บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 : ความร้ายกาจช่างเดินทางไกลนัก 1/2

ตอนที่

[3]

ความร้ายกาจช่างเดินทางไกลนัก

เพราะไม่มีอุปกรณ์ช่วยใด ๆ ไม่มีไฟแช็กหรือเชื้อเพลิงอะไรเลย นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะต้องจุดไฟยังไง ถ้าเป็นในละครสมัยก่อนก็ต้องเอาหินมาเคาะใส่กันใช่หรือไม่ แล้วใครจะทำเป็นเล่า?

เพ่ยเพ่ยครุ่นคิดอยู่นานทะเลาะกับตัวเองก็หลายที สุดท้ายนางจึงตัดสินใจว่าจะออกไปหาซื้อของกินแถว ๆ นี้ดู ดีว่ายามนี้ก็เป็นยามเช้า น่าจะมีตลาดเช้าในหมู่บ้านอยู่บ้างกระมัง คิดได้ดังนั้นจึงรีบล้างหน้าล้างตารวมถึงแต่งกายให้เรียบร้อย จากนั้นสองขาเรียวก็ออกจากบ้านเพื่อที่จะออกไปสำรวจด้านนอกทันที

มือบางลูบไปที่ท้องของตนเอง ตอนนี้นางหิวมากจริง ๆ สายตาสอดส่ายหาสิ่งที่ต้องการระหว่างที่ก้าวเท้าเดินไป ทว่าเมื่อเดินออกไปนอกจากตัวบ้าน และเริ่มพบบ้านเรือนของชาวบ้าน นางก็ต้องพบกับสายตาของใครหลายคนที่มองมาด้วยสายตาแปลก ๆ บ้างก็เป็นความสงสัยใคร่รู้ บ้างก็มองมาอย่างไม่เป็นมิตร แต่นางก็พยายามที่จะไม่สนใจ

ตอนนี้นางมองหาแค่แหล่งอาหารเท่านั้น

จวบจนกระทั่งเดินออกจากบ้านไปเรื่อย ๆ จึงพบว่ามีสิ่งที่นางต้องการนั้นอยู่ไม่ไกลจากครรลองสายตา

มีตลาด

มีตลาดจริง ๆ ด้วย!

ไม่น่าเชื่อว่าที่หน้าหมู่บ้านจะมีตลาดที่มีขนาดใหญ่ไม่น้อยคล้ายว่าไม่ใช่แค่เป็นการทำการค้าในหมู่บ้านเท่านั้นแต่เหมือนเป็นศูนย์รวมของการค้าหลาย ๆ หมู่บ้านเลยก็ว่าได้

และสิ่งที่เพ่ยเพ่ยคิดนั้นก็เป็นเรื่องจริง ที่หน้าหมู่บ้านจิ้นเฉิงนี้จะมีตลาดในทุก ๆ เช้าซึ่งจะมีชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านและหมู่บ้านข้างเคียงนำสินค้ามาขายกันอย่างคับคั่ง เนื่องจากว่าเส้นทางหน้าหมู่บ้านนี้เป็นเส้นทางผ่านเพื่อที่สามารถเดินทางไปยังเมืองหลายเมืองได้ เมื่อมีคนเดินทางมากจึงทำให้ที่นี่คึกคักไม่น้อย เพ่ยเพ่ยค่อย ๆ ใช้สายตากวาดมองตลาดแห่งนี้ด้วยความสนใจ สายตาสอดส่องหาอาหารที่ตนอยากจะกินซึ่งมันก็ดูเหมือนจะละลานตาไปหมด สุดท้ายนางเลือกที่จะกินบะหมี่เพราะกลิ่นของน้ำแกงนั้นลอยเตะจมูกจนจมูกบานไปหมด

หอมมากจริง ๆ

แม้ว่าจะมีคนมองมาที่นางด้วยความสงสัยบ้างซุบซิบกันแต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาพูดคุยหรือสอบถามอะไรกับนาง นางจึงนั่งลงกินบะหมี่ด้วยความสบายใจ ในตอนที่กินบะหมี่จนใกล้จะแล้วเสร็จนั้น สายตาของเพ่ยเพ่ยก็หันไปเห็นร้านที่อยู่ไม่ไกลกัน นางไม่ได้สนใจร้านนั้นแต่สนใจสายตาที่มองจากร้านนั้นต่างหาก เป็นเด็กชายผู้หนึ่งที่มีหน้าตาน่ารักทว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวยามที่มองมาที่นาง ยิ่งยามที่สายตาของเราสบประสานกันเขายิ่งถดกายราวกับกลัวหนักหนา

เราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ทำไมต้องทำท่าทางหวาดกลัวกันเช่นนั้นด้วยเล่า เพ่ยเพ่ยคิดอย่างสงสัย หญิงสาวได้แต่ส่งรอยยิ้มให้กับเด็กน้อยผู้นั้นไปเพื่อบอกเขาว่านางเป็นมิตรนะ ทว่าเขากลับรีบหลบไปอยู่ที่ด้านหลังของสตรี

ผู้หนึ่งซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นท่านย่าหรือท่านยายของเขากระมังทันที

เพ่ยเพ่ยส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู สายตาเลื่อนจากเด็กน้อยขึ้นมองที่สตรีชรา ทว่าเมื่อนางได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ในตอนนั้นเองในความทรงจำก็ปรากฏภาพภาพหนึ่งขึ้นมาทันที

นี่คือท่านยายจ้าว นามจ้าวชุนที่เป็นสหายของท่านยายอันลู่เพ่ยนี่นา

เพ่ยเพ่ยค่อย ๆ แย้มรอยยิ้มขึ้นอย่างมีความหวัง หญิงสาวรอจนกระทั่งตลาดวาย ในตอนที่ทุกคนเก็บของเพื่อเตรียมจะกลับบ้าน เป้าหมายของเพ่ยเพ่ยก็คือท่านยายจ้าวสหายของท่านยายผู้นั้น

“ท่านยายเจ้าคะ” เพ่ยเพ่ยไม่รอช้ารีบเรียกหญิงชราในระหว่างที่ทั้งสองย่าหลานจับจูงกันเพื่อที่จะเดินกลับบ้าน จ้าวชุนหันมองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยใบหน้าฉงน ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้จึงค่อย ๆ ถอยกายออกมา

ในตอนนั้นเองเพ่ยเพ่ยก็นึกออกแล้วว่าเป็นเพราะอันใดทุกคนในหมู่บ้านจึงดูไม่ค่อยอยากเข้าใกล้นางนัก นั่นก็เพราะเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว….

อันลู่เพ่ยได้มาบ้านของท่านตาท่านยายเป็นครั้งแรก เนื่องจากท่านตาท่านยายได้เขียนไปหาท่านพ่อว่าครบรอบอายุหกสิบปีของทั้งสองจึงอยากให้พาหลานสาวเพียงคนเดียวมาเที่ยวหาพวกท่านบ้าง ท่านพ่อจึงได้พานางมาด้วย แต่ปรากฏว่าอันลู่เพ่ยนั้นรังเกียจหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้มาก ในวันหนึ่งหญิงสาวก็แสดงอิทธิฤทธิ์ด่ากราดชาวบ้านที่มาร่วมงานว่าเป็นชาวบ้านไร้การศึกษา และอีกมากมายที่แสดงถึงความร้ายกาจ ชาวบ้านหลายคนที่ไม่ทันได้ตั้งรับกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ได้แต่ผงะ

เพียงเพราะพวกเขาเพียงแค่สนใจที่มีคุณหนูสูงศักดิ์มาที่หมู่บ้านจึงได้อยากผูกมิตรและฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหลวงว่าเป็นอย่างไร ทว่าการกระทำของอันลู่เพ่ยนี้ทำให้ความคิดพวกเขาเปลี่ยนไป และเรื่องนี้กลายเป็นที่กล่าวขานกันไปในหมู่ชาวบ้าน กล่าวถึงหลานสาวของผู้นำหมู่บ้านที่มีท่าทางรังเกียจผู้อื่น แม้กระทั่งท่านตาท่านยายของตนเองอันลู่เพ่ยก็ยังแสดงท่าทีรังเกียจและไม่ไว้หน้า นับว่าไม่น่าคบหานัก

ไกลถึงขนาดนี้ อันลู่เพ่ยก็ยังมาแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ นี่มันเกินคนจริง ๆ เพ่ยเพ่ยคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะ

ช่างทำให้คนอื่นลำบากจริง ๆ

“ท่านยายเจ้าคะ ก่อนอื่นข้าต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนที่เคยทำไม่ดีกับท่าน แต่ตอนนี้ข้าคงต้องขอความช่วยเหลือท่านแล้วเจ้าค่ะ” อันดับแรกต้องรีบขอโทษก่อน ท่านยายจ้าวก็คือหนึ่งในผู้ที่ถูก

อันลู่เพ่ยด่ากราด แม้แต่เด็กน้อยที่อยู่ข้างท่านยาย จำไม่ได้ว่าชื่อว่าอันใด ในตอนนั้นเขาน่าจะสามหนาวกระมัง ยังไม่รอดพ้นจากความร้ายกาจของ

อันลู่เพ่ย นี่คงจะฝังใจมาก ตอนนี้เขาน่าจะสิบหนาวแล้ว แต่ท่าทางหวาดกลัวนี้ยังไม่หายไปคงเพราะต้องจำได้เป็นแน่

นางจ้าวมองเห็นเด็กสาวที่ดูแตกต่างจากเมื่อหลายปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่ดูร้ายกาจเฉกเช่นในอดีตแล้ว นัยน์ตาของหญิงชราอ่อนลงไม่น้อย เวลาผ่านไปก็อาจจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงได้ ไม่แน่ว่าเด็กสาวคนนี้อาจจะไม่ได้ร้ายกาจเฉกเช่นในอดีตแล้วก็เป็นได้ หญิงชราจึงวางของที่ถือเอาไว้ลง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แม่หนูมีอันใดให้ข้าช่วยหรือ”

สำเร็จแล้ว!

เพ่ยเพ่ยเผยรอยยิ้มขึ้น ก่อนจะถูมือไปมา

“คือว่า…ข้าจุดไฟไม่เป็นเจ้าค่ะ ท่านยายช่วยสอนข้าจุดได้หรือไม่เจ้าคะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel