บทที่4. ไร่ฉายฉาน
รินรดาละล้าละลังอยู่บริเวณบขส.ขนาดเล็กของอำเภอหนึ่ง เธอดูนาฬิกาที่ข้อมือหลายครั้งสลับกับหยิบโทรศัพท์มือถือมาคอยเช็คดูว่าเครื่องดับหรือเปล่า เธอลงรถทัวร์ตั้งแต่เช้ามืดจนตอนนี้จะแปดโมงเข้าไปแล้ว ยังไม่เห็นมีใครมารับเธอตามที่นัดหมายไว้ ถึงจะชอบบรรยากาศชนบทแต่การนั่งรออยู่เกือบสองชั่วโมงแบบนี้ไม่ได้ทำให้เธอซาบซึ้งกับความสดใสตรงหน้า
กระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับสามวัน โน้ตบุ๊กที่เซฟงานสำหรับติดต่อลูกค้า หญิงสาวถอนหายใจเมื่อมองไปที่ข้าวของที่ตัวเองหอบมาจากกรุงเทพฯ นั่งรถทัวร์มาสิบชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เมื่อสี่หรือห้าวันก่อนเธอได้รับมอบหมายจากคุณวิทยาให้มาเสนองานให้ลูกค้าที่จังหวัดศรีสะเกษ
“ลูกค้าสนใจส่งสินค้าออกต่างประเทศพร้อมทำสัญญากับสามปี แต่มีคนมาเสนอหลายเจ้าอยู่เหมือนกัน รินไปคุยกับลูกค้าให้เขาเซ็นสัญญากับเราให้ได้นะ บริษัทเราจะได้มีเงินมาหมุนจ่ายให้พนักงาน รินก็รู้ว่าช่วงนี้เราขาดสภาพคล่องอยู่มากทีเดียว”
เหตุผลของคุณวิทยาเป็นเรื่องที่เธอรับได้และเคยทำมาก่อน แต่เธอไม่เคยเดินทางมาไกลขนาดนี้และ...จะเรียกให้ถูกคือกันดารเสียจนเธอคิดว่า ตัวเองอาจจะขึ้นรถผิดก็ได้ คุณวิทยาไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนักบอกแค่ให้เธอมาพบลูกค้าที่นี่ เมื่อมาถึงจะมีคนมารับเอง แต่นี่...เงียบจนเธอกังวล พยายามโทรหาคนที่จะมารับหลายครั้งที่ไม่มีคนรับสาย
“เอาไงดีหนอรินรดา ไม่มีที่อยู่ลูกค้าเสียด้วย หรือต้องรอให้สักเก้าโมงครึ่งโทรหาพี่ปานค้นที่อยู่หรือเบอร์ติดต่อให้ใหม่”
หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง เริ่มจะรู้สึกหิวแล้วไง กลิ่นข้าวเหนียวหมูปิ้งลอยมาเตะจมูกนานแล้ว เธอไม่เห็นวี่แววคนจะมารับเสียที ไม่อยากทนรอหิ้วท้องหิวๆ แบบนี้ ร่างเล็กเดินไปที่รถเข็นไม่ไกลนักแล้วโดยทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ที่เก้าอี้นั่งรอรถ
“หมูปิ้งสี่ไม้ ข้าวเหนียวห่อนึงค่ะ”
“มาจากกรุงเทพเหรอแม่หนู” คนขายหมูปิ้งถามด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ” ไม่อยากจะพูดอะไรมาก กลัวน้ำลายในปากจะไหลย้อยออกมาเพราะความหิว
“รอคนมารับอยู่เหรอจ๊ะ”
“ค่ะ” เธอรับถุงหมูปิ้งแล้วยื่นธนบัตรสีแดงส่งให้
“แล้วจะไปที่ไหนละหนู” คนขายส่งเงินทอนให้
“ไร่ฉายฉานค่ะ”
“อ้อ! ไร่ฉายฉานของคุณเพลิง”
“คุณเพลิง?” รินรดาขมวดคิ้วด้วยสงสัย
“ใช่ๆ คุณเพลิงเป็นเจ้าของไร่ฉายฉาน มีที่ดินเป็นร้อยๆ ไร่เลยล่ะ”
“มีโรงงานน้ำตาลด้วย” เสียงลุงขับสามล้อผสมโรงขึ้นมาด้วย
“แกมีโรงแรมด้วยนะ โรงแรมริมแม่น้ำด้วย”
“ใช่เหรอ เขาว่าแกมีรีสอร์ทที่ลาวด้วยนะ”
รินรดาอ้าปากค้าง เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองมาพบคนดังในอำเภอเข้าให้แล้ว หญิงสาวหมุนตัวเดินออกมาทิ้งเสียงสนทนาถึงคุณเพลิงไว้ด้านหลัง ด้วยความหิวจึงหยิบหมูปิ้งขึ้นมากัดกินตามด้วยข้าวเหนียว แล้วสายตาเธอก็มองเห็นรถกระบะสีน้ำเงินเข้มปาดเข้ามาจอดใกล้ๆ ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ก้าวลงมายืนเหลียวซ้ายแลขวา เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงยีนเข่าขาด ผมยาวมัดเป็นหางเล็กๆ ที่ท้ายทอยและหนวดเคราที่รุงรังเหมือนลิงตัวใหญ่ยักษ์ หญิงสาวกลั้นเสียงหัวเราะกับความคิดตัวเองแล้วเดินเร็วๆ ไปที่กระเป๋าตัวเอง
“คุณมาจากไร่ฉายฉานหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่มองตามเสียงหวานที่ทักจากด้านหลัง เขาพยักหน้าและขมวดคิ้วราวกับไม่แน่ใจว่าคนๆ นี้คือคนที่เขาต้องมารับ หรือจะเรียกให้ถูกต้องให้ลูกน้องมารับแต่เมื่อคืนพวกมันจัดหนักเพราะถูกหวยสองตัวเข้าไป ไม่มีใครลุกขึ้นไหวเพราะฤทธิ์เหล้าต้มดีกรีแรงได้ เขาเองก็ยังไม่ได้นอนเต็มตื่นด้วยซ้ำแต่เมื่อนึกได้ก็รีบขับรถออกมาทันที เขาจ้องมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หญิงสาวร่างเล็กกะทัดรัด สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทแบบผู้หญิงสีดำและกางเกงผ้าสีเดียวกับสูทตัวนอก เค้าโครงหน้าดูสวย แต่ไม่แต่งหน้าเลยดูซีดเซียวหรือไม่ก็เพราะเพิ่งลงมาจากรถทัวร์
“เอ่อ...ฉันชื่อรินรดาตัวแทนบริษัทเพชรประกายค่ะ” รินรดายิ้มเขินที่ตัวเองกำลังยืนกินหมูปิ้งอยู่
“รินรดา?” ชายหนุ่มทวนชื่อที่ได้ยิน จริงๆ เขาแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนที่มาชื่ออะไร “ลูกสาวคุณวิทยานะเหรอ”
“ใช่ค่ะ” รินรดาตอบอย่างรวดเร็วแล้วก้มลงถือกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเอง ส่วนกระเป๋าโน้ตบุ๊กนั้นเธอคล้องมันที่ไหล่ซ้ายอยู่นานจนตัวแทบจะเอียงอยู่แล้ว
“ขึ้นรถ”
ชายหนุ่มพยักเพยิดให้หญิงสาวเดินตามมาที่รถโดยไม่น้ำใจจะช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทาง รินรดาทำได้แต่วิ่งตามเขา ที่ข้างรถมีสติกเกอร์ขนาดใหญ่ติดโลโก้ไร่ฉายฉานทำให้เธอมั่นใจว่าเขาคือคนที่จะมารับเธอ เธอเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นท้ายรถอย่างลำบาก มีกระสอบปุ๋ยอยู่หลายกระสอบด้านหลัง หญิงสาวไม่มีเวลาจัดให้กระเป๋าตัวเองเข้าทีก็ต้องรีบปีนขึ้นรถนั่งด้านหน้าข้างคนขับที่สตาร์ทรถเหมือนพร้อมจะไปเต็มที่ เพียงเธอปิดประตูรถ ชายหนุ่มก็พารถพุ่งออกไปทันที รินรดาแทบจะหน้าทิ่มแต่ยังพอจะใช้มือยันหน้ารถได้ทัน เธอหันไปอยากจะต่อว่าแต่พอเห็นเสี้ยวหน้าดุดันของคนขับรถก็ทำให้เธอหุบปากลงทันทีตามประสาคนไม่ค่อยมีปากมีเสียง เขาไม่ถามอะไรเธออีก รินรดาเลยนั่งกินหมูปิ้งในรถต่อไปเงียบๆ
‘ไปอดยากมาจากไหน’
เพราะสวมแว่นตากันแดดอันใหญ่ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาชำเลืองมองอยู่ ชายหนุ่มกว่าจะได้เจอหน้าสวยๆ หุ่นดินระเบิดแบบที่เคยเห็นในเฟซบุ๊คเสียอีก นี่อะไรกัน? เด็กกะโปโลคนนี้เป็นใครกัน? คุณวิทยาต้องเล่นตลกอะไรแน่ๆ เขาบอกให้ส่ง ‘ลูกสาว’ ไม่ใช่ ‘คนรับใช้’ มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันแบบนี้ แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอขึ้นมา เธอตอบได้รวดเร็วแบบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำแต่พ่อแบบไหนกันเล่าที่ยอมขายลูกกินล่ะ? นี่ต้องมีแผนการอะไรแน่ๆ แต่ตอนที่เขาถามว่าเธอเป็นลูกสาวคุณวิทยาหรือเปล่า ลองดูก่อนละกันว่าจะมาไม้ไหน
รถกระบะขับกระชากตามอารมณ์ของคนขับโดยไม่สนใจว่าอีกคนกำลังกินข้าวเช้าอยู่ด้วย รินรดาสะอึกทันทีที่ข้าวเหนียวคำสุดท้ายลงคอ เธอมองซ้ายมองขวาหาน้ำดื่ม เธอเหลียวมองไปด้านหลังเพราะน้ำขวดเล็กของเธออยู่ในกระเป๋าเดินทาง อาการสะอึกของเธอเรียกสายตาของคนขับรถหน้าโหด
“มีน้ำอยู่เบาะหลัง เอื้อมไปหยิบซิ”
“ค่ะ”
รินรดาเอี้ยวตัวไปที่เบาะด้านหลังแต่ขยับตัวไม่ถนัดเพราะติดเข็มขัดนิรภัย เธอจึงปลดมันออกแล้วขยับตัวข้ามเกียร์ไปหยิบขวดน้ำดื่ม เป็นจังหวะเดียวกับมีมอเตอร์ไซค์ออกมากจากซอยแล้วปาดหน้ารถกระบะกะทันหันทำให้ชายหนุ่มต้องหักพวกมาลัยรถหลบ ร่างเล็กที่กำลังเอื้อมไปหยิบขวดน้ำถึงกับเสียหลักกลิ้งไปอยู่ที่เบาะด้านหลังรถ โชคดีที่เป็นรถกระบะสองตอนที่ตอนหลังค่อนข้างกว้างทำให้เธอไม่ไปกระแทกกับกระจกรถ
“ขับรถดีๆ หน่อยสิคุณ”
“บอกผมทำไม บอกไอ้มอ’ไซค์คันนั้นซิ” เขาบุ้ยปากเมื่อแซงมอเตอร์ไซค์เจ้าปัญหาที่มีหนุ่มวัยรุ่นเป็นคนขับ “ขับรถเหมือนเมายาดอง”
“เช้าแบบนี้ใครจะเมายาดองเหล้าได้” รินรดาบ่นอุบอิบแล้วเปิดขวดน้ำและเพราะไม่มีหลอดสำหรับดูดน้ำเธอเลยต้องยกดื่ม ชายหนุ่มมองจากกระจกส่องหลังแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก แสร้งทำเป็นเบรกรถกะทันหันทำให้หญิงสาวสำลักน้ำจนเสื้อของเธอเปียก
“นี่คุณ! คราวนี้อะไรอีกละ”
“ตัวแลนมันวิ่งตัดหน้ารถนะ คุณจะให้ขับรถทับมันเลยหรือไง” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ นี่ไงละนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจตัวเอง “รู้จักไหมตัวแลน”
รินรดาได้แต่ถอนหายใจหนักๆ เธอเตรียมตัวและข้อมูลมารับศึกหนักทางการค้าแต่เจอคนขับรถกวนประสาทก็หัวเสียเหมือนกัน
“เอ้า! เสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่เดิมซิคุณ ผมไม่ใช่คนขับรถให้คุณนะ”
หญิงสาวเม้มปากอยากจะต่อปากต่อคำด้วยแต่นึกถึงเรื่องงานที่รออยู่ เก็บแรงไว้เจรจากับลูกค้าจะดีกว่า ไม่น่าจะใช้เวลานานเกินหนึ่งวันด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ตกลงคุยงานกันรู้ผล เธออาจจะได้กลับกรุงเทพฯ ด้วยรถเที่ยวสุดท้าย เสื้อผ้าที่เตรียมมาเผื่อจำเป็นแค่สองสามชุด รถกระบะขับออกห่างจากบขส.ราวๆ ยี่สิบกิโลเมตรก็เข้าสู่ถนนขรุขระ รถผ่านหมู่บ้านเล็กๆ สามหรือสี่หมู่บ้านแต่อยู่รอบภูเขาที่เต็มไปด้วยไร่อ้อยและมันสำปะหลัง ทางเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ และยอดไม้ก็สูงท่วมศีรษะ หญิงสาวนึกถึงข่าวอาชญากรรมที่เคยได้ยิน ฆ่าหมกไร่อ้อยมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ป้ายไม้สลักชื่อไร่ฉายฉานเด่นเป็นสง่าทำให้หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้น คนหนุ่มขับรถเลี้ยวเข้าไปตามทางเส้นเล็กๆ ไม่นานนักก็มองเห็นบ้านหลังย่อมบนเนินดิน รินรดาเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวช่างเป็นไม้สองชั้นที่ปลูกได้สวยงามเข้ากับพื้นที่เหลือเกิน ถัดจากโรงรถมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นและมีซุ้มน่านั่งจิบกาแฟ ถ้าเธอมีบ้านแบบนี้คงไม่อยากออกไปไหน แม้จะอยู่ห่างไกลความเจริญแต่เธอคงสุขใจในบ้านหลังเล็กน่ารักมากกว่าหลังใหญ่ที่ขาดแคลนคนห่วงใย
รถกระบะจอดนิ่งสนิทแล้ว รินรดาจึงก้าวลงมายืนมองบ้านหลังน้อยเต็มตา แต่เสียงเข้มๆ ของชายหนุ่มตะโกนสั่งลูกน้องให้มาหิ้วกระเป๋าเดินทางของเธอเข้าไปไว้ในบ้าน
“เอารถไปแล้วยกปุ๋ยลงให้หมดด้วย”
“ครับนาย”
รินรดาเหลือบมองชายหนุ่มที่ออกคำสั่งกับลูกจ้างคนอื่นๆ ‘ท่าทางเหมือนหัวหน้าคนงาน’ เธอบอกกับตัวเองแล้วเดินตามแผ่นหลังของเขาเข้ามาในบ้านหลังเล็กที่ใช้เป็นบ้านพักและออฟฟิศไปในตัว
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้น ทำธุระเสร็จแล้วค่อยมาคุยกัน”
“ค่ะ” รินรดารับคำทั้งที่หน้าตึง ไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะนี่ไม่ใช่บ้านเธอ
พิชญะ ฉายฉาน เดินเข้ามาในห้องทำงานของตน ชายหนุ่มวันไล่เลี่ยกันแต่รูปร่างอ้วนกลมเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้วส่งยิ้มให้
“ไปรับหลักทรัพย์ค้ำประกันมาแล้วเหรอครับคุณเพลิง”
“เออ! เสียเวลาไปรับจริงๆ” พิชญะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้บุนวมอย่างดี
“อ้าว! เกิดอะไรขึ้น” โกศลถามอย่างแปลกใจ เขานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานของพิชญะ ติดพันการซื้อขายหุ้นอยู่ซึ่งเรื่องนี้พิชญะเข้าใจดี
“โดยหลอกแล้วละมั้ง? บอกให้ส่งลูกสาวมาให้แต่ดันส่งเด็กรับใช้มาแทน”
“ห๋า! คนอย่างวิทยาจะกล้าทำหรือครับ รายนั้นดูหน้าตานิ่งๆ ขี้กลัวจะตาย จะกล้าแหย่หนวดเสืออย่างคุณเพลิงเรอะ!”
“กล้าไม่กล้ามันก็แหย่มาแล้วล่ะ”
เสียงเคาะประตูขออนุญาตดังขึ้นสองสามครั้ง โกศลมองหน้าเจ้านายที่อายุน้อยกว่าเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเขาก็ส่งเสียงขานรับออกไป ร่างเล็กจึงก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส รินรดายกมือไหว้โกศลแต่มองพ่อคนขับรถเร็วด้วยหางตา
“ผมคิดว่าคุณวิทยาคงแจ้งแล้วว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง” โกศลเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ จัดการส่งคำสั่งซื้อหุ้นไปแล้วก็เงยหน้ามองหญิงสาวเต็มตาอีกครั้ง โกศลเคยเจอวิทยาสามหรือสี่ครั้งจำหน้าได้ แต่หญิงสาวตรงหน้าไม่ค่อยมีเค้าโครงหน้าวิทยาสักเท่าไหร่ หรือเธอจะเหมือนแม่ดูใบหน้าไร้เครื่องสำอางอ่อนหวาน รูปร่างเล็กบอบบางน่าเอ็นดู จะว่าไปเขาก็ชอบผู้หญิงน่ารักๆ ใสๆ แบบนี้เหมือนกัน
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อรินรดา เพชรประกายค่ะ” รินรดาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“เป็นลูกสาวของคุณวิทยาจริงๆ เหรอ” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไร้มารยาท เขาไม่ยอมถอนแว่นกันแดดออกแม้จะอยู่ในห้องแล้วก็ตาม
“ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นลูกสาวคนเล็กค่ะ พี่สาวชื่อมาติกาค่ะ”
ได้ยินเพียงเท่านั้นพิชญะถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินวนรอบตัวหญิงสาวราวกับจะพิจารณาดูสินค้าที่ตนเองจ่ายเงินไป แล้วจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าหวาน เพ่งพินิจว่าเธอเคยถ่ายรูปคู่กับมาติกาในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งและได้ลงข่าวหน้าสังคมอยู่บ้าง แน่นอนว่าความสวยต้องยกให้มาติกาแต่ความกะโปโลเหมือนเด็กประถมต้องยกให้เธอ ...รินรดา
“เพราะขี้เหร่แบบนี้ก็เลยยกให้มาใช้หนี้ละซินะ”
“คุณพูดเรื่องอะไร?” รินรดาขมวดคิ้วด้วยความฉงน “หนี้อะไรคะ”
โกศลลุกจากเก้าอี้แล้วหยิบเอกสารยื่นให้รินรดาอ่าน “เอกสารการกู้ยืมเงินของคุณวิทยาโดยใช้ลูกสาวมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เมื่อครอบครัวของคุณใช้หนี้สิบล้านหมด คุณก็จะเป็นอิสระ”
รินรดารับกระดาษแผ่นนั้นมาดูด้วยความงุนงงและสับสน ไม่จริงใช่ไหม? คนพวกนี้เล่นตลกโกหกให้เธอตกใจเล่น แต่มือเรียวก็สั่นระริกเมื่อเห็นเอกสารที่มีการลงนามและพยานเป็นที่เรียบร้อย นี่...คนที่บ้านนั้นเห็นเธอเป็นลูกเพราะว่าเธอมีค่าใช้หนี้แทนได้แค่นั้นเองหรือ?
“รู้สึกว่ากระเป๋าเสื้อผ้าเธอจะใบเล็กไปหน่อยนะ คงไม่คิดว่าจะอยู่แค่ไม่กี่วันก็ได้กลับหรอกใช่ไหม เงินสิบล้านนะ ไม่ใช่สิบบาท คงไม่มีปัญญาใช้หนี้หมดในสามวันเจ็ดวันหรอก”
“มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ” รินรดาเข่าอ่อนแต่ยังทรงตัวไหว “คุณพ่อส่งฉันมาเพื่อเจรจาธุรกิจ คุณสนใจทำธุรกิจส่งออกใช่ไหม คุณต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ค่ะ”
รินรดาหันไปถามโกศลแต่เขาส่ายหน้า
“เรื่องจริงครับ คุณวิทยาได้ทำการกู้ยืมเงินนอกระบบกับทางเรามาเป็นเวลาปีเศษแล้ว เงินกู้ของเก่ารวมดอกเบี้ยก็ห้าล้านแล้วครับ แล้วคุณวิทยายังมาขอกู้เพิ่มแต่คุณพ่อคุณไม่มีหลักทรัพย์มาค้ำประกันซ้ำเงินเก่าก็ยังไม่ได้คืน เราจึงต้องขอตัวลูกสาวของคุณวิทยามาเป็นหลักทรัพย์แทน”
“เอาล่ะ ดีใจได้เลยนะว่าระหว่างที่พ่อของคุณยังหาเงินมาใช้หนี้ไม่ได้ คุณก็ต้องอยู่ที่นี่ทำงานในไร่ของผมเหมือนคนงานอื่นๆ”
รินรดาหันมามองชายหนุ่มที่ออกคำสั่งเธอ
“คุณเป็นใครกัน ถึงมาสั่งฉันให้ทำโน้นทำนี่!”
“เอ่อ...ท่านผู้นี้คือคุณเพลิง หรือคุณพิชญะ ฉายฉานเจ้าของไร่ฉายฉานและโรงงานน้ำตาลพิชญะที่อยู่ห่างจากนี้ไปอีกตำบลหนึ่งครับ” โกศลแนะนำตัวเจ้านาย
“ส่วนผมชื่อโกศลครับเป็นหัวหน้าคนงานและเลขาของคุณเพลิง ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามผมได้ครับ บ้านพักของผมอยู่ในหมู่บ้านที่คุณผ่านมานั้นแหละ”
“โกศลออกไปดูไร่เถอะ คุมคนงานใส่ปุ๋ยให้เสร็จในวันนี้ด้วย” พิชญะสั่งงานโกศลแล้วหันมายิ้มเหี้ยมให้หญิงสาว “เดี๋ยวผมจะสอนงานคุณหนูคนนี้เอง”
“เอ่อ...ครับผม” โกศลรับคำสั่งแล้วยิ้มให้กำลังใจรินรดาก่อนจะผลักบานประตูออกไป ทิ้งความเงียบและความสับสนให้รินรดาอยู่กับพิชญะสองคน และเมื่อเขาต้องเข้าไปในไร่นั้นหมายความว่ากว่าจะกลับมาอีกทีก็เย็นย่ำเลยทีเดียว
พิชญะถอดแว่นตาออกวางบนโต๊ะทำงานแล้วหันมาเผชิญหน้ากับรินรดาที่ยังมีสีหน้างุนงงอยู่ เขากระตุกยิ้มและคิดดูแคลนเธออยู่ในใจ แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา พ่อของเธอส่งลูกสาวมาผิดคน คนที่เขาต้องการคือมาติกา ผู้หญิงหุ่นเร้าใจน่าขยำคนนั้นต่างหากไม่ใช่ผอมๆ บางๆ เป็นไม้เสียบลูกชิ้นแบบนี้ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณวิทยาอยากลองดีแบบนี้เขาก็จะสนองให้สาแก่ใจ
“คุณนี่สวยสู้พี่สาวไม่ได้เลยนะ” เขาพูดตรงไปตรงมาแล้วยืนหน้ามองใบหน้าหวานใกล้ๆ แอบยอมรับว่าหน้าใสดูเนียนนุ่มน่าสัมผัส แถมยังมีกลิ่นแชมพูอ่อนจางๆ จากเรือนผมของเธออีกด้วย
“คุณคิดจะทำอะไร!”
“นี่แม่หนูน้อย” เขาทำเสียงรำคาญในลำคอ “ผู้หญิงที่ถูกส่งมาขัดดอกเขาทำอะไรกันละจ๊ะ”
“คุณอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ” รินรดาทำเสียงดุใส่ทั้งที่ตัวเองกลัวจนตัวแทบสั่น
“ผมจะทำอะไรก็ได้ คุณเป็นของผมนับตั้งแต่นี้จนกว่าพ่อคุณจะหาเงินมาใช้หนี้ให้ผมจนครบทุกบาททุกสตางค์”
ท่าทางคุกคามของเขาทำให้รินรดาขยับตัวถอยห่างจนหลังชิดประตูห้องอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มยกมือยันด้านหลังไม่ให้หญิงสาวหลบหนีการรับรู้ความจริงนี้ได้อีกแล้ว
“ถ้าอยากช่วยพ่อใช้หนี้ก็ทำตัวเชื่องๆ เป็นเด็กดีและทำตามคำสั่งของผม ถ้าทำให้ผมพอใจผมอาจจะตบรางวัลให้คุณเป็นการตอบแทนก็ได้”
ดวงตาดุดันของเขาฉายแววเอาจริง รินรดาได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อยากบอกตัวเองว่านี่คือฝัน มันเป็นฝันร้ายเท่านั้นแค่เพียงลืมตาเธอจะพบมันว่าไม่ใช่เรื่องจริง
แต่...มันคงไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อมือใหญ่บีบคางเธอให้เชิดหน้าขึ้นและริมฝีปากของเธอก็ถูกฉกจูบอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ และวินาทีต่อมาเธอก็ยกมือขวาตบซีกหน้าเขาเต็มแรงจนใบหน้าเขาสะบัดไป
“มากไปแล้วนะรินรดา” เขาตะคอกแล้วกระชากไหล่สองข้างเธอเขย่าอย่างแรง ไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้มาก่อน ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยสยบแทบเท้าเขาทั้งนั้น
“ฉันจะอยู่ที่นี่ทำงานใช้หนี้ให้คุณ” รินรดาเชิดหน้าอย่างท้าทาย “แต่ไม่มีวันที่ฉันจะยอมเสียศักดิ์ศรีของฉันให้คุณเด็ดขาด!”
พิชญะมองสีหน้าจริงจังของหญิงสาวแล้วเขาก็แหงนหน้าหัวเราะ เพิ่งเจอกันแท้ๆ แต่ช่างกล้าและปากดีจริงๆ
“ก็ได้รินรดา คนอย่างผมก็ไม่เคยต้องใช้กำลังกับผู้หญิงคนไหน ร้อยทั้งร้อยมีแต่อ้อนวอนผมทั้งนั้น คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ” พิชญะจับคางมนแล้วจ้องมองในแววตาคู่สวยของเธอ
“ผมจะทำให้คุณต้องอ้อนวอนขอร้องผม และถึงเวลานั้นผมจะบงการคุณอย่างที่ผมต้องการ”
“ฝันไปเถอะว่าจะมีวันนั้น!”
ดวงตาทั้งสองท้าทายซึ่งกันและกัน พิชญะกับรินรดารู้ดีว่านี่คือการประกาศศึกของคนทั้งสอง มันเป็นเกมร้อนแรงหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำก็อาจถูกเพลิงพิศวาสเผาไหม้ทุรนทุรายตายทั้งเป็น!.
