บทที่ 6
“ไม่แล้ว ช่วงนี้มีงานติดต่อฉันเข้ามาบ้างไหม” วริษาเอ่ยถามออกไปอย่างมีความหวังว่างานจะติดต่อมาบ้าง แต่แก้วกาญกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนที่บรรยากาศจะเงียบไปทันที
วริษาน่าจะชินแล้ว แต่อย่างที่บอกเมื่อเธอคาดหวังแล้วมันไม่ได้ดั่งหวังจึงผิดหวัง ซึ่งแก้วกาญก็เข้าใจดี
“เอานะ ไม่มีก็ไม่มีสิ อยู่แบบนี้ก็สบายดีออก อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่ต้องเก็บตัวเหมือนก่อน อิสระจะตายไป จริงไหม” แก้วกาญเอ่ยปลอบใจ ก่อนจะอยู่เป็นเพื่อนวริษากระทั่งถึงบ่ายจึงกลับออกไป
เมื่ออยู่ตามลำพังวริษาก็ต้องหากิจกรรมอะไรมาทำ เพราะไม่อยากให้สมองมันว่างจนคิดฟุ้งซ่าน สิ่งแรกคือการเดินไปสำรวจเด็กๆ ในเรือนกระจกสีขาวที่อยู่ข้างบ้าน ซึ่งเด็กๆ ที่ว่าคือเหล่าบรรดาแคคตัสต้นน้อยต้นใหญ่ที่วริษาศึกษาและปลูกเป็นงานอดิเรกมานานหลายปี
วริษาใช้เวลาอยู่ในเรือนกระจกนานหลายชั่วโมงหรือต่อให้มากกว่านี้เธอก็ไม่รู้สึกเบื่อ กลับคิดว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วด้วยซ้ำไป เธอหยิบนั่นจับนี่ทำไม่ได้หยุด โดยเฉพาะการหยิบกล้องมาถ่ายรูปสวยๆ ของดอกแคคตัสสีสดที่กำลังบานสะพรั่ง
“นางแบบสวยจังเลยวันนี้” วริษาเอ่ยชมแคคตัสตรงหน้าที่วันนี้ออกดอกได้สวยอีกวัน ซึ่งรูปภาพที่เธอถ่ายไว้ก็จะถูกนำไปเป็นแบบสำหรับรูปคอลเลคชั่นในงานอดิเรกชิ้นต่อไปของเธอ
แม้งานอดิเรกที่ว่าจะไม่ใช่งานที่สร้างรายได้ให้เธอเป็นกอบเป็นกำ แต่เพราะชอบวริษาจึงลงมือทำ อย่างน้อยมันก็ทำให้สมองเธอก็ไม่ว่างจนมีเวลาคิดอะไรฟุ้งซ่าน
พอแดดร่มลมตกหน่อยก็คว้าหมวกและถุงมือมาไว้ แล้วเดินออกไปยังสวนนอกบ้าน ออกแรงถอนหญ้าระบายอารมณ์ขุ่นๆ อีกพักใหญ่ กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเก้าอี้จะดังขึ้น วริษาถอดถุงมือออกแล้วคว้าโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงเรียกเข้ามากดรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณพี่ชาย”
“อยู่บ้านหรือเปล่าเม็ด” สรรพนามที่ได้ยินก็ทำเอาวริษามองบน เพราะมีอยู่คนเดียวจริงๆ ที่ชอบเรียกเธอแบบนี้
“เม็ดฝน เรียกให้มันเต็มๆ หน่อยไม่ได้หรือไงพี่เมฆ ชอบเรียกเม็ดๆ อยู่นั่นแหละ” วริษาหน้างอ เพราะพี่ชายที่อายุห่างจากเธอสี่ปีชอบเรียกเธอแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้ว บอกให้เรียกชื่อเต็มทั้งสองพยางค์มาเป็นล้านๆ รอบ แต่วรวิชก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเสียที บางครั้งก็ทำเอาเธออยากเปลี่ยนชื่อเล่นให้มันรู้แล้วรู้รอด
“ก็มันสะดวกดี”
“สะดวกอะไร พอพี่เมฆเรียกเม็ดนี่ฟังดูน่าเกลียดจะตาย ถ้าอยากเรียกคำเดียวทำไมไม่เรียกฝนล่ะคะ น่าฟังกว่าตั้งเยอะ”
“มันซ้ำกับคนอื่นไง พี่อยากให้น้องสาวเป็นบุคคลพิเศษ ยูนีคหน่อยๆ” คำแก้ต่างของวรวิชดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นสักนิด
“อะๆ ขี้เกียจจะเถียงด้วยแล้ว โทรมามีอะไรหรือเปล่าคะ” นั่นเพราะเถียงกี่ครั้งต่อกี่ครั้งวริษามักจะเป็นฝ่ายแพ้ตลอดนั่นเอง
“พี่มีเรื่องอยากให้ช่วย”
“ช่วย” วริษาเอ่ยทวน นั่นเพราะน้อยครั้งมากที่พี่ชายเธอจะเอ่ยปากขอให้ช่วย ซึ่งแต่ละเรื่องที่ผ่านมานั้นก็อยู่นอกเหนือนการคาดหมายของเธอเกือบทั้งสิ้น พอได้ยินแบบนี้วริษาก็ออกแนวระแวง
“ใช่...พี่มองไม่เห็นใครแล้วที่จะเหมาะสมเท่ากับน้องสาวคนสวย นางเอกมากฝีมือคนนี้ของพี่”
“ยอมาขนาดนี้จะให้ช่วยอะไรก็ว่ามาเถอะค่ะ” แม้จะหวั่นใจกับการขอความช่วยเหลือจากวรวิช แต่ได้ชื่อว่าพี่น้องเธอก็พร้อมจะทำ หากสิ่งนั้นไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป
“พอดีมีคนสำคัญของพี่คนหนึ่งบินมาจากต่างประเทศ เขาอยากมาเที่ยวเมืองไทย” วรวิชเกริ่นนำมาก่อน
“ก็มาสิคะ ไทยแลนด์ดินแดนเวลคัมจะตาย”
“เขามาถึงแล้ว แต่สิ่งที่เขาอยากได้คือที่อยู่กับไกด์นำเที่ยว”
“ที่อยู่ก็ให้พักโรงแรม ส่วนไกด์เดี๋ยวเม็ดฝนอาสาเป็นให้ก็ได้”
“พี่ก็อยากให้เขาพักโรงแรม แต่พี่ดั้นปากไวรับปากไปแล้วว่าจะให้มาพักที่บ้าน เพราะอยากให้คนในครอบครัวดูแลใกล้ชิด”
“ให้ความสำคัญระดับนี้บอกมาเลยว่าใคร”
“เอ่อ...คือ” วรวิชอึกอัก
“ถ้าไม่บอก เม็ดฝนก็ขออนุญาตปฏิเสธนะคะ” วริษาแกล้งพูดขู่
“เขาคือน้องของโบวี่”
“น้องพี่โบวี่เหรอคะ” น้ำเสียงของวริษานั้นฟังดูอ่อนลง เมื่อได้ยินชื่ออดีตคนรักของพี่ชายที่เสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน
เธอยังคงจำภาพความรักของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี พี่ชายเธอจริงจังกับความรักครั้งนั้นมาก ค่ำคืนการคุกเข่าขอว่าที่เจ้าสาวแต่งงานจึงเกิดขึ้น หลังจากนั้นเธอยังเข้าไปช่วยวางแผนเรื่องการจัดงานแต่งงาน แต่ทว่าทั้งคู่กลับไม่ได้เกิดมาเพื่อจะได้ครองคู่กันไปจนแก่
“ใช่...ก่อนที่โบวี่จะเสีย พี่รับปากเธอไว้ว่าจะคอยดูแลน้องทั้งสองคนของเธอให้ คือแค่ดูแลในส่วนที่พี่พอจะทำได้” แม้จะรับปากไปแบบนั้น แต่สองปีที่ผ่านมาน้องของโบวี่ก็แทบไม่เคยขอความช่วยเหลืออะไรมาเลยด้วยซ้ำ
“ค่ะ...เม็ดฝนเข้าใจ”
“แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่น้องของเธอขอความช่วยเหลือจากพี่”
“ค่ะ”
“เพราะปกติน้องคนนี้ของโบวี่ใช้ชีวิตอยู่เมืองจีน พอจะมาไทยเลยไม่รู้ต้องไปที่ไหนยังไง”
“โอเคค่ะ เม็ดฝนจะดูแลน้องของพี่โบวี่ให้เอง” วริษาเอ่ยรับปากช่วยทันที เพราะคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นงานที่ยากอะไร
“งั้นดีเลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่บอกให้น้องของโบวี่ไปหาเม็ดที่บ้านตอนนี้เลยนะ”
“จะให้มาบ้านเม็ดฝนเหรอ!”
“ใช่...บ้านเม็ดไง”
“อ้าว! นึกว่าพี่เมฆจะให้น้องพี่โบวี่ไปอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่เสียอีก”
“บ้านพ่อกับแม่ไม่น่าจะสะดวก” สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะบ้านพ่อและแม่ของทั้งคู่อยู่ชลบุรี การเดินทางไปไหนมาไหนคงไม่สะดวกเท่ากับการไปอยู่บ้านของวริษา
“ตะ...แต่”
“ตกลงตามนี้นะเม็ดน้องรัก ขอบคุณมาก เดี๋ยวเดือนนี้พี่โอนโบนัสพิเศษให้เป็นค่าเหนื่อย” วรวิชเอ่ยรวบรัดเพราะกลัว วริษาเปลี่ยนใจ
“ค่ะๆ” วริษาเลยตามเลย เพราะคงปฏิเสธไม่ทันแล้วนั่นเอง
“แล้วนี่เป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มที่แฝงความเป็นห่วงเอ่ยถามขึ้น แม้เขากับวริษาจะใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ แต่กลับไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกัน น้องสาวเขานั้นเก็บเงินจากการเป็นนักแสดงแล้วซื้อบ้านเดี่ยวเป็นของตัวเอง ซึ่งนั่นสร้างความภูมิใจให้เขาและทุกคนในครอบครัวไม่น้อย แม้ว่าที่ผ่านมาวริษาแทบไม่มีเวลาให้ก็ตาม
