บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 ชีวิตยังมีความหวัง

ณ เรือนรับรองของจวนตระกูลฟู่ จางกงจู่พักผ่อน นั่งฟังลูกสะใภ้คนโตปรึกษางานศพของบุตรสาวและบุตรเขยของพระนาง ร่วมกับฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองตระกูลฟู่

เหตุผลข้อสำคัญที่พระนางยินยอมให้บุตรสาวสุดที่รักแต่งงานกับฟู่ซานหลาง เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ นางมาจากตระกูลบัณฑิตตระกูลอวี้ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและจิตใจกว้างขวาง ไม่ข่มเหงรังแกลูกสะใภ้ และน่าจะยอมรับการเป็นทหารของบุตรสาวได้

อีกข้อที่สำคัญก็คือลูกสะใภ้ทั้งสองคนของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ ต้องยอมรับว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่เลือกสะใภ้มาได้ดีมาก มีความสามารถ จิตใจไม่คับแคบ และกาลเวลาที่ผ่านมาเป็นการพิสูจน์ว่าพระนางคิดไม่ผิด พวกนางดีต่อบุตรสาวของพระนางมาก รวมไปถึงหลานอีกสองคนของพระนางด้วย

ผิดกับสะใภ้รองตระกูลตู้ของพระนาง แค่คิดถึงฮูหยินรองของจวนจงอู่โหว พระนางต้องถอนพระทัยด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม พระนางนั่งอยู่ในภวังค์ความคิด ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีบ่าวเข้ามาแจ้งข่าวว่า ท่านจงอู่โหวและซื่อจื่อจวนโหวมาที่เรือนหลัก สั่งให้เชิญเสด็จจางกงจู่ไปเรือนหลัก รวมทั้งฮูหยินทั้งสามคนด้วย เพราะมีข่าวสารสำคัญมาแจ้ง พระนางมองหน้าลูกสะใภ้และฮูหยินทั้งสองคนของตระกูลฟู่ ก่อนจะรับคำเชิญ

จางกงจู่ระหว่างเสด็จไปที่เรือนหลักมองเห็นริ้วผ้าขาวไว้ทุกข์ที่แขวนตกแต่งเอาไว้ทั่วทั้งจวน ภาพนี้ทำให้จิตใจพลันรู้สึกเศร้าโศกเพิ่มขึ้นมาและคิดได้ว่าผู้เป็นสามีคงจะมาแจ้งข่าวเรื่องการรับศพ และกำหนดการที่ศพจะมาถึงเมืองหลวง

จางกงจู่เซียวจื่อเหยียนทรงถอนพระทัยหนักๆ พระนางเคยผ่านความสูญเสียมาหลายครั้ง พี่น้องล้มตายจากการแย่งชิงบัลลังค์ บุตรชายสองคนของพระนางที่เสียชีวิตไปแล้ว

แต่คราวนี้หนักหนากว่าทุกครั้ง เนื่องจากพระนางมีบุตรสาวเพียงคนเดียว การสูญเสียครั้งนี้ทำลายทั้งสุขภาพกายและใจ ทำให้พระนางดูแก่ชราลงมากเพียงข้ามคืน คนหัวข่าวต้องมาทำศพคนหัวดำ เรื่องนี้ทำให้จิตใจเศร้าหมองเป็นอย่างยิ่ง ที่พระนางเดินทางมาจวนตระกูลฟู่ครั้งนี้เพราะความเจ็บป่วยของหลานสาวเพียงคนเดียว นางจึงฝืนสังขารมาเพราะไม่อาจจะวางพระทัยได้ลง จึงอยากจะมาเยี่ยมหลานสาวด้วยตัวเอง

เมื่อจางกงจู่เสด็จมาถึงเรือนหลัก พระนางมองเห็นสามีร่างสูงใหญ่แผ่นหลังเริ่มงองุ้มลงมา ผมขาวโพลน ดูแก่ชรากว่าแต่ก่อนมากเช่นกัน แต่ตู้หลินซานยังคงแสดงรัศมีของผู้เป็นจอมทัพเอาไว้ ปีนี้จงอู่โหว ตู้หลินซาน มีอายุ65 ปี แต่สำหรับพระนางเขายังคงดูโดดเด่นมากที่สุด ต่อให้มีผู้คนมากมายพระนางยังคงมองเห็นสามีก่อนผู้ใด

จางกงจู่เสด็จมาถึงที่นี่แล้วทุกคนต่างรีบลุกขึ้รยืนจากเก้าอี้ ก้มศีรษะค้อมเพียงครึ่งเพื่อรับเสด็จพระนาง รวมไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ด้วย พระนางจึงรีบเดินไปช่วยประคองพร้อมทั้งจับมือฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ดึงอีกฝ่ายไปนั่งที่เก้าอี้ประธานด้วยกัน

“อะไรกัน ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ เรื่องมารยาทพิธีการอะไรนั้นก็ช่างมันเถอะ พี่สาวก็จริงๆ เลย เราเคยบอกท่านตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องมากพิธี เราไม่ค่อยกล้ามาเยี่ยมท่านพี่ที่จวนนี้บ่อยๆ ก็เพราะเกรงใจความมากพิธีของท่านนี่ล่ะ พลอยทำให้ผู้เยาว์ต้องลำบากตามไปด้วย”

“หม่อมฉันขอบพระทัยจางกงจู่แล้วเพคะที่มีพระเมตตาต่อหม่อมฉันไม่เคยเปลี่ยน การคำนับจางกงจู่ไม่ใช่เรื่องลำบากที่ใด พระองค์อย่าทรงคิดมากเลย”

ด้วยความรักษาธรรมเนียมฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ยอมผ่อนปรนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เก้าอี้ประธานเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายพระนางก็ยอมตามใจฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ไม่ดึงดันอีก จึงนั่งไปที่เก้าอี้ประธานด้วยท่วงท่าสง่างาม

“มีข่าวอันใดหรือ ตกลงซิวเซิงไปรับศพเรียบร้อยไหม แล้วกำหนดการมีอย่างไรบ้าง” จางกงจู่ทรงตรัสถามตู้หลินซานผู้เป็นสามี โดยซิวเซิงที่พระนางเอ่ยถึง คือบุตรชายคนรองของพระนาง

ตู้ซิวเซิง ดำรงตำแหน่งแม่ทัพพิชิตชายแดนคอยเฝ้าชายแดนทางเหนือ ท่านจงอู่โหว ผู้ไม่สนพิธีการใดๆ เดินไปนั่งข้างๆ จางกงจู่ ก่อนจิบชาอย่างใจเย็น

“พระมารดา มีสารจากจิ้นอ๋องแจ้งมาว่ายังหาศพของน้องหญิงและน้องเขยไม่พบ”

“อะไรกันนี่ก็ผ่านมาสองถึงสามวันแล้ว ทำไมจึงหาไม่พบเล่า”

“เหตุการณ์คราวนี้มีทหารล้มตายมากมายแท่านอ๋องจิ้นทรงเดินทางขึ้นไปจัดการด้วยตนเอง ข่าวที่ข้าได้มาท่านอ๋องจิ้นส่งสารเมื่อวานเร่งม้าเร็วมาส่ง ทรงแจ้งว่าพิธีศพให้ชะลอไว้ก่อน”

“เหตุใดต้องชะลอเอาไว้ก่อน หรือข่าวก่อนหน้านี้มีอะไรผิดพลาด” เสียงฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่เอ่ยขึ้นแบบมีความหวัง

“ตายต้องเห็นศพ ไม่เห็นศพยังไม่นับว่าตาย เจ้ารองไม่ค่อยรอบคอบสักเท่าใด พรุ่งนี้ข้าจะให้ตู้ซิวเหยียนลาพักงานกับราชสำนักแล้วติดตามไปหาเพิ่มอีกหนึ่งคน เรื่องจดหมายลา คงต้องรบกวนท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้ว” ท่านจงอู่โหวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง ตู้ซิวเหยียนที่ท่านโหวเอ่ยถึงเป็นนามของซื่อจื่อจวนจงอู่โหว บุตรชายคนโตของจางกงจู่เซียวจื่อเหยียนและตู้หลินซาน

“เรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่ของข้าเองขอรับ ส่วนเรื่องซานหลางและน้องสะใภ้สาม ข้าคงต้องรบกวนซื่อจื่อจวนโหว แล้ว” ฟู่ต้าหลาง นายท่านใหญ่ผู้มีตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบรับคำขอจากอีกฝ่ายด้วยความสุขุม

“หากจวนเราจัดพิธีศพ ภายหลังคนกลับมาได้ อาจจะมีคนทูลฟ้องฝ่าบาทว่าหลอกลวงเบื้องสูง หากเป็นอย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน” ฟู่อีหลาง นายท่านรองตระกูลฟู่เอ่ยขึ้นพร้อมเช็ดเหงื่อข้างขมับ

“ข้าคงจะต้องไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี อย่างไรเสีย ได้คนคืนกลับมาย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด ฟู่ต้าหลาง ข้าต้องรบกวนท่านหาสถานที่ให้ข้าเขียนจดหมายเสียแล้ว เพราะข้าจะรีบออกเดินทางโดยทันที ข้าเร่งมาเยือนที่นี่เพื่อมาแจ้งข่าวสำคัญนี้ให้พวกท่านรับรู้เสียก่อน หากควบม้าเร็วโดยไม่พักพรุ่งนี้ยามเที่ยงข้าน่าจะถึงที่นั่น”

“ได้ เยี่ยงนั้นรบกวนซื่อจื่อโหวไปที่หอตำราใหญ่กับข้า มาเถิดข้าจะพาท่านไปเอง”

เมื่อซื่อจื่อจวนโหวตู้ซิวเหยียนจากไปพร้อมกับนายท่านใหญ่ฟู่ต้าหลาง

“รอฟังข่าว ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย เราต้องเผื่อใจเอาไว้”

คำเตือนของท่านโหว ทำให้ความตื่นเต้นดีใจของทุกคนเบาบางลง ภายในห้องโถงเรือนใหญ่ ฮูหยินใหญ่เจียงซื่อ จึงรีบขอตัวเพื่อไปสั่งบ่าวไพร่ช่วยกันเร่งปลดผ้าไว้ทุกข์ลงมาก่อน ส่วนฮูหยินรองซ่งซื่อ เข้าไปจับมือปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ไม่ให้ตื่นเต้นดีใจจนเกินไปนัก

นายท่านรองฟู่อีหลางก็รีบเอ่ยขอตัวออกไปสั่งงาน บ่าวในเรือนหน้าและปรึกษาพ่อบ้านของจวนเพื่อชะลอการจัดงานขาวดำ

จางกงจู่มองหน้าสามีของตนก่อนจะพูดสอบถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านโหวไปเยี่ยมเย่ว์เอ๋อร์ มาแล้วหรือยัง”

“อืม ฟู่ต้าหลางพาข้าไปเยี่ยมนางแล้ว แต่เด็กน้อยกำลังนอนหลับอยู่ สาวใช้บอกว่านางดื่มยาแล้วก็หลับไปอีกรอบ”

“อ่อ ข้ายังไม่ได้พบอวิ๋นเชอร์เลย ซ่งซื่อให้บ่าวไปเรียกฟู่อวิ๋นเชอร์ มาพบข้ากับท่านโหวทีเถอะ”

“ได้เพคะ อวิ๋นเชอร์น่าจะอยู่กับอวิ๋นชิงที่เรือนใหญ่เพคะ”

“สั่งบ่าวให้ไปเชิญคุณชายและคุณหนู ทุกคนมาคารวะผู้อาวุโสด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยบอกฮูหยินรองซ่งซื่อ ให้รีบสั่งบ่าวข้างกายให้ไปตามคุณชาย และคุณหนู ตามเรือนต่างๆ ให้รีบมาที่นี่ในทันที

เวลาผ่านไปครึ่งธูป มีบ่าวเดินนำเหล่าคุณชายและคุณหนูตระกูลฟู่ เข้ามาในเรือนหลัก ในบรรดารุ่นหลานของจวนนี้ คุณชายใหญ่ฟู่อวิ๋นชิงเป็นผู้นำคารวะจางกงจู่ ท่านโหว และฮูหยินซื่อจื่อจวนโหว

“ข้าน้อย ฟู่อวิ๋นชิง และน้องๆ ขอคาระวะ จางกงจู่ คำนับท่านจงอู่โหว น้อมเคารพฮูหยินซื่อจื่อจวนโหว”

“อื้ม ตามสบายๆ ข้าผู้เป็นองค์หญิง ไม่ได้พบคุณชายใหญ่เสียนาน พบเจอครานี้หล่อเหลางามสง่าผิดตาเลยนะ”

“ขอบพระทัยขอรับ จางกงจู่ ทรงตรัสชมผู้น้อยมากเกินไปแล้ว”

ฟู่อวิ๋นชิง ตอบรับด้วยความสุภาพและเหมาะสม สร้างความพอใจให้กับจางกงจู่ เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมองดูอวิ๋นเชอร์หลานชายแท้ๆ ของพระนางทำท่าทางเคร่งขรึมเลียนแบบพี่ชาย พระนางยิ่งรู้สึกเอ็ดดู

“ปีนี้ฟู่อวิ๋นชิง อายุสิบห้าปีแล้วเพคะ ในยามนี้กำลังทำงานในราชสำนักเป็นผู้ช่วยรองเจ้ากรมพิธีการเพคะ

ส่วนฟู่อวิ๋นเฟิง อายุสิบสามปีแล้ว เขาไม่ค่อยสนใจการเล่าเรียนแต่กลับชอบฝึกยุทธกับท่านอาสามของเขา เห็นพูดบอกกับหม่อมฉันว่าสนใจจะเข้าร่วมกองทัพเพคะ ท่านโหวน่าจะเคยพบเขากระมัง อาสามของเขามักจะพาเขาไปที่สนามฝึกของจวนโหวกับอวิ๋นเชอร์อยู่บ่อยๆ ฟู่อวิ๋นฟาง เด็กคนนี้ลูกเจ้ารองเพคะ มีอายุสิบขวบแล้ว ตอนนี้สนใจค้าขายแบบท่านพ่อของเขา แต่ไม่รู้อายุมากขึ้นจะเปลี่ยนใจอีกไหมเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่แนะนำหลานชายแต่คนให้จางกงจู่ฟังด้วยเสียงภาคภูมิใจแบบแอซ่อนเอาไว้ไม่มิด

“พี่สาวช่างโชคดียิ่งนัก มีหลานชายดูน่าภูมิใจทุกคน แต่ที่เรารู้สึกอิจฉาพี่สาวมากที่สุดก็คือเรื่องมีหลานสาวหลายคนเสียมากกว่า เพราะจวนโหวของเราไม่มีหลานสาวสายตรงเลย ข้าจึงอยากขอเย่ว์เอ๋อร์ไปเลี้ยงดูด้วยตนเองมากเหลือเกิน”

ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ได้ฟังดังนี้ ดวงตาพลันเหลือกขึ้นบนเพดานแว๊บนึง พลางนึกในใจว่าเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เอ่ยเถียงกันอีกแล้ว

“หม่อมฉันเห็นใจ จางกงจู่นะเพคะ แต่ที่หม่อมฉันยื้อไว้ เพราะเย่ว์เอ๋อร์ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป ท่านหมอหลวงฉี แนะนำว่าเด็กอาการแบบนี้จะต้องไม่เปลี่ยนสภาพแวดล้อมและคนดูแลนะเพคะ”

“แต่คราวนี้ อาการดีขึ้นแล้วนี่ ถ้าหากเด็กน้อยหายดี เราจะพาไปเลี้ยงที่จวนโหวได้แล้วกระมัง”

“โอ้ย ท่านหมอบอกยังต้องดูอาการอีกสักพักเพคะ” ฯลฯ

ท่านจงอู่โหว นั่งฟังหญิงชราสองคนเอ่ยถกเถียงกันในเรื่องเดิมซ้ำๆ เขาจึงแอบยิ้มที่มุมปาก หลานสาวของเขาใช้ชื่อของสกุลฟู่ แล้วจะไปแย่งคนมาเลี้ยงดูเองก็จะต้องให้คนสกุลฟู่เอ่ยยินยอมเสียก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งคนเอ่ยเถียงกันตั้งแต่หลานสาวเพิ่งเกิด จนยามนี้หลานสาวมีอายุห้าปีแล้ว แต่เขายังไม่เคยได้หลานสาวพาไปเหยียบจวนโหวเลย มีเพียงหลานชายฟู่อวิ๋นเชอร์เท่านั้น ที่ได้ไปอยู่อาศัยที่จวนโหวมากกว่าจวนตระกูลฟู่เสียอีก

ท่านโหวตู้หลินซานนั่งจิบชาอยู่สักพัก เขาก็หรี่ตาไปมองเด็กสาว 2 คน เด็กหญิงอีก2 คนที่นั่งสงบอยู่ไกลๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา

“ผู้ใด คือฟู่หลี่ม่าน”

ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่และฮูหยินรองซ่งซื่อ สะดุ้งในใจก่อนจะเหลือบสายตาไปมองกลุ่มเด็กสาวในทันที

ฟู่หลี่ม่านเนื่องจากรู้ตัวว่าตนเองมีความผิดในใจ นางจึงสะดุ้งสุดตัว ก้มหน้าชิดอกแอบตัวสั่นน้อยๆ ฟู่เสียนโหย่ว ปลายตามองน้องหญิงสามของตนเอง แบบไม่ชอบใจนิดนึง ก่อนลุกขึ้น คำนับตอบแบบมีมารยาท

“ฟู่เสียนโหย่ว คาระวะจางกงจู่ คำนับท่านจงอู่โหว และน้อมเคารพฮูหยินซื่อจื่อ จวนโหวอีกครั้งเพคะ ข้าผู้น้อยขอเสียมารยาทแนะนำเหล่าน้องสาวให้ผู้อาวุโสทุกท่านนะเพคะ ผู้นี้คือน้องหญิงสามฟู่หลี่ม่าน ผู้นี้คือน้องหญิงสี่ฟู่เสียนหยา ผู้นี้คือน้องหญิงห้าฟู่เสียนเหยียน เพคะ” ทุกคนต่างรีบลุกขึ้น ก้มหน้าทำความเคารพผู้อาวุโสอีกครั้ง

“เงยหน้าขึ้น ทุกๆ คน นั่นล่ะ ดูสิเด็กๆ ตกใจกันหมดแล้ว ท่านโหว เห็นคนเขามีหลานสาวหลายคนเลยรู้สึกอิจฉาสินะ” จางกงจู่รีบเอ่ย ก่อนส่งสายตาห้ามปรามไม่ให้ผู้เป็นสามีก่อเรื่อง ท่านจงอู่โหวจึงนิ่งเงียบก้มหน้าจิบน้ำชาอย่างเชื่องช้า

“ฟู่เสียนโหย่ว ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วสินะ ถ้าหากเราจำได้ไม่ผิด มาๆ รีบเข้ามาหาเราหน่อย ให้เราได้ชื่นชมใบหน้างดงามของเจ้าใกล้ๆ”

ฟูเสียนโหย่ว ก้มหน้าเดินเข้าไปหาจางกงจื่อ ก่อนคุกเข่าลงแล้วเงยหน้าให้พระนางได้ชมโฉมนางแบบใกล้ชิด ซึ่งจางกงจู่ แต่เดิมชอบเด็กสาวผู้นี้อยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นใบหน้างดงามใกล้ๆ อย่างนี้จึงยิ่งชอบใจ จึงถอดกำไลหยกเหอเถียนมอบให้แก่ฟู่เสียนโหย่วสวมใส่ที่ข้อมือ ฟู่เสียนโหย่ว มองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อเห็นท่านย่าพยักหน้า นางจึงรับของเอาไว้ แล้วแสดงการคารวะอีกครั้ง

“ขอบพระทัยเพคะ จางกงจู่”

“จางกงจู่อะไร เรียกข้าว่าท่านยายเหมือนเย่ว์เอ๋อร์นั่นล่ะ นับๆ ไปพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นหลานยายเรานะ”

“เพคะ ท่านยาย”

“อืม เด็กดี เด็กดี”

หากมีใครสังเกตดูฟู่หลี่ม่าน นางก้มหน้าแต่มือของนางกลับจิกขยำกำผ้าเช็ดหน้าแน่น เพราะภายในใจของนางมีแต่ความขมฝาด

ยามเย็น จางกงจู่และท่านจงอู่โหวไปเยี่ยมฟู่เสียนเย่ว์ อีกครั้ง แต่เด็กน้อยนอนหลับเช่นเดิม เมื่อขบวนรถม้าจวนจงอู่โหวออกจากจวนตระกูลฟู่ไปได้ไม่นาน หลังจากนั้นตระกูลฟู่ก็ปิดประตูหน้าไม่ต้อนรับแขกไม่ว่าจะเป็นผู้ใด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel