บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๑ : ทอฝัน (2)

“ปะ...เปล่าจ้ะ น้าอ้อย ฝันร้อนน่ะจ้ะ อากาศร้อนขึ้นทุกวันเลย” คนโกหกยกมือขึ้นพัดโบกใกล้ใบหน้าประกอบคำพูด ปราชญ์มองกระจกหลังแล้วยิ้มน้อยๆ เพราะตอนนี้ในรถของเขาเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่สาวน้อยหน้าหวานคนนี้กลับบ่นว่าอากาศร้อนเสียได้

ปราชญ์เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยมาหมาดๆ ซึ่งในเร็ววันนี้ก็มีกำหนดการต้องเดินทางไปเรียนต่อปัญญาโทประเทศอังกฤษตามที่บิดาต้องการ ตอนแรกปราชญ์ค้านแทบตายเพราะเห็นว่าการศึกษาของประเทศไทยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติอื่น อีกอย่างก็อยากอยู่ดูแลมารดาที่ไม่ค่อยแข็งแรงด้วย แต่ลูกชายคนเดียวที่พ่อแม่คาดหวังที่สุดจะสามารถขัดแย้งอะไรได้ นอกจากตอบตกลงทำตามคำบัญชาทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางขึ้นภายในครอบครัว

ทันทีที่รถยนต์คันหรูราคาหลายล้านจอดเทียบที่หน้ามุข ชายรับรถท่าทางกระตือรือร้นก็รีบตรงมาเปิดประตูให้กับแขกที่นั่งมาในรถของเจ้านาย เมื่ออรชรกับทอฝันลงจากรถแล้ว ชายคนนั้นก็เดินอ้อมไปรับกุญแจจากปราชญ์เพื่อนำรถไปจอดที่โรงจอดรถ สาวใช้ที่ชื่อว่านวลเดินยิ้มหน้าแป้นออกมาต้อนรับ ยกมือกระพุ่มไหว้อรชรอย่างมีมารยาท แล้วยิ้มให้ทอฝัน เพราะเข้าใจว่าเป็นแขกของปราชญ์

“คุณน้าคนนี้พาหลานสาวมาสมัครงานน่ะนวล ช่วยพาไปที่ห้องรับแขกด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปดูคุณแม่แล้วจะลงมาจัดการต่อเอง” ชายหนุ่มบอกกับสาวใช้ แล้วหันมาพยักหน้าให้สองสาว จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในบ้านเพื่อดูอาการมารดาที่นอนป่วยอยู่บนห้อง

“แหม ปล่อยให้ฉันไหว้เสียสวยเชียวนะน้า” นวลแซวแก้เก้อ ยกมือขึ้นเกาหัวแล้วมองค้อนอรชรอย่างไม่จริงจังนัก สองน้าหลานหัวเราะน้อยๆ กับบุคลิกที่ดูน่าขันของสาวใช้ร่างเล็กผอมบางจนแทบปลิวลม ผมซอยสั้นละต้นคอทำให้นวลดูปราดเปรียวในสายตาคนมอง

“ตายจริง! น้าเกือบลืมไปเลย เมื่อกี้ลุงชัยโทรมาบอกว่าป้าสมัยเข้าโรงพยาบาล แกจะกลับมาเอาเสื้อผ้าที่บ้านไปนอนเฝ้าไข้เลยจะให้น้าไปอยู่เป็นเพื่อนป้าสมัยให้ก่อน ฝันกล้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือเปล่า” อรชรเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าลุงข้างบ้านที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเด็ก โทรศัพท์มาไหว้วานไว้ช่วยไปผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้าไข้ภรรยาของแกให้หน่อย

“ยายสมัยเข้าโรงพยาบาลหรือน้าอ้อย! เมื่อเย็นวานฝันยังเห็นแกออกมานั่งเล่นที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านอยู่เลย” ทอฝันเองก็เป็นห่วงเหมือนกัน

“ลุงชัยบอกว่าป้าสมัยเบาหวานขึ้นสูงมากเลยเป็นลม ตอนนี้หมอให้นอนดูอาการจนกว่าเบาหวานจะลด”

“ถ้าอย่างนั้นน้าอ้อยรีบไปดูยายเถอะจ้ะ ฝันอยู่คนเดียวได้สบายมาก แล้วไม่ต้องมารับฝันนะจ้ะ พอเสร็จธุระแล้วฝันจะรีบตามไปที่โรงพยาบาล ฝันเองก็อยากไปเยี่ยมยายเหมือนกัน” สีหน้าของหญิงสาวดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด อรชรยกมือขึ้นลูบต้นแขนเรียวเล็กเบาๆ

“ไม่ต้องกังวลหรอกฝัน ป้าสมัยแกแค่เบาหวานขึ้น ไม่มีอันตรายหรอกจ้ะ”

“แต่ฝันเป็นห่วงนี่นา ถึงยายจะไม่ใช่ยายแท้ๆ ของฝัน แต่ก็เอ็นดูฝันเหมือนลูกเหมือนหลาน”

“ยายแกไม่เป็นไรหรอกน่า แม่พี่ก็ป่วยเป็นเบาหวานเหมือนกัน พอหมอฉีดยาให้เบาหวานลด เดี๋ยวก็กลับบ้านได้เองแหละ แต่ถ้าไม่คุมอาหารนี่สิอันตรายของแท้เลย แม่พี่กินสมุนไพรทุกวันเบาหวานไม่ขึ้นเลยนะ แข็งแรงจนขลุกอยู่ในครัวได้ทั้งวัน เดี๋ยวพี่จะแบ่งให้แล้วกัน จะได้เอาไปต้มให้ยายกินไง” นวลเสริมขึ้นอย่างรอบรู้ แน่นอนว่ามันช่วยให้ทอฝันรู้สึกสบายใจมาก

“ขอบคุณมากจ้ะพี่” หญิงสาวยกมือไหว้นอบน้อม นวลยิ้มกว้างอย่างรู้สึกถูกชะตา แอบภาวนาอยู่ในใจ ขอให้คุณปราชญ์ของเธอเลือกแม่หนูทอฝันคนสวยนี่เข้าทำงานทีเถอะ แต่ถ้าหากผู้เป็นนายหญิงของบ้านเป็นคนเลือกเอง เห็นทีคงยากที่จะได้เข้ามาทำงาน

บุษรา ราชรัชตะ...ไม่ค่อยอยากให้มีเด็กสาวหน้าตาดีเข้ามายุ่มย่ามในบ้านนัก แค่ทุกวันนี้คุณผู้ชายก็มีอีหนูซ่อนไว้มากพอแล้ว มีปราชญ์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่เคยล่วงรู้พฤติกรรมนอกลู่นอกทางของคนเป็นพ่อ บุษราสั่งห้ามคนในบ้านว่าห้ามพูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออก

หลังจากอรชรเดินออกไปแล้ว ทอฝันก็ตามนวลเข้ามาภายในห้องรับแขกที่กว้างขวางและโออ่า ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นดูมีราคาเกินจะคาดเดา แม้กระทั่งโคมไฟหรือกระถางดอกไม้ปลอมที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องก็ดูท่าจะแพงโข หญิงสาวแหงนศีรษะขึ้นมองไฟแชนเดอเลียร์สุดหรูที่ห้อยอยู่บนเพดานด้วยความตื่นตาตื่นใจ พรมที่เหยียบย่ำอยู่ก็นุ่มสบายเท้า อีกทั้งยังมีกลิ่นน้ำยาปรับอากาศแบบหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้งทั่วห้อง มันช่วยให้อาการประหม่าก่อนหน้านี้ลดลงได้เยอะทีเดียว

“ตกลงว่าเราชื่อฝันใช่ไหม” นวลหันมาถามระหว่างรอการมาของเจ้านาย

“ใช่จ้ะพี่ หนูชื่อทอฝัน แต่เรียกว่าฝันเฉยๆ เหมือนคนอื่นก็ได้” หญิงสาวยิ้มน่ารัก

“พี่ชื่อนวลนะ เรียกว่าพี่นวลได้เลย” เธอแนะนำตัวเอง

“จ้ะ” ทอฝันพยักหน้ารับคำ กำลังจะเอ่ยถามนวลอยู่แล้วว่าบ้านหลังนี้อยู่กันกี่คน แต่ปราชญ์เดินเข้ามาภายในห้องรับแขกเสียก่อน สองสาวจึงทรุดตัวนั่งลงบนพื้นไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาตัวสวยด้วยท่าทีสบายๆ อดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่าคราวนี้ทอฝันพยายามมองสบสายตากับเขาโดยไม่หลบหน้าอีก

“เอาละ ไหนลองบอกประวัติของเธอมาหน่อยสิ ทอฝัน อย่างเช่นว่าเรียนที่ไหน บ้านอยู่แถวไหน อยู่กับใคร แล้วเคยทำงานอะไรมาแล้วบ้าง” ชายหนุ่มเริ่มซักถามพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก สายตามองสำรวจอย่างถ้วนทั่ว ซึ่งมันเปิดเผยว่าพอใจเสียจนนวลอดยิ้มไม่ได้

ใบหน้าของทอฝันเรียวเล็กได้รูป จมูกโด่งสวยรับกับริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารัก ขนตาที่งอนยาวโดยไม่ได้แต่งเดิมพาให้ดวงตาหวานฉ่ำเย้ายวน แต่กลับดูเศร้าสร้อยเหมือนคนอมทุกข์ ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดเหมือนผู้ลากมากดี แต่เสื้อยืดรัดรูปสีส้มอ่อนกับกางเกงผ้าขาสั้นระดับเข่า บ่งบอกว่าฐานะของเธอคงไม่สู้จะดีนัก เธอดูชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขาถามถึงประวัติส่วนตัว แต่นิ่งไปได้ไม่นานก็เริ่มพูดออกมา

“ฝันอายุสิบแปดปีค่ะ หลังจากเรียนจบม.หกก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะไม่มีเงินเรียน ฝันอยู่กับแม่แค่สองคนที่ซอยหลังตลาดเทศบาล คนส่วนใหญ่เรียกที่นั่นว่าสลัม แม่ฝันทำงานที่คาเฟ่ไม่ไกลจากบ้านนักค่ะ ส่วนฝันช่วยแม่หาเงินด้วยการรับจ้างซักรีด รับจ้างทำความสะอาดบ้าน แล้วก็งานเล็กๆ น้อยๆ แล้วแต่คนจะจ้างฝันค่ะ” ทอฝันสบตากับชายหนุ่มตรงๆ

“แล้วทำไมถึงมาสมัครงานที่นี่ละ” ปราชญ์ถามต่อ

“ช่วงสองสามวันมานี่ไม่มีคนจ้างฝันทำงานเลยค่ะ ฝันไม่อยากอยู่เฉยๆ...มันเหงา”

“อย่างน้อยก็มีแม่ไม่ใช่หรือ อยู่กันสองแม่ลูกก็ไม่ได้แย่นักหรอกนะ รู้ไหมว่าเด็กบางคนไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ ต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือไม่ก็กับพ่อแม่บุญธรรม เธอยังมีชีวิตที่ดีกว่าเด็กพวกนั้นนะ ทอฝัน” ชายหนุ่มไม่ได้พูดจามีหลักการแบบนี้บ่อยนัก เขาแค่อยากให้กำลังใจหลังจากได้ยินว่าชีวิตของหญิงสาวแย่แค่ไหน

“ใช่ค่ะ อยู่กันสองแม่ลูกก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แต่แม่ไม่ได้กลับบ้านมาสามวันแล้ว อีกอย่างแม่ฝันทำงานเป็นนักร้องคาเฟ่ กว่าจะกลับบ้านก็แทบสว่าง กลับมาก็นอนยาวจนถึงบ่าย พอตื่นมาก็กินข้าวอาบน้ำแล้วก็แต่งตัวออกไปทำงาน มันวนเวียนเป็นแบบนี้มาตลอด ฝันใช้เวลาอยู่กับคนในซอยเดียวกันมากกว่าอยู่กับแม่เสียอีกนะคะ” พูดไปก็สะเทือนใจจนแทบน้ำตาร่วง กว่าจะนึกได้ว่าไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้คนอื่นฟังก็สายไปแล้ว

“โธ่...ฝัน” นวลยกมือขึ้นโอบไหล่ทอฝันเพราะอดสงสารไม่ได้

“เอาเป็นว่าฉันตกลงรับเธอเข้าทำงานก็แล้วกันนะ นวลจะเป็นคนบอกเองว่าเธอต้องทำอะไรบ้าง” ปราชญ์ไม่เสียเวลาคิดไตร่ตรองด้วยซ้ำ ทอฝันเป็นคนที่สี่แล้วที่เข้ามาสมัครงาน สามคนก่อนหน้านี้ถูกมารดาของเขาปฏิเสธหมด ทั้งที่บางคนก็มีคุณสมบัติครบถ้วนดี เพราะรู้สึกเห็นใจทอฝันอย่างไม่มีเหตุผลนี่แหละ ทำให้เขาขอเป็นคนเลือกสาวใช้คนใหม่ ตอนแรกบุษราก็คัดค้าน ยืนยันว่าถึงอย่างไรก็จะเลือกเฟ้นเอง แต่พอปราชญ์แสร้งทำเป็นตัดพ้อว่าไม่ไว้ใจเขา มารดาถึงได้ยอมใจอ่อนให้

“คะ?...”

“ตามที่ฉันพูดนั่นแหละ เธอเริ่มงานได้วันพรุ่งนี้เลย ส่วนเงินเดือนของเธออยู่ที่หนึ่งหมื่นบาท ถ้าขยันทำงานเดี๋ยวคุณแม่ก็เพิ่มให้เหมือนกับคนอื่นๆ เอง”

“หนึ่งหมื่นบาทเลยหรือคะ! เอ่อ...ฝันว่ามันมากเกินไปนะคะ” หญิงสาวทำหน้าตกใจ

“มันเป็นมาตรฐานค่าแรงที่คุณแม่ฉันตั้งไว้น่ะ”

“แต่ว่า...”

“อย่ามากเรื่องน่า เดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจไม่รับเธอเข้าทำงานไม่รู้ด้วยนะ” ปราชญ์แสร้งทำหน้าหงุดหงิด

“ก็ได้ค่ะ ฝันจะไม่เรื่องมากก็ได้...ขอบคุณมากนะคะ” ทอฝันยกมือไหว้ขอบคุณ มองหนุ่มหล่อหน้าใสราวกับดาราบนปกนิตยสาร แล้วยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้งใจ แม้จะไม่สบายใจที่ได้รับเงินเดือนมากเกินความจำเป็นแบบนี้ แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่สำคัญแม่จะต้องภูมิใจและดีใจมากแน่ๆ

“ดีใจด้วยฝัน พรุ่งนี้มาแต่เช้านะ เดี๋ยวพี่จะสอนงานให้เอง” นวลพลอยตื่นเต้นไปด้วย “เออ จริงสิ ไหนว่าจะไปเยี่ยมยายที่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ รอก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปแบ่งสมุนไพรมาให้…ขอตัวสักครู่นะคะ คุณปราชญ์” เมื่อนึกได้ว่าจะแบ่งสมุนไพรของแม่ให้กับทอฝัน นวลก็ขอตัวแยกออกไปทันที

“ไหนบอกว่าอยู่กับแม่แค่สองคนไง” ชายหนุ่มถามขึ้นทำลายความเงียบ

“อ๋อ ยายสมัยเป็นยายที่อยู่บ้านใกล้กันเหมือนกับน้าอ้อยนั่นแหละค่ะ ฝันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนก็เลยเอาตายายของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ถึงจะจนแต่เราก็แบ่งปันกันเสมอ ฝันคิดว่าความจนก็มีค่าตรงที่ทำให้คนเราเอื้อเฟื้อกันมากขึ้น ทุกคนในละแวกนั้นดีกับฝันมากค่ะ เวลาเราสองแม่ลูกลำบากก็คอยช่วยเหลือตลอดเลย” หญิงสาวยิ้มน่ารักเมื่อพูดถึงความสุขที่หาได้จากคนรอบตัว

“อย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปส่งที่โรงพยาบาลให้เอง” ปราชญ์เสนออย่างมีน้ำใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้สนใจสาวน้อยคนนี้นัก ที่ผ่านมาเขามีผู้หญิงสวยเซ็กซี่และชาติตระกูลดีมาห้อมล้อมยอมทอดกายให้มากมาย แต่กลับทำเพียงแค่เชยชมและไม่เคยให้ความสนใจใครอย่างจริงจัง ต่างจากที่รู้สึกกับทอฝันอย่างลิบลับ มันไม่ใช่ความปรารถนาทางกาย แต่มันมีผลกับใจโดยตรงตั้งแต่แรกพบเลยก็ว่าได้

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฝันจะเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ไปส่งเองดีกว่า”

“อย่าขัดใจฉันสิ ฉันเป็นเจ้านายเธอแล้วนะ ฉันสั่งอะไรเธอก็ต้องทำตาม เข้าใจไหม” ชายหนุ่มทำเสียงดุ

“เข้าใจค่ะ...ฝันเข้าใจแล้ว อย่างไรก็ขอบคุณมากนะคะที่จะไปส่ง ฝันจะไม่ลืมเลยค่ะว่าคุณกรุณาฝันแค่ไหน” ทอฝันยิ้ม และเป็นรอยยิ้มที่น่าเสน่หาสำหรับคนมองเหลือเกิน ปราชญ์ยิ้มตามเธอโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่คมจ้องมองดวงหน้างามแล้วนึกอยากขยับเข้าไปชิดใกล้ ผิวแก้มของเธอคงเนียนนุ่มน่าสัมผัส ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มอยู่นั่นก็คงหวานละมุนน่าดู แต่เมื่อนึกถึงความใสซื่อของเด็กสาวอายุเพียงสิบแปดปี คนที่อายุมากกว่าถึงห้าปีอย่างเขาก็ต้องดึงตัวเองขึ้นจากวังวนเสน่หาโดยเร็ว

“ได้แล้วฝัน ยานี่เอาต้มกินได้ทุกเวลาเลยนะ กินต่างน้ำเลยก็ได้ รสชาติจืด กินไม่ยากหรอก บอกยายฝันด้วยนะว่าให้กินต่อเนื่องจนครบเดือน รับรองว่าน้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงแน่ ถ้าหมดเมื่อไรก็มาเอาได้ตลอด แม่พี่ตากแห้งไว้เยอะเลย กินได้เป็นปีๆ แน่ะ” นวลบอกอย่างละเอียด ทอฝันยกมือไหว้ขอบคุณแล้วรับถุงยามาถือไว้

“ฝันไปก่อนนะ พี่นวล แล้วพรุ่งนี้ฝันจะมาแต่เช้าเลยจ้ะ”

“ถ้าคุณแม่ถามหาฉัน บอกว่าฉันออกไปหาเพื่อนนะนวล”

“ได้ค่ะ คุณปราชญ์ ขับรถดีๆ นะคะ” นวลพยักหน้ารับทราบคำสั่ง ยืนมองนายหนุ่มเดินเคียงคู่ออกไปกับสาวใช้วัยใส จนกระทั่งขับรถหายออกไปจากบริเวณสายตา จังหวะนั้นเองที่บังอรกับป้าพิศแม่ของนวลเดินออกมาจากครัว หลังจากลงมือเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเที่ยงจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เด็กนั่นน่ารักจังเลยเนอะนวล ถ้าแต่งตัวดีกว่านี้ฉันคงคิดว่าเป็นลูกคุณหนูแน่เลย” บังอรสาวใช้อีกคนเอ่ยขึ้น

“น้องเขาชื่อทอฝัน ไม่ใช่แค่น่ารักนะ แต่นิสัยดีมากจนอยากรู้จักแม่น้องเขาเลยละ แม่เป็นนักร้องคาเฟ่ ไม่ค่อยมีเวลาให้ แต่เลี้ยงดูลูกได้ดีจริงๆ นี่ถ้าเป็นเด็กคนอื่นอาจจะใจแตกไปแล้วก็ได้นะ...ว่าไหมอร” นวลหันมาขอแนวร่วม บังอรพยักหน้าเห็นด้วย แต่ป้าพิศไม่คิดแบบนั้น

“คนมันจะดีบางทีก็ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูหรอกนะ การเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นพื้นฐาน แต่เอาจริงๆ มันอยู่ที่สันดานกับความรู้สึกนึกคิดด้วย เด็กทอฝันนั่นอาจเป็นคนดีเพราะได้เรียนรู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ได้เห็นมาเยอะว่าถ้าไม่รักดีแล้วจะลำบากขนาดไหน อีกอย่างเห็นแม่ทำงานเป็นนักร้องคาเฟ่ให้เขาลูบคลำเอาเปรียบ เด็กมันก็คงไม่อยากเจริญรอยตามนักหรอก แต่ข้าชอบนะ รูปงามนามเพราะ ไม่แปลกหรอกถ้าคุณปราชญ์จะสนใจ” ป้าพิศอาบน้ำร้อนมาก่อน อายุก็ปาเข้าไปเกือบหกสิบปีแล้ว มีหรือที่จะมองสายตาของเจ้านายน้อยไม่ออก คนที่มองไม่ออกก็เห็นจะมีแค่เพียงทอฝันเท่านั้นแหละ

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละแม่ คุณปราชญ์นี่มองฝันมันตาเยิ้มเชียวนะ” นวลว่าตามกัน

“เฮ้อ แต่จะชอบแค่ไหนก็เป็นได้แค่ของเล่นเท่านั้นแหละเนอะ” บังอรพูดตามความจริง แต่โดนป้าพิศบิดตรงต้นแขนจนเนื้อแทบเขียว “โอ้ย! ฉันเจ็บนะป้า ป้ามาหยิกฉันทำไมจ๊ะเนี่ย”

“ใครใช้ให้เอ็งไปว่าคนอื่นเล่า นังอร”

“ก็มันจริงนี่นา ป้าคิดว่าคุณหญิงจะยอมให้คุณปราชญ์ชอบพอกับคนใช้หรือ ถึงจะสวยน่ารักขนาดไหน แต่พวกคนรวยเขาก็มักวัดกันความเหมาะสมและชาติตระกูลนี่นา คุณปราชญ์เป็นลูกชายคนเดียวเสียด้วยสิ...ฉันไม่ได้พูดเพราะเกลียดชังเด็กคนนั้นนะ ฉันเองก็ชอบน้องเหมือนกัน หน้าตาท่าทางมันดูใสซื่อดี ฉันแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง”

“ฉันว่าก็จริงของอรมันนะ” นวลเห็นด้วย

“บนโลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก พวกเอ็งสองคนจำไว้นะว่าถ้าคนมันเป็นเนื้อคู่กัน ต่อให้แยกหรือขัดขวางแค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องโคจรมาเจอกันอยู่ดี แต่ถ้ามันไม่ใช่...ฝืนให้ตายมันก็ไปไม่รอดหรอก ข้าผ่านวัยแรกแย้มมาจนจะแย้มฝาโลงอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าทฤษฎีนี้ยังใช้ได้เสมอ ก็เหมือนอย่างพวกเอ็งนี่ไง อายุจะสามสิบอยู่รอมร่อแล้วยังไม่มีใครเหลียวมองเลย...สงสัยเนื้อคู่จะยังไม่เกิด” พูดจบป้าพิศก็หัวเราะร่วน ไม่สนใจสองสาวที่มองค้อนปะหลับปะเหลือกอยู่ข้างๆ

..................................................................................................................................................................

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel