CHAPTER 2 คุณหนูตกอับ
เช้าวันถัดมา แสงแดดแรกของวันยังไม่ทันส่องเต็มฟ้ารถยนต์คันหรูของพรพระพายก็แล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เธอเติบโตมา
หัวใจของเธอหนักอึ้งตลอดทางที่ขับกลับบ้าน และยิ่งหนักขึ้นเมื่อประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่น ท่าทางเงียบงันอย่างคนที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ พรพระพายวางกระเป๋าถือไว้ตรงประตู แล้วรีบเดินเข้าไป
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ” เสียงของเธอแม้จะนิ่ง แต่สั่นไหวอยู่ในทุกถ้อยคำ
“พาย” ผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นมองลูกสาว ชายผู้เคยยิ่งใหญ่มั่นคง และเปี่ยมไปด้วยอำนาจ วันนี้กลับดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“ป๊าขอโทษพายทุกอย่างมันผิดที่ป๊าบริหารพลาดเอง ป๊าไว้ใจผิดคนพลาดเรื่องการลงทุน แล้วตอนนี้บริษัทมันแบกรับหนี้ไว้ไม่ไหวแล้ว” เสียงของเขาแผ่วเบา แต่มากพอจะทำให้หัวใจหญิงสาวเจ็บแปลบ หนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดแต่เกิดขึ้นมานานแล้ว เขาคิดว่าจะสามารถกูวิกฤตกลับมาได้แต่ทุกอย่างกลับแย่ลง
พรพระพายชะงักดวงตาร้อนผ่าว แต่ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลเธอเดินเข้าไปนั่งลงข้างพ่อ ก่อนจะโอบกอดทั้งพ่อและแม่ไว้แน่น
“ไม่เป็นไรค่ะป๊า” เสียงของเธอนุ่มแน่น มั่นคงกว่าทุกครั้ง
“แม่ขอโทษนะลูกที่ต้องทำให้หนูลำบาก” พลอยพระจันทร์รู้ว่าเลี้ยงลูกสาวมาอย่างดี สิ่งที่กลัวต่อจากนี้คือกลัวว่าลูกจะลำบาก
“เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ พายจะไม่หนีพายจะไม่ยอมให้บ้านหลังนี้พัง พายจะหาทางหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้เอง”
ผู้เป็นแม่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะภูมิใจลูกสาวที่ครั้งหนึ่งเธอเคยกังวลว่าเติบโตมาในสังคมฟุ้งเฟ้อ จะเข้าใจความทุกข์ยากได้หรือไม่ แต่วันนี้พรพระพายเข้มแข็งกว่าที่ใครคาดไว้
“ต่อให้เราหาเงินมาคืนเขาชาตินี้ไม่รู้จะหามาได้หรือเปล่า” พัทธ์ธรทำน้าเศร้าเมื่อก่อนเขาคิดว่าเงินแค่นี้นั้นเล็กน้อย พอมาวันนี้มันมากมายเหลือเกิน
“มันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“500 ล้าน”
“...” พรพระพายถึงกับพูดไม่ออกจำนวนนั้นมากมายเหลือเกินต่อให้ทำงานทุกวัน ตลอดทั้งปีก็น่าจะไม่ถึงร้อยล้านด้วยซ้ำไป
“เราหาเงินไม่ได้ในเร็วๆ นี้แน่”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”
พัทธ์ธรมองใบหน้าของลูกสาวเพียงคนเดียวที่หวงแหนที่สุดในชีวิต สิ่งมีค่าที่สุดคือลูกสาว เขารับไม่ได้หากพรพระพายจะตกไปอยู่ในมือของคนไม่รู้จักพอ
“คุณบอกลูกไปสิคะ”
“ป๊ายังบอกอะไรไม่หมดอีกคะ” เธอจับมือพ่อกับแม่ไว้แน่น
“คุณคะ เรายื้อเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” พลอยพระจันทร์เองก็คิดหนักไม่ต่างจากสามี อยากให้ลูกมีทางเดินของตัวเอง
“มีทางเดียวที่เราจะรอด...” เขาเงียบเพราะกำลังทำใจพูดออกไป
“พายยอมช่วยค่ะป๊าพูดมาเลย”
“พายต้องแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนพ่อ เดิมทีเรามีสัญญาการหมั้นหมายกันไว้แล้ว”
พรพระพายตกใจเพื่อนพ่อเธอไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าคนไหน และหมั้นหมายกับใครเธอต้องแต่งงานกับใคร น้ำตาไหลอาบแก้มเพราะการแต่งงานครั้งนี้คือคือการชดใช้หนี้สิน
พัทธ์ธรพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เดิมทีฝั่งนั้นจะมาขอลูกสาวตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยรุ่น แต่เขาขอร้องไว้ก่อนเพราะลูกสาวยังเด็กเกินไป และกลัวว่าฝ่ายนั้นจะดูแลพรพระพายไม่ดี
“เขาอยากให้พายแต่งงานกับลูกชายของเขาเพื่อแลกกับการจะยื่นมือเข้ามาช่วย”
“เขาคือใครคะบอกพายได้ไหม”
“คุณไทเกอร์ อิงปกรณ์ แลงคาสเตอร์”
พรพระพายเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเขาอยู่แต่ไม่เคยเจอหน้าจริงๆ จังๆ รู้ว่าอีกฝ่ายมีลูกชายและลูกสาว ไม่รู้มาก่อนว่าคุณพ่อมีเพื่อน
“แม่ไม่ได้บังคับ แม่อยากให้ลูกเลือกคนรักด้วยตัวเองเดิมทีเขาจะมาสู่ขอลูกตั้งอายุ 18 แต่พ่อกับแม่เลื่อนออกไปก่อน”
พรพระพายได้ยินแบบนั้นก็เงียบไปเธอรู้ว่าที่ผ่านมาพ่อกับแม่รักเขาแค่ไหนไม่งั้นคงพูดเรื่องนี้ออก เพราะพวกท่านไม่เคยบังคับเธอเลย
“พาย...”
“พายขอเวลาคิดก่อนได้ไหมคะ” พูดคุยกับพ่อแม่สักพักจึงขอตัวขึ้นไปพักผ่อน โดยมีผู้จัดการเดินตามขึ้นไปด้วยทันทีที่อยู่ลำพัง จึงร้องไห้ออกมา
“เจ้ลี่คะพายจะทำยังไงดี” คนที่จะต้องแต่งงานด้วยหน้าตาเป็นแบบไหนก็ไม่รู้ กลัวว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี
“พี่พยายามสืบหารูปแล้ว แต่ไม่มีรูปของไทเกอร์เลย เคยได้ยินมาว่าเป็นเจ้าพ่อมาเฟียอยู่ในตลาดมืด เรื่องผู้หญิงไม่ต้องพูดถึง” ลิลลี่พูดตามที่เคยได้ยินมา พ่อหน้าตาแบบไหนลูกก็หน้าตาคล้ายๆ แบบนั้น
“แล้วจะต้องแต่งอย่างเดียวเหรอ”
“เงินเยอะขนาดนั้นพายหาไม่ได้หรอกค่ะ ป๊ารักบ้านนี้รักบริษัทมากแค่ไหน” เธอทำไมถึงไม่เอาดีด้านบริหารธุรกิจ แต่เลือกที่จะใช้หน้าตาหาเงิน
“ก็ต้องแต่งบางทีเขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้”
“พายขอคิดดูก่อนนะคะ”
“เจ้กลับก่อนนะตอนเย็นแวะมารับมีงานอีเว้น 1 ชั่วโมง”
“ขอบคุณเจ้ลี่มากนะคะ”
หลังจากผู้จัดการกลับไปพรพระพายก็อยู่คนเดียวนั่นคือทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ต้องทำไงกับเรื่องนี้ดีเธอรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้บังคับเธอแต่ถ้าเธอไม่ช่วยในเรื่องนี้เลยก็คงเหมือนเป็นลูกอกตัญญู
.
เสียงเพลงบรรเลงคลอภายในงานอีเว้นท์เปิดตัวน้ำหอมแบรนด์หรู
พรพระพายในเดรสสีไข่มุกผ่าเว้าหลังบางเบา ยืนอยู่บนเวทีจัดแสดงสินค้าภายใต้สปอตไลต์ เธอดึงดูดสายตาได้ทุกคู่ ไม่ใช่แค่เพราะความงาม แต่เพราะความมั่นใจในบทบาทของพรีเซนเตอร์ที่ต้องขายน้ำหอมกลิ่นใหม่สำหรับผู้ชายให้หมดภายในคืนนี้
เธอกวาดตามองหาชายหนุ่มที่ดูจะเหมาะกับบททดสอบนี้ ก่อนสายตาจะหยุดลงที่เขา
ชายหนุ่มในชุดสูทดำเรียบหรู แว่นดำซ่อนดวงตาเคร่งขรึม รอบตัวเขามีบอดี้การ์ดติดตามอยู่ไม่ห่าง และทุกก้าวเดินของเขาเงียบ แต่อบอวลไปด้วยแรงกดดัน
พรพระพายก้าวลงจากเวที ก่อนจะยกมือเรียกเขาไว้ด้วยรอยยิ้มเจือกล้า
“คุณคะขอลองเทสต์น้ำหอมกับคุณสักครู่ได้ไหมคะ”เสียงเธอนุ่ม
ชายหนุ่มหยุดเดินหันมาช้าๆ และแม้จะใส่แว่นดำ พรพระพายก็สัมผัสได้ถึงแรงจ้องบางอย่างที่เหมือนจะกวาดประเมินเธอทั้งตัว
หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้ ยกขวดน้ำหอมขึ้นฉีดละอองเบาๆ ลงบนข้อมือของเขา จากนั้นก็โน้มหน้าเข้าไปดมกลิ่นอย่างไม่เก้อเขิน
“กลิ่นนี้เหมาะกับคุณผู้ชายมากค่ะเข้มลึกลับน่าค้นหา และอันตรายนิดๆ” เธอยิ้มดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
“ลองรับไปใช้ดูไหมคะหรือจะซื้อให้หมดเลยก็ได้”
น้ำเสียงของเธอทิ้งท้ายอย่างท้าทาย เจือความหวังไว้ลึกๆ เพราะคืนนี้เธอจำเป็นต้องปิดยอดขายให้หมด
เขากวาดสายตาจ้องมองเธอไม่หลุดภายใต้แว่นกันแดดสีดำ คนที่ถูกจ้องมองกลับไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองทรวงอกที่โผล่พ้นเสื้อออกมาอย่างหยาบโลน
“เอ๊ะ หรือตาบอดมองเห็นไหมคะ” พรพระพายยกมือโบกไปมา เพราะเห็นว่าเขาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทำให้เธอผิดหวังเล็กน้อย
คนที่ถูกหาว่าเป็นคนตาบอดถึงกับอยากจะหักคออีกฝ่าย ลูกน้องที่ได้ยินกลั้นเสียงหัวเราะไว้จนตัวสั่นเทาไปหมด ชายหนุ่มยื่นมือเข้ากระเป๋าเสื้อสูทก่อนจะหยิบแบล็กการ์ดขึ้นมาชู
“เหมา” น้ำเสียงเรียบและหงุดหงิดเล็กน้อย จนทุกคนรอบข้างเงียบกริบ
เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบห้องทันที
“ใครน่ะ”
“เหมาหมด จริงเหรอ?”
“เขาเป็นใคร ทำไมใช้แบล็กการ์ด”
พรพระพายชะงักเล็กน้อย ขณะรับบัตรไว้ในมือหัวใจเธอเต้นแรงไม่ใช่แค่เพราะยอดขาย แต่เพราะแววตาใต้กรอบแว่นดำที่มองเธอมาเมื่อครู่
มันน่ากลัวและในขณะเดียวกันน่าดึงดูดจนเธอไม่อาจละสายตา เขาแค่ส่งรอยยิ้มมุมปากก่อนจะหมุนตัวกลับเดินจากไปช้าๆ พร้อมผู้ติดตาม
“พายผู้ชายคนนั้นใครอ่ะ” ลิลลี่ถามเพราะดูมีมนต์ขลังมาก สะกดทุกสายตาหล่อเท่
“ผู้พิการทางสายตาค่ะคนอะไรจะใส่แว่นดำเดินกลางห้าง”
“เสียดายหน้าตาและความหล่อ”
“พายเหนื่อยแล้วค่ะเรากลับกันดีกว่า”
อีกด้านไทเกอร์ถอดแว่นดำเขวี้ยงดำแบบไม่เสียดายราคา ต่อให้ราคาแพงแค่ไหนเขาก็มีปัญญาซื้อ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจคือเสียงหวานๆ ของอีกฝ่าย
“นายน้อยครับ”
“แม่ง! หาว่ากูเป็นคนตาบอดเอาตาหรือตีนมอง” ไทเกอร์หงุดหงิดฟาดงวงฟาดงา จนลูกน้องต่างพากันเงียบไม่มีใครกล้าปริปากพูด
“คุณหนูอาจจะไม่รู้ก็ได้ครับ”
“ไม่ต้องมาเรียกคุณหนู ยัยเด็กบ้านั่นทำให้กูอับอายมา 2 รอบแล้ว” หากมีครั้งต่อไปอย่าหาว่าเขาไม่เตือน ครั้งแรกว่าอายแล้ว ครั้งนี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายน่าอับอายยิ่งกว่า
“เราจะไปไหนครับ”
“ไปหาพ่อกูมั้ง ไปลากไอ้เหี้ยชาติมากูจะฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆ เอง” แววตาของเขาดุร้ายราวกับเสื้อคลั่ง คนที่ทรยศหักหลังเขาไม่ปล่อยไว้แน่
“พรุ่งนี้นายใหญ่สั่งให้นายน้อยกลับบ้านครับ” พายุพูดตามที่ได้รับคำสั่งมา
“กูไม่กลับไม่ว่าง”
“แต่นายหญิงอัญญาสั่งให้กลับครับ ถ้าไม่กลับจะ...”
“พอ! ไม่ต้องพูด”
ดวงตาของไทเกอร์อ่อนลงทันทีที่ได้ยินชื่อของคนเป็นแม่ ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขากลัวคือ แม่อัญญา พ่อของเขาเก่งแต่ปากเอาเข้าจริงก็หวาดเกรงแม่ไม่ต่างกัน ในบ้านหลังนั้นคนที่มีอำนาจเหนือทุกลมหายใจคือแม่ของเขา
