ตอนที่ 4 : ความร้ายกาจช่างเดินทางไกลนัก 1/1
ตอนที่
[3]
ความร้ายกาจช่างเดินทางไกลนัก
หลังจากที่ตระกูลอันกลับไป ตระกูลเจิ้งก็ได้หามีความสงบสุขไม่เมื่อเจิ้งกวนโหวกลับเข้ามาที่ห้องนอนส่วนตัวของตนก็พบว่าเงินที่ตนวางเอาไว้จำนวนไม่น้อยนั้นหายไป เมื่อสอบถามจากคนสนิทก็ไม่มีผู้ใดรู้ถึงเงินที่หายไป สืบสาวไปก็ไม่พบ เพราะไม่มีผู้ใดได้เข้ามาที่เรือนนอนของเขาอีก ดังนั้นจึงคิดได้อย่างเดียวว่าต้องเป็นอันลู่เพ่ยที่ฉกชิงไปเป็นแน่
สตรีผู้นั้นนอกจากทำเรื่องเลวทรามกับเขาแล้วยังคิดจะเป็นโจรขโมยเบี้ยอีกหรือ หนำซ้ำเมื่อกระทำผิดแล้วยังหนีไปซึ่ง ๆ หน้าอีก คนเช่นนี้สมควรที่จะได้รับบทเรียนอะไรให้สาสมหรือไม่ แม้ว่าตระกูลอันจะเข้ามาขอโทษพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างในสิ่งที่บุตรสาวของตนกระทำแล้ว อีกทั้งไม่ได้ถามหาความรับผิดชอบดังเช่นที่หลาย ๆ ตระกูลมักจะถามหาเมื่อบุตรสาวสูญเสียสิ่งล้ำค่าให้กับบุรุษผู้หนึ่งไป โดยที่ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรอย่างไรฝ่ายบุรุษก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แต่ตระกูลอันนั้นกลับขอโทษและรับปากว่าจะนำตัวอันลู่เพ่ยมาขอโทษพวกเขาอีก
ราวกับรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวตนเองเป็นเช่นไร
จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร เพราะเสนาบดีอันนั้นได้สอบถามสาวใช้คนสนิทของอันลู่เพ่ยแล้วว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้น อันลู่เพ่ยถึงกับวางแผนทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ สุดท้ายจึงได้บากหน้ามาขอโทษเจิ้งกวนโหวอย่างไรเล่า
ด้านเจิ้งกวนโหวครั้นใบหน้าได้รูปดวงตาคมเข้มนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ สันกรามก็ขบแน่นเข้าด้วยกัน เมื่อคืนนี้เป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดในชีวิตของเขา การสิ้นสติและทำในสิ่งที่ขาดการยั้งคิดกับสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนั้น….
“จื่อเออร์ เจ้าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี” อดีตเจิ้งกวนโหวฮูหยินหรือ
ซูจางเจี่ยเอ่ยถามบุตรชายสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน เรื่องเมื่อคืนนี้นับเป็นเรื่องใหญ่แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้เรื่องยกเว้นก็แต่บุตรสาวคนเล็กเท่านั้น ที่จู่ ๆ ก็พบความผิดปกติและสุดท้ายก็ได้พบภาพที่ไม่น่าอภิรมย์เช่นนั้น
“สตรีเช่นนั้นหนีไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีหรือเจ้าคะท่านแม่ พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอันใด” เจิ้งซวี่จิ่วรีบเอ่ยขึ้น นางมิปรารถนาให้พี่ชายต้องลงเอยกับคนอย่างอันลู่เพ่ย
“แต่เราไม่รู้ว่าที่อันลู่เพ่ยหนีไปนั้นหนีไปเพราะอะไรและจะกลับมาอีกหรือไม่ ไม่สิ นางต้องกลับมาอยู่แล้ว เพราะบ้านนางอยู่ที่นี่ และหากนางกลับมาแล้วเปิดเผยเรื่องเมื่อคืนนี้เล่า” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“หากนางกล้าก็ลองดู!” เสียงดุดันพูดขึ้นสายตาฉายความอันตรายเต็มสิบส่วน
หากอันลู่เพ่ยกล้ามาทำให้เขาเสียหาย ก็ลองดูว่าการอยู่ไม่สู้ตายนั้นเป็นอย่างไร!
.
.
.
.
จู่ ๆ ทำไมก็ขนลุกเนี่ย
เพ่ยเพ่ยคิดแล้วก็ลูบขนแขนของตัวเองที่ตั้งชันขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุก่อนที่จะส่ายหัวแล้วเตรียมเสื้อผ้าเพื่อที่จะไปอาบน้ำชำระกาย นางได้ทำความสะอาดในส่วนของห้องนอนคร่าว ๆ แล้ว กะว่าหลังจากอาบน้ำและกินอะไรที่ซื้อมาเพิ่มพลังสักหน่อยแล้วก็จะนอนพักเอาแรง ไว้ตื่นมาค่อยมาคิดดูว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ตอนนี้ต้องขออาบน้ำก่อนเพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่เกิดเหตุการณ์นั้น ตัวที่เหนียวเหนอะหนะก็ไม่ทันจะได้ชำระกายก็ต้องรีบหนีออกมาเสียแล้ว
คิดแล้วใบหน้างามแดงก่ำขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเขินอายหรือความโกรธกันแน่ที่ตื่นมาอีกทีก็มีสามีแล้วเสียอย่างนั้น
จะว่าสามีก็ไม่ถูกเพราะเสร็จกิจแล้วก็จบกันเช่นนั้นเรียกว่าความสัมพันธ์แบบคืนเดียวจบก็แล้วกัน เพ่ยเพ่ยคิดอย่างง่าย ๆ ทว่าในใจนั้นก็มีความขัดแย้งหลายอย่าง ตอนอยู่ที่โลกก่อนก็หาได้เคยมีความสัมพันธ์แบบนี้กับผู้ใด พอจะมีครั้งแรกดันมามีในร่างคนอื่น ไม่พอยังเป็นการที่บังคับขืนใจผู้อื่นอีก
นี่มันบ้าไปกันหมดแล้ว
หลังจากที่อาบน้ำเพื่อชำระกายและดับความฟุ้งซ่านเรียบร้อยแล้วรวมถึงหาอะไรรองท้องจนเต็ม หนังตาของเพ่ยเพ่ยก็แทบจะปิดลงทุกชั่วขณะ นางเหนื่อยมากจริง ๆ หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะนอนพักเอาแรงเสียก่อน ในบ้านของท่านตาท่านยายนี้มีห้องนอนทั้งหมดสามห้องนอนนางจึงเลือกนอนห้องที่ใหญ่ที่สุดเพราะจะได้สะดวกสบายในการนอนและจัดเก็บสิ่งของ คิดแล้วก็นำฟูกที่ซื้อมาใหม่ปูลงไปก่อนตามด้วยผ้าห่มที่ซื้อมาใหม่เช่นกัน จากนั้นร่างของหญิงสาวก็ทิ้งตัวลงและหลับใหลไปพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งคืน
ใครจะคิดว่าเพ่ยเพ่ยนั้นจะนอนหลับไปแบบข้ามวันข้ามคืนตื่นมาอีกทีก็เป็นเช้าวันใหม่เสียแล้ว ทว่าเมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นมาปัญหาที่พบก็คือนางหิวมากและขนมแป้งย่างที่ซื้อและกินไปเมื่อวานนี้นั้นก็ย่อยไปหมดแล้ว
เพ่ยเพ่ยจึงคิดว่าจะทำอาหารกินแบบง่าย ๆ หญิงสาวเดินไปที่ห้องครัวที่มีขนาดกลาง แล้วมองหาว่าจะต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก
ดูเหมือนว่าจะต้องจุดไฟใช่หรือไม่ หากเป็นโดยปกติแล้วมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เมื่อมาอยู่ในยุคโบราณนางกลับพบปัญหาเข้าจัง ๆ นั่นก็คือ นางจุดไฟในยุคโบราณไม่เป็น
“…..”
