บทที่5.ต้องให้พูดกี่ครั้งว่าฉันไม่ได้มาขายตัวใช้หนี้
รินรดาเดินวนไปวนมาในห้องพักขนาดเล็ก มือเรียวสั่นระริกขณะพยายามกดโทรศัพท์ต่อสายคนต้นเรื่อง นานหลายนาทีที่คำภาวนาของเธอเป็นผล คุณวิทยารับสายจนได้
“คุณพ่อคะนี่มันเรื่องอะไรกัน”
“เอ่อ...รินเจอคุณพิชญะแล้วใช่ไหม”
“คุณพ่อรู้อยู่แล้วใช่ไหมคะว่ารินต้องเจอเรื่องอะไร”
“เพื่อบริษัทของเรานะลูก”
“คุณพ่อ! มันไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอคะ ทำไมส่งรินมาทำอะไรแบบนี้”
ปลายสายอึกอักไปแล้วตามมาด้วยเสียงขลุกขลักไม่กี่นาทีต่อมาก็เป็นเสียงคุณแพรวา รินรดาแทบกลั้นหายใจเพื่อฟังปลายสาย
“มันจำเป็นนะรินรดา”
“จำเป็นยังไงคะ” รินรดาน้ำตาคลออย่างไม่รู้ตัว “เรามีบ้าน มีรถ มีบริษัท เรากู้ธนาคารหรือไม่ก็ไฟแนลก็ได้นี่ค่ะ”
“ไอ้ที่พูดมาพ่อเขาเอาเข้าแบงค์ไปหมดแล้วล่ะ”
“ทำไมรินไม่รู้เรื่องเลยละคะ” หญิงสาวหน้าซีดสองขาแทบไร้เรี่ยวแรง ร่างบางทรุดลงนั่งปลายเตียง
“เธอจะไปรู้อะไร” คุณแพรวาแสร้งทำน้ำเสียงเบื่อหน่าย “คุณพ่อเครียดเรื่องเงินในบ้านไม่พอใช้มาหลายเดือนแล้ว ไหนจะต้องดูแลพนักงานในบริษัทอีก ท่านไม่อยากให้เธอคิดมากเลยปิดเรื่องนี้”
“ถึงบริษัทจะมีปัญหาเรื่องเงินยังไงก็ไม่...ไม่ควรให้รินมาอยู่ที่นี่ในฐานะ...”
หญิงสาวเสียงแผ่วลงไป เธอนึกถึงคำพูดของพิชญะที่เขาต้องการ ‘ลูกสาว’ ของคุณวิทยา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เธอ และคงไม่มีพ่อคนไหนส่งลูกตัวเองมาเป็นของขัดดอกอย่างนี้หรอก มันยิ่งตอกย้ำว่าเธอไม่ใช่ลูก ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ครอบครัวนี้ก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นลูก
“เธอจะไม่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นเลยเหรอรินรดา” คุณแพรวาขึ้นเสียงไม่พอใจ “เธอไม่ต้องคิดว่าพ่อแม่อย่างฉันจะเป็นอยู่ยังไงหรอกนะ เธอคนเดียวกับพนักงานอีกนับสิบที่ตกงาน ลองคิดถึงยัยปานชีวาตกงานตอนอายุสี่สิบซิจะเป็นยังไง ไหนจะลูกเต้าที่ยังเรียนไม่จบอีก”
“คุณแม่คะ” รินรดากลั้นเสียงสะอื้น ปล่อยน้ำตาไหลอย่างสุดจะทนกลั้น
“ฉันเลี้ยงเธอมากี่ปีแล้วรินรดา กี่ปีที่เธอมาอยู่ในครอบครัวเรา แล้วเธอจะตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เราเลี้ยงดูเธอมาไม่ได้เลยหรือไง”
รู้สึกเหมือนมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน เธอกำลังโดดเดี่ยวซึ่งมันคงเป็นเช่นนี้มานานแล้ว หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างยอมรับชะตากรรม
“แสดงว่ารินต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะใช้หนี้เขาหมดใช่ไหมคะ”
คุณแพรวาถอนหายใจ “ใช่ แต่คิดในแง่ดี ถ้าระหว่างนี้คุณพ่อทำแผนฟื้นฟูกิจการได้ธนาคารยอมปล่อยกู้เพิ่ม เรามีเงินใช้หนี้คุณพิชญะ ทุกอย่างมันก็จบเรื่องแล้ว”
‘มันจะจบง่ายอย่างที่คุณแม่พูดนะเหรอ?’ รินรดารำพึงกับตัวเองราวกับหมดสิ้นหนทาง “ค่ะ รินทราบแล้ว รินจะอยู่ที่นี่และจะพยายามหาทางใช้หนี้สิบล้านให้หมดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ทำถูกแล้วละรินรดา”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดฝากฝั่งเรื่องบริษัท ทางคุณแพรวาก็ตัดสายทิ้งไปเสียก่อน หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนแล้วร้องไห้ แม้จะพยายามบอกให้ตัวเองตั้งสติและสงบใจ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอรินไหล พวกเขาเห็นเธอเป็นลูกก็เมื่อเธอมีค่าส่งตัวมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน มาติกาไม่ต้องมาลำบากเช่นที่เธอเป็นอยู่ และที่สำคัญเธอก็ไม่รู้ว่าพิชญะต้องการ ‘ลูกสาว’ ของคุณวิทยามาเพื่อสิ่งใด เขาเข้าใจผิดคิดว่าต้องได้ตัวมาติกามาในครอบครองแต่กลับเป็นคนหน้าตาเฉยๆ อย่างเธอเสียนี่ ท่าทางเขาหัวเสียไม่น้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาวางแผนร้ายกาจอะไรอยู่ในใจ
ตั้งสติ!รินรดา!ตั้งสติ!
หญิงสาวผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วมองหาไปที่ตู้เสื้อผ้า เธอเดินมาเปิดตู้แล้วส่องกระจกดูสภาพตัวเองที่ใบหน้าเปรอะน้ำตา ไม่ได้นะ อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น เธอต้องเชิดหน้าสู้กับปัญหาไม่ใช่จะมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ ร่างบางมองไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองแล้วเปิดออกหยิบอุปกรณ์อาบน้ำ แล้วเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการชำระล้างร่างกาย เธอนั่งรถทัวร์สิบกว่าชั่วโมงรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปหมด
พิชญะยกกาแฟดำขึ้นดื่มอย่างหงุดหงิด ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกคนหน้าตาซื่อๆ อย่างวิทยาหลอกเข้าจนได้ เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าบ้านเพชรประกายมีลูกสาวสองคน เพราะเขาเห็นแต่ข่าวหญิงสาวอีกคนในหนังสือพิมพ์หน้าสังคมเสียส่วนใหญ่ รูปที่เขามีในสมาร์ทโฟนก็เป็นรูปคู่หญิงสาวสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็อยู่บนห้องพักที่เขาให้คนรับใช้จัดให้ ในใจลึกๆ เขาก็ไม่ได้ ‘อยากได้’ ผู้หญิงคนนั้นมากมายอะไร แค่อยากสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ ให้มาอยู่ในสวนในไร่ทรมานเล่นๆ แต่พอเห็นแบบนี้เขาทั้งหงุดหงิดและอยากเอาคืน โทษฐานที่กล้าหลอกลวงเขา
สิบล้าน เงินแค่สิบล้านไม่ได้มากมายอะไรสำหรับคนอย่างพิชญะ ฉายฉาน แต่เขารู้สึกยอมไม่ได้ที่ถูกหลอกแบบนี้ แล้วใบหน้าเข้มก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมด เอาเถอะ! ถึงจะไม่ใช่คนที่เขาหมายตาไว้แต่ดูๆ แล้วก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรนัก อย่างน้อยเขาก็มีอะไรให้เล่นสนุกระหว่างอยู่ในไร่ฉายฉาน เมื่อคิดได้แผนการได้ร่างหนาก็ไม่รอช้าที่จะเดินขึ้นบันไดมาเคาะประตูห้องรับแขกซึ่งอยู่ใกล้กับห้องนอนของเขา มือหยาบกร้านเคาะไปที่บานประตูสามสี่ครั้งยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากเรียกคนข้างใน บานประตูก็เปิดออกเสียก่อน
รินรดาผงะไปเล็กน้อยแต่ยังตั้งสติได้ เธอยืนประจันหน้ากับคนตัวโตเหมือนยักษ์ หนวดเครารุงรังและหน้าตาดุดัน สายตาของเขามองอย่างสำรวจซึ่งก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัว ก็แน่ละ เธอไม่ได้เตรียมตัวมาเจอเรื่องราวเลวร้ายอย่างนี้ เธอมีเสื้อผ้าแค่สองสามชุด ชุดลำลองที่มีก็คือเสื้อคอระบายกับกางผ้าสีครีม อีกชุดก็เป็นเดรสยาวคลุมเข่าเผื่อใส่กลางคืนเท่านั้นเอง ผมยาวที่รวบไว้ก็สละล้างฝุ่นดินแดงแต่ไม่มีไดร์เป่าผมทำให้ผมเธอดูเป็นลอนน้อยๆ ยาวถึงกลางหลัง
พิชญะแอบพอใจกับใบหน้าอ่อนหวานไร้เครื่องสำอางของคนตรงหน้า เมื่อยืนใกล้กันทำให้เธอดูตัวเล็กกว่าที่คิดมาก เขาเดินเข้ามาโดยไม่ต้องขออนุญาตคนที่อยู่ข้างในแล้วปิดประตูและด้วยความเคยชินเผลอกดปุ่มล็อกทันที เสียงกริ๊กทำให้หญิงสาวสะดุ้งแล้วถอยห่างไปอีกสองก้าว แต่กระนั้นเธอก็ยังยืนกอดอกเชิดหน้าไม่หลบสายตา
“ท่าทางจะทำใจได้แล้วนี่”
น้ำเสียงเยาะเย้ยพูดปนหัวเราะในลำคอ สายตาเขาจับจ้องใบหน้าหญิงสาวแล้วรู้สึกอยากเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มออกให้ เขายื่นมือไปแตะแก้มเนียนแผ่วเบา ทว่าหญิงสาวกลับปัดมือเขาออกอย่างไม่ไยดี กริยาชวนขัดใจของเธอทำให้คนขี้โมโหหงุดหงิด เขาคว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงกระตุกไม่แรงนักแต่ร่างเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซถลาปะทะกับแผงอกกว้าง กลิ่นกายแบบผู้ชายทำงานในไร่ทำให้รินรดาตัวแข็ง ปกติเธอจะคุ้นกับกลิ่นโคโรจญ์ผู้ชายในออฟฟิศมากกว่า แต่เขามีกลิ่นดิน กลิ่นแสงแดดและกลิ่นต้นไม้ ดวงตาสีดำเบิกกว้างแล้วใช้มือที่ว่างอีกข้างดันอกเขาไว้ แม้เขาจะสวมเชิ้ตเนื้อหนาแต่เธอรู้สึกเหมือนแตะผิวกายของเขาอยู่
การดิ้นรนขัดขืนของเธอเหมือนยั่วยุให้เขาต้องเอาชนะให้ได้ ไม่เคยมีใครขัดใจเขา นิสัยลูกคนเดียวเอาแต่ใจแต่ไหนแต่ไรก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนโต แม้จะเข้าสู่อายุสามสิบต้นๆ เขาก็ไม่ชอบถูกขัดใจ เขาใช้แขนอีกข้างรัดเอวบางให้แนบชิดกับร่างใหญ่ของเขา กลิ่นหอมสะอาดของหญิงสาวทำให้เขาเผลอสูดดมและก้มหน้าลงกดปลายจมูกกับเส้นผมหอมที่ยังเปียกชื้น กลิ่นกายที่แสนเย้ายวนเหมือนดอกไม้ที่ผลิรับแสงแดดทำให้ปลายจมูกของเขาระเรื่อมาถึงแก้มเนียนที่แสนนุ่ม
“หยุดนะ!”
รินรดาร้องเสียงหลง เกิดมาจนอายุยี่สิบสี่เธอไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนล่วงเกินเธอมากมายขนาดนี้ ใบหน้าเปื้อนหนวดเคราทำให้เธอรู้สึกเจ็บระคายเคือง แต่ในขณะเดียวกันร่างกายเธอก็เหมือนจะร้อนระอุอยู่ภายใน ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกอดรัดเธอแน่นมากขึ้นจนเธอแทบหายใจไม่ออก
“คุณทำบ้าอะไร!ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ยนะ!”
พิชญะได้สติก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าสวยที่แดงจัด เขาจ้องมองเธอที่พยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ร้อยทั้งร้อยถ้าเขาเดินหน้าแล้วผู้หญิงก็อ่อนระทวยกันทั้งนั้น แต่กับคนนี้ทำเหมือนรังเกียจเสียเต็มประดา ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งด้วยงุนงงว่าเสน่ห์เกินร้อยที่เคยมั่นใจมันไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้ยอมจำนนต่อเขาได้เลย
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำเรื่องแบบนี้นะ”
“เรื่องแบบนี้?” เขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอไม่เคยเรื่องแบบนี้มาก่อน ก็แน่ละ...พี่สาวเปรี้ยวขนาดนั้นน้องสาวจะเหลืออะไร “ก็รู้ๆ กันอยู่ ถ้าคุณเอาอกเอาใจผมหน่อย หนี้ของคุณก็จะได้หมดลงเร็วๆ ไงล่ะ”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวนะ!” รินรดาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกดูแคลนขนาดนี้
พิชญะแหงนหน้าหัวเราะแล้วยอมปล่อยรินรดาออกจากวงแขน “อย่ามาทำไร้เดียงสาหน่อยเลย ไอ้ที่พ่อเธอส่งเธอมาให้ฉันก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าส่งมาทำอะไร”
รินรดาเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง เธอโกรธจนตัวสั่นแต่ก็ยังเชิดหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่มีความหวาดกลัว
“คุณจะคิดอะไรมันก็เรื่องของคุณ” ดวงตาสีนิลจ้องมองเขาอย่างไม่หลบตา “ฉันมาที่นี่เพื่อทำงานใช้หนี้ ไม่ได้มาขายตัวให้คนใจทรามอย่างคุณ”
ชายหนุ่มมองท่าทางเด็ดเดี่ยวเอาจริงของคนตรงหน้าแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาหัวเราะจนท้องแข็ง “คุณเป็นหนี้ผมสิบล้านนะ ไม่ใช่สิบบาท”
“จะหนี้สิบบาทหรือสิบล้านฉันก็จะทำงานใช้หนี้ให้คุณ แต่จะไม่ยอมให้คุณมาย่ำยีศักดิ์ศรีของฉันเด็ดขาด!”
พิชญะพยายามกลั้นหัวเราะ เขาเสยผมแล้วทำเป็นพยักหน้ารับ “เอางั้นก็ได้ ถ้าคุณทำงานผมก็จะให้คุณได้ทำงานใช้หนี้ แต่ค่าแรงของคุณอยู่ที่ความพอใจของผม ผมจะหักหนี้ให้คุณเท่าไหร่มันขึ้นอยู่กับผลการทำงานของคุณ”
“ค่ะ” รินรดารับคำเสียงแข็ง
ชายหนุ่มยื่นหน้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบสัมผัสกัน “แต่ถ้าคุณอยากปลดหนี้เร็วๆ ก็แค่เปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้าผม เป็นนางบำเรอให้ผมซึ่งผมว่ามันน่าจะคุ้มกว่าแถมมีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่ายมากกว่านะ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะทำงานให้คุณ”
“ก็ได้” เขายิ้มเหี้ยมที่มุมปากแล้วมองร่างบางอย่างสะใจ “เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่มีความเมตตา มาถึงวันแรกผมให้ทำงานโรงครัวก่อนก็แล้ว”
“โรงครัว?”
“ใช่” พิชญะพยักหน้ารับ “ที่นี่มีคนงานในไร่อยู่ประมาณสามสิบคน เราทำอาหารให้กินรวมกัน วันแรกคุณไปช่วยงานป้าน้อยในครัวก่อนแล้ว”
รินรดาถอนหายใจอย่างโล่งอก ‘งานในครัว’ ยังไงก็ยังดีกว่า ‘งานบนเตียง’ ถึงจะถูกคนในครอบครัวผลักไสให้ต้องมาอยู่ไกลถึงเพียงนี้ แต่อย่างน้อยเธอต้องเหลือศักดิ์ศรีให้ตัวเองได้เหลือความเป็นคนอยู่บ้าง ท่าทางผ่อนคลายของหญิงสาวกลับทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด เขาใช้ให้ไปทำงานในครัวกลับทำหน้าพอใจกว่าทำงานสบายๆ ดูแลเขาในบ้าน ผู้ที่ผ่านเข้ามาก็ล้วนเอาตัวมาเสนอให้เขาสนองทั้งนั้น
“ฉันเริ่มงานเลยได้ใช่ไหมคะ” รินรดาเงยหน้าถามเขา “โรงครัวไปทาง...อุ๊บ!”
ริมฝีปากสวยถูกฉกจูบอย่างรวดเร็ว มือใหญ่บีบคางมนไม่ให้หันหนีหลบจูบร้อนที่เขามอบให้ เพราะเธอเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาละเลงลิ้นกับเรียวลิ้นเธอได้อย่างง่ายดาย เขาดันร่างบางถอยหลังจนเธอชนกับขอบเตียง เขากดร่างเล็กลงบนที่นอนแล้วตามไปทาบทับอย่างรวดเร็ว มือเล็กยังพยายามผลักไสแต่เขาก็ยังปรนเปรอเธอด้วยจูบร้อนของตนเอง รินรดาเอียงหน้าหลบริมฝีปากเขาได้แต่เขาก็ยังจูบแก้มเนียนของเธอเหมือนหิวกระหาย หญิงสาวร้องห้ามและผลักหน้าเขาออกแต่เมื่อไม่เป็นผล เธอก็ยกฝ่ามือฟาดไปที่ซีกหน้าของเขาเต็มแรง
เพี้ยะ!
พิชญะหยุดการกระทำของตัวเองแล้วมองหญิงสาวที่จ้องตาเขาอย่างไม่หวาดกลัวว่าจะถูกลงทัณฑ์อย่างไร
“ต้องให้ฉันพูดกี่ครั้งว่าฉันไม่ได้มาขายตัวใช้หนี้!”
“ผมแค่อยากช่วยปลดหนี้คุณเร็วๆ” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วมองหญิงสาวด้วยสายตาดูถูกอีกฝ่ายราวกับเป็นสินค้าไร้ราคา “เอาละ คนอย่างผมไม่ขาดแคลนผู้หญิง”
“มั่นใจในตัวเองเหลือเกินนะคะ” รินรดาลุกขึ้นจากที่นอนแล้วทำเป็นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ทั้งที่ตัวเองก็ทั้งสั่นทั้งกลัว
“แน่นอน...” เขาเชยคางขึ้นแล้วยิ้มเหี้ยม “ผมไม่เคยขืนใจผู้หญิง ผมจะไม่ล่วงเกินคุณจนกว่าคุณจะเป็นฝ่ายขอร้องอ้อนวอนผมเอง”
“คุณสบายใจได้” รินรดาสบตาเขาอย่างท้าทาย “เพราะฉันจะไม่อ้อนวอนคุณด้วยเรื่องพรรค์นี้เด็ดขาด”
“แล้วผมจะรอดู”
เขาปล่อยมือจากคางมนแล้วเดินนำหน้า “ไปซิได้เวลาทำมื้อเที่ยงแล้ว คนงานผมไม่ได้กินข้าวเที่ยงตรงเวลา ผมจะบวกหนี้คุณเพิ่มขึ้นอีก”
รินรดาเม้มปากแน่นข่มความโกรธ เธอไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนใจทรามอย่างเขา แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทำเพื่อชดใช้หนี้สินที่เธอไม่ได้ก่อ ร่างบางได้แต่ก้าวเท้าเร็วๆ ตามร่างสูงออกจากบ้านหลังน้อยกลางหุบที่แสนสงบและเยือกเย็น.
