ตอนที่ 6 : เอาตัวรอดในยุคโบราณ 1/1
ตอนที่
[4]
เอาตัวรอดในยุคโบราณ
นางจ้าวมีสีหน้าฉงนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อนึกบางอย่างออกก็ได้แต่คิดในใจ
นั่นสินะ ท่านเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร…
“ว่าแต่…. คุณหนูไม่มีบ่าวรับใช้มาด้วยหรือ” จ้าวชุนแปลกใจไม่น้อยเสนาบดีอันปล่อยให้บุตรสาวกลับมาที่นี่โดยที่ไม่มีบ่าวรับใช้ได้อย่างไร และที่แปลกไปกว่านั้นคือสตรีตรงหน้า นางกลับมาที่นี่ทำไม ถ้อยคำล่าสุดที่อีกฝ่ายกล่าวเมื่อครั้งนั้นคือจะไม่กลับมาเหยียบหมู่บ้านห่างไกลความเจริญเช่นนี้อีก
“ท่านยาย ที่จริงข้ามาที่นี่เพียงผู้เดียว” เพ่ยเพ่ยเผยสีหน้าลำบากใจ
“อย่างไรไปคุยกันที่บ้านข้าดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะเล่าให้ฟัง”
.
.
.
“ว่าอย่างไรนะ จะมาอยู่ที่นี่ผู้เดียวหรือ!”
หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
เพ่ยเพ่ยบอกเพียงว่านางกระทำผิดบางอย่างแต่มิได้ไปฆ่าคนแต่อย่างใด จึงอยากกลับมาสงบจิตใจที่บ้านท่านตาท่านยาย แต่กระนั้นก็อาจจะไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงอีก โดยคิดว่าจะเริ่มต้นใหม่ที่นี่
นางจ้าวรู้ดีว่าเด็กสาวตรงหน้าคงลำบากใจที่จะเอ่ยถึงเรื่องราวจึงไม่ได้เค้นถามลึกลงไป รับฟังแค่ที่อีกฝ่ายเล่าและคิดตามไปด้วย ที่ที่
อันลู่เพ่ยเลือกมาพักใจหลังจากเกิดเรื่องคือบ้านของสหาย นางจ้าวจึงคิดว่าเด็กสาวคนนี้คงมิได้รังเกียจที่นี่เฉกเช่นยามเป็นเด็กแล้ว
“แล้วคุณหนูอยากจะให้ข้าช่วยเหลืออันใด”
“ท่านยายอย่าเรียกข้าว่าเช่นนั้นเลย เรียกว่าเพ่ยเพ่ยเถอะนะเจ้าคะ และต่อไปท่านยายก็คิดว่าข้าเป็นลูกหลานอีกคนของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
มิกล้า นางจ้าวคิดในใจ แต่ก่อนนางก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นการแบ่งแยกเช่นนั้นจึงไม่กล้าคิดสนิทสนมกับอีกฝ่ายอีก
“นะเจ้าคะ ท่านยาย ข้าอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียว หากท่านยายไม่นับญาติกับข้า ข้าก็ไม่มีผู้ใดแล้ว….” ทว่าเมื่อถูกเพ่ยเพ่ยอออดอ้อนด้วยท่าทางน่ารัก นางจ้าวก็ใจอ่อนยวบ พยักหน้าตกลงอย่างไม่รู้ตัว
“เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร” พร้อมกันนั้นเพ่ยเพ่ยก็ย่อตัวลงเพื่อพูดคุยกับเด็กน้อยที่หลบอยู่ด้านหลังท่านย่าของตนโดยไม่พูดอะไรมาตั้งแต่ต้น
อู้หลิง หันมองท่านย่าของตนเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร นางจ้าวจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของหลานพลางพยักหน้า ราวกับว่าตอบพี่สาวไปเถอะ
“อะ อู้หลิง ขอ รับ” กล่าวแล้วก็รีบไปหลบหลังท่านย่าเช่นเดิม
เพ่ยเพ่ยจึงแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“อู้หลิงหากแต่ก่อนพี่สาวเคยทำอันใดไม่ดีไว้กับเจ้า พี่สาวขอโทษนะ แต่ตอนนี้พี่สาวเป็นคนดีแล้ว หลิงเออร์ให้อภัยพี่สาวได้หรือไม่”
เมื่อเห็นท่าทางใจดีและอ่อนโยนของคนตรงหน้า เด็กน้อยก็ชะงักไป ก่อนจะเริ่มคิดว่า พี่สาวก็ดูแตกต่างจากเมื่อก่อนจริง ๆ เขาจึงค่อย ๆ ขยับกายจากด้านหลังของนางจ้าว เพื่อสบตากับเพ่ยเพ่ยอีกครั้ง เพ่ยเพ่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปหยิบขนมที่ซื้อมาเพื่อส่งให้กับเด็กน้อย
“นี่ขนม ข้าซื้อมาจากตลาดในตำบลจิ้นจง ข้าให้เจ้า” เด็กน้อยที่เห็นว่าเป็นขนมชนิดใดดวงตาก็เป็นประกาย เพ่ยเพ่ยจึงยื่นไปตรงหน้าเขายิ่งขึ้นไปอีก
“หลิงเออร์ รับขนมจากพี่สาวสิ” นางจ้าวดันหลังหลานชายเล็กน้อย มิเช่นนั้นเขาคงเอาแต่มองไม่กล้ารับไป
อู้หลิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอื้อมมือไปรับทันที เพ่ยเพ่ยจึงยีศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันมากล่าวกับนางจ้าวเช่นเดิม
“ต่อจากนี้ต้องรบกวนท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้เลย ต่อไปแม่หนูเพ่ยเพ่ยอยากให้ข้าช่วยอะไรก็บอกได้”
“ได้เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านยายสอนข้าจุดไฟเพื่อทำอาหารได้หรือไม่เจ้าคะ” เพ่ยเพ่ยกล่าวแล้วก็เกาจมูกด้วยความเก้อเขิน
จากนั้นจึงเป็นบทเรียนการจุดไฟในยุคโบราณ ซึ่งบอกเลยว่าไม่ง่ายและต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก
ทว่าโชคดีที่มีตัวช่วย หรือสิ่งที่เรียกว่าตะบันไฟ ที่มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ เมื่อเปิดจุกออก ต้องใช้ลมในการเป่าให้ติด ตะบันไฟสำหรับคนมีฐานะก็จะเป่าแล้วจุดติดไฟง่าย หากเป็นแบบที่ชาวบ้านธรรมดาสามารถซื้อหามาใช้ได้นั้นที่ทำจากกระดาษธรรมดาก็ต้องใช้เวลาเป่ามากหน่อยกว่าที่ไฟจะติด อย่างเมื่อครู่ที่นางเป่าจนหน้าเขียว กว่าที่มันจะติด
“ไหวหรือไม่เพ่ยเพ่ย” นางจ้าวเอ่ยถามหลานสาวของสหายด้วยความห่วงใย ท่าทางของอันลู่เพ่ยคล้ายจะเป็นลมไปทุกขณะ
