บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 : สังหรณ์ใจแปลก ๆ

ตอนที่

[5]

สังหรณ์ใจแปลก ๆ

“เจ้าว่าจะขายอะไรนะ”

“ขายน้ำเต้าหู้เจ้าค่ะ” นางไปเดินดูจนทั่วตลาดก็พบว่าไม่มีน้ำเต้าหู้ขายเลย ตลาดเช้าไม่มีน้ำเต้าหู้ได้อย่างไร นอกจากนั้นยังพบอีกว่าถั่วเหลืองมีราคาที่ถูกมาก สามารถเอาเงินไปลงทุนกับอย่างอื่นเช่น น้ำตาลได้ เช่นนั้นทุกอย่างจึงเข้าเค้า ได้ข้อสรุปว่านางจะขายน้ำเต้าหู้ ซึ่งน้ำเต้าหู้ก็ต้องกินคู่กับปาท่องโก๋ แต่ว่านางจะไม่ขายปาท่องโก๋เพราะท่านยายจ้าวนั้นขายแป้งย่าง ซึ่งนางคิดว่าน่าจะกินเข้ากันกับน้ำเต้าหู้เช่นกัน จึงคิดอยากจะขายควบคู่ไปกับท่านยายมากกว่า จะได้ไม่เป็นการแย่งลูกค้ากันอีกทั้งทำให้ทุกคนเห็นว่าหากซื้อคู่กันก็จะยิ่งอร่อย นางลองชิมแป้งย่างท่านยายแล้วก็พบว่าอร่อยไม่น้อย แบบนี้ก็ไม่มีปัญหาใด ๆ

“ข้าจะขายน้ำเต้าหู้เจ้าค่ะ แต่ว่าขอเวลาทดลองทำสักสามวันก่อน หากได้แบบสมบูรณ์แล้วจะเอาไปให้ท่านยายแล้วก็หลิงเออร์ลองชิมนะ

เจ้าคะ”

“ได้ ๆ ข้าเป็นกำลังใจให้เจ้านะเพ่ยเพ่ย”

“ข้า ข้าด้วยขอรับ” อู้หลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เพ่ยเพ่ยก็ยังได้ยิน จึงได้ฉีกยิ้มสดใสให้กับเด็กน้อย

การทำน้ำเต้าหู้นั้นไม่ยากมากนักแต่จะเสียเวลาตรงที่ต้องบดถั่วเหลืองที่แช่น้ำให้ละเอียดก็เท่านั้น แต่โชคดีที่บ้านท่านตาท่านยายมีเครื่องโม่แป้งอยู่ จึงสามารถใช้แทนกันได้ นางเพิ่งไปเจอมันตอนที่ทำความสะอาดบ้านนี่จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้นางมีความคิดที่จะทำน้ำเต้าหู้ขาย

น้ำเต้าหู้ร้อน ๆ หอม ๆ ถูกยกใส่ถังขนาดกลางนำไปส่งให้กับท่านยายจ้าวและอู้หลิงในช่วงเย็นของวันที่สามที่ได้ทดลองทำ ทั้งสองเมื่อได้กินก็ได้แต่เบิกตากว้างขึ้น

“หอมมาก!”

“อร่อยมาก!”

“นี่ต้องขายดีแน่ ๆ” นางจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น

และก็เป็นจริงเช่นนั้น

เพราะเมื่อเพ่ยเพ่ยนำน้ำเต้าหู้ไปขายที่ตลาดเช้าในวันถัดมา ก็มีลูกค้าหลั่งไหลกันเข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก เพียงแค่ขายให้คนที่เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันก็แทบจะไม่พอขายแล้ว เดิมทีพวกเขาเพียงอยากจะสนับสนุนหญิงสาว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าน้ำเต้าหู้ที่ว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้ ดังนั้นเมื่อความต้องการมีมากจึงทำให้เกิดความชุลมุนเล็ก ๆ แต่ท้ายที่สุดเพ่ยเพ่ยก็สามารถจัดการได้ โดยการจำกัดการซื้อต่อคน จะได้ซื้อกันได้อย่างทั่วถึง ทว่าพรุ่งนี้นางจะทำมามากกว่าเดิมสามารถซื้อได้ไม่จำกัด เพียงเท่านั้นทุกคนก็

พยักหน้าเข้าใจ ต่างรอคอยที่จะได้ซื้อมากขึ้นในวันพรุ่งนี้

และที่นางจ้าวคาดไม่ถึงนั่นก็คือแป้งย่างของตนก็ขายดีไม่แพ้กัน เพราะเพ่ยเพ่ยนั้นทำเหมือนว่าร้านค้าทั้งของนางและของตนคือร้านเดียวกัน ทั้งยังเสนอให้ลูกค้าลองชิมแป้งย่างกับน้ำเต้าหู้คู่กัน เมื่อลูกค้าได้ชิมต่างก็ติดใจในความเข้ากันเป็นอย่างมากจึงได้ซื้อทั้งสองอย่างควบคู่กันไปจนของแทบไม่พอขาย หลังจากขายของเสร็จใบหน้าของนางจ้าวจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างปิดไม่มิด แม้กระทั่งเด็กน้อยอู้หลิงที่ไม่รู้สึกหวาดกลัว

เพ่ยเพ่ยอีกต่อไปแล้วยังยิ้มกว้างมองเพ่ยเพ่ยตาเป็นประกาย พี่สาวผู้นี้ไม่ได้เป็นนางยักษ์นางมารเฉกเช่นอดีตแล้ว แต่กลับเป็นราวกับนางเซียนที่มาทำให้ท่านย่าของตนขายของได้ดีขึ้น

หลังจากกลับมาจากตลาดเพ่ยเพ่ยนับเงินที่ได้จากการค้าขายวันแรกด้วยความตื่นตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าแม่ค้าหน้าใหม่จะสามารถหาเงินในวันแรกได้เยอะขนาดนี้ แม้จะต้องตื่นเช้าเพื่อมาเคี่ยวน้ำเต้าหู้ แต่หากได้เงินเยอะขนาดนี้นางก็ไม่คิดว่าเป็นปัญหาอันใด ตอนอยู่ที่โลกก่อนนางก็เอาแต่ทำงานเช่นนี้ กว่าจะเก็บเงินได้แต่ละทียากลำบากนัก พอเก็บเงินจนได้ไปเที่ยวในที่ที่ใฝ่ฝันก็มีเหตุให้เป็นเช่นนั้น เมื่อมีโอกาสมาหาเงินที่โลกนี้และหาได้มากขนาดนี้

เหตุใดนางจะปฏิเสธมันเล่า นางหาใช่คุณหนูอันลู่เพ่ยที่ไม่เคยต้องทำงานหนักเสียหน่อย แค่เรื่องตื่นเช้าไม่เป็นปัญหาอันใดแน่นอน

วันต่อมาเพ่ยเพ่ยต้มน้ำเต้าหู้ไปมากกว่าเดิม และแน่นอนว่าสามารถขายหมดได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขายหมดเร็วกว่าเมื่อวานเสียอีก ด้วย

น้ำเต้าหู้นั้นทั้งอร่อย มีประโยชน์ราคาไม่แพง สามารถกินจนอิ่มท้องได้ ภายในหนึ่งเดือนร้านน้ำเต้าหู้ของเพ่ยเพ่ยก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว

ในตอนเช้าหลายคนล้วนแต่มุ่งหน้ามากินน้ำเต้าหู้กัน บางคนกินแค่รองท้องกับแป้งย่างเพื่อไปกินอย่างอื่นต่อ บางคนก็กินเป็นอาหารเช้าให้เสร็จในคราเดียว นอกจากนั้นร้านบะหมี่ที่อยู่ใกล้กันยังใจดีให้ลูกค้าของเพ่ยเพ่ยและนางจ้าวสามารถมานั่งกินที่ร้านได้หากว่าโต๊ะว่าง ความสัมพันธ์อันดีนี้

เพ่ยเพ่ยจึงแนะนำลูกค้าให้ไปซื้อบะหมี่ไปกินเพิ่มอีกไม่น้อย

อดีตเด็กสาวที่ร้ายกาจบัดนี้มีแต่รอยยิ้มและมิตรไมตรีมอบให้กับทุกคนอย่างถ้วนทั่ว เฉกเช่นเดียวกันกับร้านค้าของนางที่เริ่มกระจายชื่อเสียงไปถ้วนทั่วเช่นกัน แต่เพ่ยเพ่ยอาจจะไม่รู้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่นางขายดีนอกจากรสชาติและราคาแล้วนอกจากนั้นยังมีอย่างอื่นอีก มีหลายคนแอบตั้งฉายาให้กับร้านค้าของหญิงสาวว่าเป็น ร้านน้ำเต้าหู้คนงาม นอกจากจะได้กินน้ำเต้าหู้แสนอร่อยแล้ว ยังได้ยลโฉมแม่ค้าคนงามอีก จะมีอะไรน่าอภิรมย์ไปยิ่งกว่านี้เล่า ชื่อนี้ถูกเรียกไปอย่างต่อ ๆ กันเช่นกันโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

สองเดือนผ่านไป

รู้ตัวอีกทีลูกค้าบุรุษก็แทบจะเบียดเสียดกับลูกค้าสตรีเพื่อยื้อแย่งต่อแถวซื้อน้ำเต้าหู้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพ่ยเพ่ยนั้นไม่คิดอันใดมาก ยิ่งมามากนางก็ได้นับเงินมากเท่านั้น ส่วนผู้ใดจะมาเกี้ยวนางล้วนยังไม่สนใจทั้งสิ้น คิดแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับลูกค้าอย่างอารมณ์ดี

ตำหนักฉือกง พระราชวังแคว้นอวี๋

ฝีเท้าหนักแน่นทว่าใบหน้าเรียบนิ่งกำลังเดินไปตามทางที่ทอดยาวไปจนเกือบสุดสายตา จนเมื่อมาถึงห้องที่มิใช่ว่าผู้ใดก็มาได้เจิ้งกวนโหวจึงได้ผ่อนฝีเท้าลง และเมื่อขันทีหน้าห้องประกาศก้องว่าผู้ใดมา ไม่นานเขาก็ถูกเชื้อเชิญเข้าไปด้านใน

ห้องทรงพระอักษรของหานเจี่ยฮุ่ยฮ่องเต้

เจิ้งซวี่จื่อไม่ได้ตื่นเต้นอันใดเพราะเขามาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ก็คงมีกิจราชการที่จะปรึกษาหารืออีก

ทันทีที่ฮ่องเต้เห็นว่าคนที่ตนรอคอยมาถึงก็ได้แต่วางพู่กันในมือลง

“เจิ้งกวนโหวเป็นอย่างไร สามเดือนผ่านไป ตามหาคนพรากพรหมจรรย์เจอหรือยังเล่า”

“…..” เจิ้งซวี่จื่อมุมปากกระตุก ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็เคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม หากว่าคนตรงหน้าเขามิใช่ฮ่องเต้แล้วละก็…

“อย่ามาคิดที่จะปองร้ายเรานะ!” หานเจี่ยฮุ่ยฮ่องเต้รู้เท่าทันจึงได้รีบดักทางขึ้น เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองนั้นเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมาด้วยกันจนกระทั่งทำงานด้วยกัน แต่ทว่าความสนิทสนมนี้จึงออกจะมากเกินไปบ้าง

“พระองค์คงไม่เรียกกระหม่อมมาเพื่อพูดคุยเรื่องไร้สาระเช่นนี้หรอกกระมัง”

“แหม เจ้าก็ ใจร้อนจริงเชียว” จากนั้นหานเจี่ยฮุ่ยฮ่องเต้ก็รีบปรับ

สีหน้าให้จริงจังหลังจากที่กวนอารมณ์ของพระสหายสนิทได้แล้ว

“สายของเรารายงานว่ามีความเคลื่อนไหวแปลก ๆ แถวเมื่อซานซี อย่างไรเจ้าลองส่งคนไปตรวจสอบดู หรือเจ้าจะไปด้วยตนเองก็ได้ ไม่แน่อาจจะเจอตอใหญ่” พระพักตร์หล่อเหลาของหานเจี่ยฮุ่ยฮ่องเต้ฉายแวว

เจ้าเล่ห์ทว่านัยน์ตากลับลึกล้ำ เจิ้งกวนโหวหรืออีกหน้าที่หนึ่งคือใต้เท้าสำนักตรวจการรับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ จึงได้ยกมือขึ้นประสานก่อนจะกล่าวถ้อยคำหนักแน่น

“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

หลังออกมาจากห้องทรงพระอักษรเจิ้งซวี่จื่อจึงได้เอ่ยกับคนสนิท

“เตรียมตัวให้ดีอีกสามวันพวกเราจะได้เดินทางไปที่เมืองซานซี”

“พระบัญชาของฝ่าบาทหรือขอรับ” หลี่จิ้นปิง ลูกน้องคนสนิทของเจิ้งซวี่จื่อเอ่ยถามขึ้น กระนั้นสีหน้าของเขาดูเหมือนจะมีความแปลกไปเมื่อได้ยินว่าจะต้องไปที่เมืองซานซี

“มีอันใด เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น” เจิ้งจวนโหวจับสีหน้าที่แปลกไปของคนสนิทได้จึงได้เอ่ยถามขึ้น

“เอ่อคือว่า…” น้ำเสียงของหลี่จิ้นปิงเต็มไปด้วยความอึกอัก

“จะพูดดี ๆ หรือต้องรับโทษห้าสิบไม้ก่อนจะพูด”

“พูดแล้วขอรับ!! คือว่าเท่าที่ข้าน้อยจำได้ เมืองซานซีนั้นเป็นเมืองบ้านเกิดของมารดาของฮูหยินขอรับ!”

“ผู้ใดคือฮูหยินกัน!!” เขาบอกเมื่อใดว่าสตรีผู้นั้นจะได้มาเป็นฮูหยิน

ของเขา ยามนี้สีหน้าของเจิ้งกวนโหวเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ หลี่จิ้นปิงเห็นเช่นนั้นจึงได้รีบแก้ไขสถานการณ์

“เอ่อ คุณหนูใหญ่อันลู่เพ่ยน่ะขอรับ ข้าน้อยจำได้ว่าบ้านเดิมของมารดาของคุณหนูใหญ่อยู่ที่เมืองซานซี หมู่บ้านจิ้นเฉิง ไม่แน่ว่า…” หลี่จิ้นปิงกล่าวไม่จบเสียงค่อนขอดของผู้เป็นนายก็ดังขึ้นเสียก่อน

“หึ เจ้าคิดว่านางจะไปหมู่บ้านห่างไกลเช่นนั้นหรือ”

“เจ้าลืมแล้วหรือว่าอันลู่เพ่ยเกลียดที่นั่นอย่างกับอะไรดี นางไม่มีทางไปที่ที่นางเกลียดแน่นอน” เขาก็พอได้ยินเรื่องนี้มาไม่น้อย

ที่หมู่บ้านจิ้นเฉิง

“ฮัดเช้ย!!”

นี่นางจามหลายรอบแล้วนะ! เพ่ยเพ่ยยามนี้ถูจมูกตนเองจนแดงไปหมด เพราะจู่ ๆ ก็ดันจามจนผิดปกติ สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าที่ยามนี้สลัวมีแต่หมู่มวลนกที่บินแตกตื่นไปมาเต็มไปหมด

เอ๋ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยแฮะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel