ฆ่าคนครั้งแรก
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยออกมาจากห้องครัว เด็กชายรองเท้าฟางยืนพิงประตูห้องครัวกวาดสายตามองไปยังถังใส่ข้าวสารที่บรรจุข้าวสารจนเต็ม เขายกยิ้มบางเบาจากนั้นจึงคลำหาถุงเงินในอกเสื้อส่งให้มารดา
มือที่กำลังตักอาหารขึ้นจากกระทะของผู้เป็นมารดาพลันหยุดชะงักเพียงชั่วครู่แล้วจึงตักอาหารใส่จานจนเสร็จโดยไม่เอื้อมมือไปรับถุงเงินจากผู้เป็นลูก
เด็กชายรองเท้าฟางขมวดคิ้วเล็กน้อยเขารู้สึกไม่พอใจที่มารดาไม่ยอมรับถุงเงินไปเก็บเอาไว้
สตรีร่างบางเห็นสีหน้าของบุตรชายดูไม่ดีจึงยิ้มบางเอ่ยว่า “เจ้าเก็บไว้เถอะถ้าแม่เก็บไว้เกรงว่าจะถูกแย่งเอาไป”
หญิงสาวพูดยังไม่ทันขาดคำหน้าประตูรั้วก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นว่า “ลี่จูเจ้ามันคนใจดำมีเงินทำไมไม่ส่งให้บ้านเดิมบ้างเล่า เจ้าปล่อยให้แม่ที่แก่ชราต้องหิวโหยเจ้ามันนางคนอกตัญญู”
สตรีร่างบางถอนหายใจเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกมันมาอีกแล้ว”
เด็กชายรองเท้าฟางรีบเก็บถุงเงินเข้าอกเสื้อพลางเอ่ยปลอบมารดา “ท่านแม่ไม่ต้องกลัวหากพวกมันกล้าทำร้ายท่านข้าจะสู้ตายกับพวกมัน”
คำพูดของเด็กชายวัยเพียงห้าหนาวทำให้สตรีร่างบางน้ำตาคลอเบ้านางคว้ามีดหั่นผักมาถือไว้ในมือพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมารังแกเราสองคนแม่ลูกได้อีก”
ปัง ปัง ครืน ประตูรั้วถูกถีบล้มลง สตรีร่างอวบนามว่าลี่เจินเดินนำหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มนึงเข้ามาในลานกว้างปากก็กร่นด่าเสียงดังว่า “นางคนอกตัญญูเสียแรงที่มารดาของข้าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่เจ้ามีกินกับปล่อยให้มารดาที่เลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ต้องอดยาก“
สตรีร่างอวบส่งสัญญาณให้ชายฉกรรจ์ที่เดินตามหลังมาเข้าไปจับตัวลี่จู ชายฉกรรจ์สามคนปรี่เข้าไปใกล้ลี่จูหมายจะจับนางมัดไว้ ลี่จูเบี่ยงตัวหลบมือที่ถือมีดหั่นผักตวัดไปมาปากก็เอ่ยว่า
“สินเดิมของแม่ข้าและสมบัติที่สามีข้าทิ้งไว้พวกเจ้าแม่ลูกเอาไปยังไม่พอหรอกหรือ เจ้าจะให้ข้าสองคนแม่ลูกต้องกลายเป็นขอทานจึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ“
ลี่เจินตวาดลั่น ”ใครจะยอมให้เจ้าแม่ลูกไปเป็นขอทานให้เสียของกันเล่า เห็นแก่ที่เรามีบิดาคนเดียวกันข้าจะส่งเจ้าสองคนแม่ลูกไปอยู่ในที่ดีๆได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ได้กินอิ่มท้อง”
ลี่จูดวงตาเบิกกว้างที่ดีๆที่น้องสาวต่างมารดาเอ่ยถึงต้องเป็นหอนางโลมแน่ๆ นางกำมีดในมือแน่นเอ่ยกับบุตรชายโดยไม่หันไปมอง “หลีเอ๋อร์หนีไปลูกจงไปที่เมืองชั้นในรีบไป”
เอ่ยจบนางก็พุ่งเข้าใส่ชายฉกรรจ์ที่ยืนขวางทางอยู่พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าพวกคนชั่วตายเสียเถอะ”
มีดหั่นผักปักได้เพียงหัวไหล่ของชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมมิได้ปักเข้าสู่หัวใจตามที่นางตั้งใจเอาไว้ ชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมกัดฟันข่มความเจ็บปวดจับข้อมือของลี่จูบิดจนนางต้องคลายฝ่ามือที่กุมมีดออก
เมื่อไม่มีมีดสตรีร่างบางที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่อย่างนางจะเอาอะไรไปสู้ แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ยกเท้าถีบเข้าที่ท้องของชายหน้าเหลี่ยม
ชายฉกรรจ์สองคนที่เป็นญาติห่างๆรีบเข้ามาจับตัวสตรีร่างบางพลางพ่นเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ลี่โถวจื่อเจ้ามันไม่ได้เรื่องสู้ไม่ได้แม้กระทั่งสตรีตัวเล็กๆ”
ชายหน้าเหลี่ยมถูกสบประมาทจึงกัดฟันกรอดคิดจะระบายโทสะโดยการตบนางหญิงหม้ายให้หายแค้น ฝ่ามือใหญ่เงื้อขึ้นกลางอากาศตวัดไปที่ใบหน้าขาวซีดขาว สตรีร่างบางหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
อ๊ากก เสียงร้องโหยหวนทำให้นางลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าทำให้ดวงตานางเบิกกว้าง ชายหน้าเหลี่ยมถูกไฟลุกท่วมตัวนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ชายฉกรรจ์สองคนที่จับตัวนางไว้เมื่อสักครู่บัดนี้ศรีษะของพวกมันและใบหน้าถูกไฟเผาจนไม่เหลือเค้าเดิม
เด็กชายรองเท้าฟางยืนอยู่ไม่ไกลเขากางฝ่ามือทั้งสองข้างออกเปลวไฟพุ่งออกจากฝ่ามือตกลงบนเรือนร่างของสตรีร่างอวบ สตรีร่างอวบกลิ้งตัวลงบนพื้นหมายจะดับไฟแต่อนิจจาไฟนี้หาใช้ไฟธรรมดามันจะไม่ดับจนกว่าผู้บำเพ็ญเพียรจะยอมเลิกรา
หญิงชราปากกว้างกับบุตรชายที่แอบดูอยู่หลังต้นไม้ส่งเสียงสบถว่า “มารดามันเถอะไยจึงไม่มีใครบอกว่าเจ้าเด็กนี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเหมือนบิดาของมัน โชคดีที่ข้ายังมิได้ไปล่วงเกินมันสองคนแม่ลูก”
เด็กหนุ่มร่างผอมจับแขนหญิงชราแน่นเอ่ยเสียงสั่นว่า “วันก่อนข้าเอ่ยกับลี่จูว่าถ้านางยอมนอนกับข้านางจะได้ข้าวสารหนึ่งจิน”
หญิงชราปากกว้างเบิกตาโตบิดหูบุตรชายพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านี่นะเอาความกล้ามาจากไหนรีบกลับบ้านเร็วรอเจ้าหนูกู้หลีอารมณ์ดีแล้วค่อยนำของขวัญมาขอขมา”
สองแม่ลูกไม่กล้าอยู่ดูเหตุการณ์ต่อเนื่องจากเกรงว่าเจ้าหนูกู้หลีจะหันมาเห็นตนเข้าแล้วระบายความโกธรใส่พวกตน
เปลวเพลิงสีแดงลุกโชนท่วมร่างคนทั้งสี่ เมื่อร่างของทั้งสี่คนกลายเป็นขี้เถ้าเด็กชายรองเท้าฟางจึงแสยะยิ้ม เขาเดินไปกอดต้นขามารดาที่ยืนนิ่งไม่ขยับ
ทันทีที่มือน้อยๆสัมผัสถูกตัวนาง แววตาตื่นตระตนกของสตรีร่างบางก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน นางอุ้มเด็กชายรองเท้าฟางขึ้นมาโอบกอดไว้ในอ้อมอกเอ่ยชื่นชมว่า ”หลีเอ๋อร์ของแม่เก่งมาก“
เด็กชายรองเท้าฟางได้ยินคำชมของมารดาริมฝีปากของเขาจึงยกยิ้มขึ้น นิ้วน้อยๆชี้ไปที่รองเท้าฟางของตนเอง สตรีร่างบางมองตามนิ้วมือไปก็เห็นรองเท้าฟางของบุตรชายมีรอยฉีกขาดนางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
”หลีเอ๋อร์ของแม่เหนื่อยแล้วนอนพักผ่อนเสียเถอะเมื่อตื่นขึ้นเจ้าจะได้สวมรองเท้าฟางคู่ใหม่“
เด็กชายรองเท้าฟางพยักหน้าเขาหลับตาพริ้ม โดยมีสายตาที่อ่อนโยนของผู้เป็นมารดามองดูเขาที่กำลังหลับด้วยความรัก
เด็กชายสวมรองเท้าฟางถูกมารดาอุ้มไปวางไว้บนที่นอน นางห่มผ้าให้เขาแล้วนั่งสานรองเท้าฟางอยู่ข้างๆ
……………………
ณ.แดนสวรรค์
เทียนจวินตบเข่าดังฉาดพลางเอ่ยด้วยความยินดีว่า “มันต้องอย่างนี้สิ”
เทพแห่งดวงชะตาเหลือบตามองเขาแล้วจึงหยิบจอกสุรากระดกขึ้นดื่ม “อ่าาชื่นใจ”
เทียนจวินมองจอกสุราของตนที่ถูกดื่มจนหมดจอกจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงหยิบสุราเทพขวดใหม่ออกมาเทใส่จอกให้ตนเองและเทพแห่งดวงชะตา
เทพแห่งดวงชะตายิ้มไปถึงดวงตาก่อนที่จะชะงักไปเมื่อเทียนจวินเอ่ยถามว่า “เมื่อใดตี้จวินจึงจะได้กลับสวรรค์”
เพื่อที่เลี่ยงไม่ตอบคำถามของเทียนจวินเทพแห่งดวงชะตาหลับตาลง เทียนจวินแสยะยิ้มนำจอกสุราของเทพแห่งดวงชะตามาถือไว้
เทพแห่งดวงชะตามุมปากกระตุกหรี่ตาเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อพบกับรักแท้แล้วพลัดพราก”
เทียนจวิน “หมายความว่าเมื่อตี้จวินมีความรักพระองค์ในร่างมนุษย์ก็จะตายลงเช่นนี้พระองค์จึงได้เสด็จกลับสวรรค์ใช่ไหม”
เทพแห่งดวงชะตาพยักหน้าหยิบจอกสุรากระดกดื่มแล่วจึงยื่นจอกสุราที่ดื่มหมดแล้วให้เทียนจวินเทให้ใหม่
เทียนจวินมุมปากกระตุกคิดในใจตาแก่ผู้นี้อยู่ว่างๆไม่มีอันใดทำมาขอดื่มสุราเทพของเขาทุกวัน โชคดีที่นางหนูเก้านำสุราเทพมาให้เขามากพอมิเช่นนั้นเขาจะไล่ตาแก่ผู้นี้ไปให้ไกล
*ตี้จวินคือเทพจักรพรรดิผู้มีอำนาจสูงสุด
*เทียนจวินคือจักรพรรดิสวรรค์
*เทพแห่งดวงชะตาคือเทพที่คอยคุ้มครองดวงชะตาของเรา
