กู้หลี
ณ.ทวีปเมฆา
ทวีปเมฆาแบ่งออกเป็นเมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน ซึ่งเมืองชั้นในจะเป็นที่อยู่ของผู้บำเพ็ญเพียรส่วนเมืองชั้นนอกคือที่อยู่ของคนธรรมดาโดยแต่ละเมืองจะปกครองโดยสำนักใหญ่ที่มีชื่อเดียวกับเมือง
ผู้คนจากเมืองชั้นในสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระบางครั้งพวกเขาก็จะมาจับจ่ายใช้สอยเที่ยวเล่นที่เมืองชั้นนอก แต่ผู้คนจากเมืองชั้นนอกถ้ามิมีรากวิญญาณก็จะไม่สามารถเข้าไปที่เมืองชั้นในได้
เมืองชั้นนอกใช้เงินอีแปะ,ตำลึงเงิน,ตำลึงทองในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในขณะที่เมืองชั้นในใช้หินวิญญาณและลูกแก้วในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
หินวิญญาณมีค่ามากนอกจากจะใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนแล้วยังใช้ในการบำเพ็ญเพียรได้อีกด้วย ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญเพียรจากเมืองชั้นในที่ยังไม่ได้ละธัญพืชเดินทางมาซื้อเสบียงที่เมืองชั้นนอกแทบทุกวัน
ณ.เมืองกระบี่จันทรา
เด็กชายวัยห้าหนาวสวมรองเท้าฟางบนหลังสะพายตระกร้าสานใบใหญ่ สองเท้าน้อยๆเร่งเดินทางมุ่งสู่ป่าปราบเซียน
ครั้นมาถึงทางเข้าป่าปราบเซียนเด็กชายรองเท้าฟางกับไม่เดินเข้าไปด้านในเนื่องจากเขาทราบถึงภัยอันตรายด้านในเป็นอย่างดี เพราะบิดาของเขานั้นก็เสียชีวิตในป่าปราบเซียนแห่งนี้เมื่อสามเดือนก่อน
บิดาของเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณท่านหลงรักมารดาของเขาที่เป็นคนธรรมดาไม่มีรากวิญญาณ บิดาจึงย้ายมาอยู่เมืองชั้นนอกกับมารดาและใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบหาเลี้ยงชีพโดยการเข้าป่าล่าสัตว์เก็บสมุนไพรไปขาย
ป่าที่ใกล้กับเมืองกระบี่จันทราที่สุดคือป่าปราบเซียนถึงแม้ป่าแห่งนี้จะขึ้นชื่อว่าผู้ที่เข้าไปด้านในน้อยคนนักจะได้กลับออกมา
แต่สมุนไพรหายากและสัตว์อสูรในป่าแห่งนี้ก็เยอะมากบิดาของเขาจึงยอมเข้าไปเสี่ยง และนั่นก็ทำให้บิดาของเขาถูกหมีสามตาสัตว์อสูรระดับสองตบตาย
เด็กชายสวมรองเท้าฟางเดินผ่านทางเข้าป่าปราบเซียนมาหยุดอยู่ที่พุ่มไม้หนาทึบ ในพุ่มไม้แห่งนี้มีสมุนไพรอยู่หลายชนิดถึงแม้มันจะไม่ใช่สมุนไพรหายากแต่ถ้านำไปขายก็ยังพอซื้อข้าวสารได้หลายจิน
เด็กชายสวมรองเท้าฟางตั้งหน้าตั้งตาเด็ดสมุนไพรพลางคิดถึงคำสั่งสอนของบิดา ทุกๆค่ำคืนก่อนนอนบิดาของเขาซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นเจ็ดจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรให้เขาฟังและพร่ำสอนเขาว่าควรทำตัวอย่างไรจึงจะอยู่รอดปลอดภัย
บิดาของเขาสอนว่าในทวีปเมฆาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจึงจะยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ต้องมองสีหน้าใคร ตราบใดที่เขายังไม่แข็งแกร่งจงใช้ชีวิตปะปนกับคนธรรมดาอยู่ที่เมืองชั้นนอกอย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นอย่างเด็ดขาดเพราะมันอาจนำปัญหาและอันตรายมาให้
ยามนี้เขาอยากบอกบิดาเหลือเกินว่าการอยู่ร่วมกับคนธรรมดาก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะเมื่อไร้เงาบิดา บรรดาญาติๆที่แต่ก่อนไม่กล้าแม้จะหายใจแรงกับพากันบุกเข้ามาในบ้านฉกฉวยข้าวสารและของมีค่าในบ้านไปอย่างหน้าตาเฉย
มารดาของเขาร้องไห้อ้อนวอนขอให้สงสารหญิงม่ายกับลูกกำพร้า แต่ผู้ที่เรียกตนเองว่าญาติกับไร้ซึ่งความเห็นใจ พวกมันอ้างว่าถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นญาติคงนำนางไปขายให้กับหอนางโลมและนำเขาไปขายให้หอนายโลมแล้ว
ยามนั้นเขากางฝ่ามือออกหมายจะเผาพวกญาติสารเลวให้มันตกตายไป แต่มารดากับกอดเขาเอาไว้แน่นนางกระซิบบอกเขาว่า
“พวกมันมีคนมากเจ้ายังเล็กเกินกว่าที่จะสู้ไหวความแค้นนี้รอให้เจ้าโตก่อนค่อยแก้แค้นก็ยังมิสาย”
เด็กชายสวมรองเท้าฟางจำได้ดีพวกมันขนสมบัติในบ้านของเขาออกไปจนหมดแม้แต่ผ้าห่มและเสื้อผ้ายังถูกพวกมันเอาไป เหลือเพียงคัมภีร์กับกระบี่คู่ใจของบิดาที่ถูกซ่อนไว้ใต้เตียงจึงไม่ถูกฉกฉวยเอาไป
เด็กชายรองเท้าฟางกำหมัดแน่นความแค้นครั้งนี้ถ้าเขาไม่เอาคืนอย่าได้เรียกเขาว่ากู้หลีอีกเลย
ครึ่งชั่วยามต่อมาเด็กชายตัวน้อยก็แบกตระกร้าหนักอึ้งที่ด้านในบรรจุสมุนไพรสามชนิดจนเต็มตระกร้าเดินกลับเมืองกระบี่จันทรา
…………………………
เด็กชายตัวน้อยหยุดอยู่หน้าประตูบ้านใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผากเสร็จจึงเปิดประตูเข้าไปในบ้านพลางเอ่ยว่า
“ท่านแม่พวกเราไม่ต้องทนหิวอีกแล้ว ครั้งนี้ข้าขายสมุนไพรได้เงินมาสองตำลึงเงินเพียงพอให้เราสองคนแม่ลูกกินอิ่มได้ทั้งปี”
สตรีรูปร่างผอมบางวางผ้าในมือลง นางมองสำรวจร่างกายบุตรชายเมื่อแน่ใจว่าบุตรชายไม่ได้รับบาดเจ็บจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“หลีเอ๋อร์เจ้าไปป่าปราบเซียนมาใช่ไหม ที่นั่นมันอันตรายแม่บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเข้าไปหาสมุนไพรที่นั่น”
เด็กชายยิ้มกว้างจนเห็นฟันน้ำนมแล้วจึงเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เข้าไปด้านใน ท่านพ่อเคยบอกข้าว่าพุ่มไม้ไม่ไกลจากทางเข้าป่าปราบเซียนมีสมุนไพรขึ้นอยู่มากมายข้าจึงลองไปเก็บสมุนไพรที่นั่นขอรับ“
สตรีร่างบางลอบปาดน้ำตาแล้วจึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า ”แม่มันไม่ได้เรื่องทำให้เจ้าที่ยังเล็กนะต้องลำบาก“
เด็กชายรองเท้าฟางวางตระกร้าสะพายหลังลงบนพื้นก่อนที่จะโผเข้าสู่อ้อมอกมารดาพลางเอ่ยปลอบโยนว่า
“ไม่ลำบากเลยขอรับ ท่านแม่อย่าลืมสิขอรับว่าข้ามีรากวิญญาณมิใช่คนธรรมดาอนาคตข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้ถ้าการไปเก็บสมุนไพรแค่นี้ข้าทำไม่ได้แล้วข้าจะแข็งแกร่งได้อย่างไร“
สตรีร่างบางน้ำตาคลอเบ้านางกลืนก้อนสะอื้นลงท้องแล้วจึงเอ่ยว่า ”หลีเอ๋อร์ของแม่อยากเข้าไปอยู่ที่เมืองชั้นในหรือไม่ แม่ได้ข่าวมาว่าสำนักกระบี่จันทราเปิดรับลูกศิษย์นี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างที่เจ้าต้องการ”
เด็กชายรองเท้าฟางส่ายศรีษะไปมาเขาซบหน้าลงกับอกมารดาแล้วเอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่อยากแยกจากท่านแม่ ข้าจะฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยตนเองตามคัมภีร์ที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้“
เด็กชายรองเท้าฟางไม่ได้บอกมารดาว่าถึงแม้คัมภีร์ที่บิดาทิ้งไว้ให้จะสอนพื้นฐานการบำเพ็ญเพียรแต่พลังวิญญาณที่เมืองชั้นนอกนั้นไม่มีจึงเป็นการยากที่จะฝึกตน
สตรีร่างบางเป็นเพียงคนธรรมดาจึงไม่รู้จักพลังวิญญาณว่ามีประโยชน์เพียงใด นางจึงพยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของบุตรชาย
*หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
*หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
ยามจื่อคือ 23.00-01.00 น.
ยามโฉ่วคือ 01.00-03.00 น.
ยามอิ๋นคือ 03.00-05.00 น.
ยามเหม่าคือ 05.00-07.00 น.
ยามเฉินคือ 07.00-09.00 น.
ยามซื่อคือ 09.00-11.00 น.
ยามอู่คือ 11.00-13.00 น.
ยามเว่ยคือ 13.00-15.00 น.
ยามเซินคือ 15.00-17.00 น.
ยามโหย่วคือ 17.00-19.00 น.
ยามซวีคือ 19.00-21.00 น.
ยามไฮ่คือ 21.00-23.00 น.
*หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน
*สิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง
*การบำเพ็ญเพียรแบ่งได้ดังนี้
หลอมลมปราณมีสิบสามระดับขั้น
สร้างรากฐาน แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
ก่อแก่นปราณ แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
ก่อกำเนิด แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
ถอดดวงจิต แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
แยกวิญญาณ แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
ผสานร่าง แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
พิชิตเคราะห์กรรม แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
มหายาน แรกเริ่ม ขั้นกลาง ขั้นสูง
รวมทั้งหมดเก้าขั้น
*ลูกแก้ววิญญาณหนึ่งร้อยเม็ดมีค่าเท่ากับหินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งเม็ด
*หินวิญญาณแบ่งเป็นสี่ระดับ
*หินวิญญาณระดับหนึ่งหนึ่งร้อยก้อน=ระดับสองสิบก้อน=ระดับสามหนึ่งก้อน
*หินวิญญาณระดับหนึ่งพันก้อน=ระดับสองหนึ่งร้อยก้อน=ระดับสามสิบก้อน=ระดับสี่หนึ่งก้อน
