการคัดเลือกอีกที”
“คัดเลือก?”
“ใช่ คัดเลือกด้วยการร่างแบบ”
“ร่างแบบ? ข้าวว่าไม่เคยมีใครในมหาวิทยาลัยเราเคยร่างแบบมาก่อนแน่ๆ ก็ที่นี่ไม่มีสอน แล้วใครจะร่างแบบเป็น หรือแค่วาดๆ เฉยๆ”
“อืม...ไม่รู้สิ ว่าแต่สรุปแล้วข้าวจะสมัครไหม น้ำเห็นว่าข้าวอยากเป็นนักออกแบบก็เลยมาบอกนี่ล่ะ”
“แล้วน้ำล่ะ น้ำก็อยากเป็นนี่นา”
ฐิตารีเคยได้ยินธารรินทร์พูดถึงอาชีพที่ทำเงินได้มาก การเป็นนักออกแบบก็เป็นอาชีพที่รายได้ดี เรียนจบแล้วก็ทำงานหาเงินมาพยุงฐานะทางบ้านได้
“น้ำสมัครอยู่แล้ว และคิดว่าข้าวไม่น่าจะพลาดนะ”
“จ้ะ งั้นเราไปสมัครกันเถอะ ไม่รู้เขาเอาหลักฐานอะไรบ้างเนอะ ไปดูระเบียบการกันดีกว่า”
ฐิตารีและธารรินทร์ชักชวนกันไปดูระเบียบการที่ติดประกาศไว้ ก่อนจะขึ้นตึกเรียนในวิชาแรกของวัน
รถคันใหญ่จอดลงหน้าบ้านหลังเล็ก มาร์คลงจากรถที่วันนี้เขาขับมาเองไร้เงาคนติดตาม ด้วยเหตุว่าค่ำนี้เขาตั้งใจจะพาคู่หมั้นออกไปดินเนอร์
นางกมลาเป็นคนออกมาเปิดประตูรั้วต้อนรับหลังจากชะเง้อแลเห็นร่างสูงคุ้นตามายืนอยู่หน้าประตูรั้ว มาร์ค บราวน์ ดูดีในสายตาของทุกคนเสมอไม่ว่าจะอยู่ในชุดอะไร
“สวัสดีครับคุณน้า ข้าวหอมกลับมาจากมหาวิทยาลัยหรือยังครับ”
เจ้าของบ้านรับไหว้แทบไม่ทัน นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอพึงพอใจในตัวชายหนุ่มผู้นี้ แม้มาร์คจะเป็นลูกครึ่งแต่เขามีมารยาทตามแบบอย่างของคนไทย ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยกิริยานอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณมาร์ค ข้าวหอมเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ สงสัยจะอาบน้ำอยู่ เชิญข้างในก่อนสิคะ”
มาร์คเดินตามร่างท้วมที่เตี้ยกว่าเขามากเข้าไปในบ้าน บ้านสองชั้นสีขาวสะอาดขนาดไม่ใหญ่นัก พอให้อยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ พ่อแม่ลูกได้อย่างสบายๆ บ้านเล็กที่แสนอบอุ่นผิดกับบ้านใหญ่กว้างขวางของตระกูลบราวน์ที่ลอนดอน เทียบกันไม่ติดเลยต่างหาก มีอยู่อย่างเดียวที่เหมือนคือความรักของทุกคนในครอบครัว
“เย็นนี้ผมจะมาขออนุญาตคุณน้าพาข้าวหอมไปดินเนอร์น่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณน้าจะว่ายังไง”
“ก็หนีไปสวมแหวนหมั้นกันเงียบๆ เป็นคู่หมั้นกันแล้วจะไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่แปลก แต่พาไปแล้วต้องพามาส่งนะคะ แล้วก็อย่าไปนาน อย่าลืมว่าข้าวหอมยังเรียนอยู่”
อดไม่ไหว นางกมลาต้องเตือนเสียงต่ำในฐานะของคนเป็นแม่ที่ห่วงลูกสาว ซึ่งมาร์คเองก็เข้าใจดี ฐิตารียังไม่บรรลุนิติภาวะ แถมยังต้องเรียนหนังสือ จะทำอะไรก็ต้องคิดให้มากคิดให้หนัก เขาไม่ถือสาที่คุณน้าผู้หญิงออกปากเตือน ในฐานะของอดีตเจ้าหนี้ที่ยกหนี้สินทั้งหมดให้โดยไม่เรียกร้องอะไรเลย นอกจากการหมั้นหมายกับฐิตารี มาร์คมีสิทธิ์แสดงอาการไม่พอใจและเอาแต่ใจเต็มที่ซึ่งฝ่ายครอบครัวสุริยาพิบูลย์ไม่มีสิทธิ์กังขา ทว่าในฐานะของคู่หมั้นฐิตารีหรือว่าที่ลูกเขย นางกมลามาสิทธิ์เอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย
“ผมสัญญาว่าจะมาส่งข้าวหอมให้ถึงมือคุณน้าอย่างปลอดภัย รับประกันด้วยเกียรติของตระกูลบราวน์ว่าจะไม่ทำให้คุณน้าผิดหวังครับ”
ขณะนั้นฐิตารีก็สาวเท้าลงมาจากชั้นสองด้วยชะโงกหน้ามองไปนอกหน้าต่างห้องนอนแล้วเห็นรถคุ้นตาจอดหน้าบ้าน เธอรีบแต่งตัวก่อนจะรีบลงมาพบเขา ผู้ชายที่เธอคิดถึงทั้งยามหลับและยามตื่น
มาร์คคลี่ยิ้มส่งให้คู่หมั้นตัวน้อยของเขา เขาคิดถึงเธอเหลือเกินให้ตายสิ ทำไมความรู้สึกนั้นถึงได้รุนแรงมากขนาดนี้
“ข้าวหอม คุณมาร์คมารับหนูไปทานข้าวน่ะลูก”
ฐิตารีแปลกใจครามครัน มารดาบอกเธอด้วยสีหน้าชื่นมื่นผิดปกติ มารดาของเธอน่าจะพยายามขัดขวางไม่ให้เธอออกไปไหนกับเขาสองต่อสองนี่นา หรือว่าเสน่ห์ของเขาลามไปมัดใจแม่ของเธอเสียจนอยู่หมัด เหมือนที่มัดหัวใจเธอจนแนบแน่นในขณะนี้
คิดแล้วก็ตกใจ ความห่วงหาอาวรณ์ ความคิดถึงที่เพิ่งจะรู้ว่ามากมายขนาดไหนก็ตอนที่เห็นหน้าเขาหลังจากไม่เจอกันมาหลายวัน ความรู้สึกนั้นทำไมมันถึงมากมายขนาดนี้
สาวน้อยระบายยิ้มอ่อนๆ ให้คู่หมั้น เห็นเขาเลิกคิ้วเข้มๆ ขึ้นก็นึกฉุน อยู่ๆ ก็มาอยู่ๆ ก็ไป นึกจะหายไปตอนไหนก็ได้งั้นเหรอ ถ้าเธองอนเข้าให้จะเป็นยังไงนะ
“สวัสดีค่ะพี่มาร์ค” ฐิตารีเลือกทักทายเขาด้วยการยกมือไหว้อย่างเป็นงานเป็นการจนมาร์คขัดหูขัดตาพิลึก แทนที่คู่หมั้นสาวน้อยจะเปิดยิ้มกว้างดีใจที่เจอกัน กลับมีแค่รอยยิ้มบางๆ ระบายอยู่บนกลีบปากแสนหวาน ดวงตาคู่นั้นก็ช่างเฉยเมยติดจะเย็นชาด้วยซ้ำ
“สวัสดีค่ะน้องข้าว พี่มาร์คจะพาน้องข้าวไปดินเนอร์ค่ะ แต่งตัวสวยๆ นะคะ”
ไม่ว่านั่นจะเป็นแค่คำบอกกล่าวหรือจะเป็นคำสั่งเชิงบังคับ ฐิตารีก็หมุนตัวกลับขึ้นห้องเพื่อเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงขาสั้นมาเป็นชุดที่คิดว่าเหมาะสำหรับดินเนอร์คืนนี้
มาร์คอมยิ้มน้อยใหญ่เมื่อร่างเล็กที่เดินอยู่ข้างๆ เบียดเข้ามาเกาะแขนเขาแจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ สายตาหลายคู่เพ่งมองมายังเขาและคู่หมั้นอย่างสนใจ และนั่นก็ทำให้คู่หมั้นสาวน้อยเป็นต้องเดินอายม้วนจนขาแทบขวิด
“จะมองอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้ เราไม่ใช่ตัวประหลาดเสียหน่อย” หญิงสาวบ่น
“ไม่ประหลาดหรอกค่ะ เขามองก็เพราะคิดว่าพี่มาร์คหลอกเด็กมาเดินห้างมากกว่า”
“หืม...” ฐิตารีเงยหน้ามองคู่หมั้นอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างแล้วแสร้งกวาดตาไปทั่วเนื้อตัวของเธอ หญิงสาวก้มลงมองตัวเองตามสายตาของเขาก่อนจะเหมือนนึกได้แล้วมองชุดที่เขาสวมสลับกับชุดเอี๊ยมกระโปรงของเธอ “โฮ...ข้าวไม่มีชุดสวยๆ หรอกนะคะ เดรสอะไรก็ไม่เคยมี ข้าวชอบแต่งตัวสบายๆ มากกว่าค่ะ”
“พี่มาร์คไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกเหมือนที่คนอื่นมองเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มกระเซ้า ที่จริงฐิตารีสวยและน่ารักอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสวมชุดไหนเธอก็ดูสวยมากในสายตาเขา และเชื่อว่าไม่มีใครไม่เห็นความงามของเธอ มาร์ครู้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครๆ ที่เดินสวนกันไปต่างให้ความสนใจก็เพราะชื่อเสียงของเขา แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากสาวน้อยข้างกายนั่นเอง
ในขณะที่เขาสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนเหนือข้อศอกกับกางเกงแสล็คสีน้ำตาลไหม้ ฐิตารีกลับสวมเอี๊ยมกระโปรงยีนส์กับรองเท้าคัชชูส้นเตี้ย ดูน่ารักสมวัยอยู่หรอกแต่เมื่อเดินเคียงกับเขาแล้วช่างแตกต่างเหมือนคนแก่พาเด็กมาเดินเล่น
“แล้วจะทำยังไงดีคะ หรือจะปล่อยให้เขาคิดว่าพี่มาร์คพาลูกมาเดินเล่นดี ฮิฮิ”
“พี่มาร์คไม่แก่แดดขนาดมีลูกอายุ 19 หรอกนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่มาร์คพาไปเปลี่ยนชุดก่อนดีไหมคะ”
“เอาชุดที่ไหนเปลี่ยนล่ะคะ หรือว่า...โอ๊ะ! ดูนั่นสิคะร้านนั้น ชุดในหุ่นหน้าร้านสวยจังเลยค่ะ”
มาร์คมองตามนิ้วเล็กๆ ที่ชี้ไปยังร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ชุดนั้นสวยเขาเห็นด้วย และถ้ามาอยู่บนร่างสวยๆ มันคงจะสวยกว่าที่เห็นหลายเท่า ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายหนุ่มกระตุกมือเล็กๆ ในอุ้งมือตนเดินดุ่มไปยังร้านเสื้อแห่งนั้น พนักงานขายรีบออกมาต้อนรับ ทว่าไม่ทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นก่อน
“ขอลองชุดนี้หน่อยนะครับ มีตัวใหม่ไหม”
“มีค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานขายรีบค้นหาชุดในแบบที่เขาต้องการ อึดใจต่อมาชุดสวยที่เพิ่งแกะห่อก็ถูกฐิตารีคลี่ออกดู “ห้องลองอยู่ด้านในค่ะ แต่คุณน้องใส่ได้อยู่แล้วค่ะ”
ฐิตารีหันมามองหน้ามาร์ค เขาขยิบตาให้เธอกระตุกยิ้มขึ้นข้างหนึ่งเป็นการบอกให้เธอไปลองชุด และคงจะได้สวมออกไปเลยแน่นอน หญิงสาวเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมายืนหมุนตัวให้เขาดู คนตัวโตยกนิ้วโป้งให้ทันทีที่เห็น ฐิตารีแก้มแดงระเรื่อเมื่อสบสายตาโลมเล้าพราวระยับคู่นั้น สายตาแบบนี้ที่ทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องมาครั้งหนึ่งแล้ว
“สวยมากค่ะ” เขาบอกแล้วประเมินว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรองเท้า เพราะชุดเดรสสีหวานน่ารักชุดนี้เข้าได้กับคัชชูคู่ที่เธอสวม เขาควักเงินจ่ายแล้วพาคู่หมั้นคนสวยเดินออกมาทันที
ฐิตารีสวยเกินไปอีกแล้ว เขาเกิดความต้องการขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อยากจูบอยากกอดเธอเสียกลางห้างแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ท่องไว้ว่าอดทนๆ ทนจนกว่าจะทนไม่ไหว
