บทที่ 5 ชีวิตวัยเยาว์อีกครั้ง
ข้าตื่นขึ้นมายามเช้าของวันต่อมา เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง มองเห็นแสงแดดส่องผ่านหน้าต่างมาอย่างร้อนแรง
อืม...นี่คงจะไม่ใช่ยามเช้าแล้วสินะ เพียงแค่ข้าอยากจะขยับตัว สาวใช้คนสนิทของร่างนี้ก็รีบเดินเข้ามาประกบตัวข้าทันที ถ้าข้าจำไม่ผิดคนผู้นี้คือ ‘เหลียนฮวา’
“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นแล้วหรือประเดี๋ยวบ่าวจะช่วยเช็ดหน้าเช็ดตัวให้คุณหนูก่อนนะเจ้าคะ”
ข้าทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับหลังจากนั้นก็มีสาวใช้อีกสามถึงสี่คนก็รุมล้อมปรนนิบัติข้าด้วยความนุ่มนวลแต่รวดเร็ว ถือว่าบ่าวเรือนนี้มือไม้คล่องแคล่วทำได้ไม่ต่างจากนางกำนัลในวังหลวงเลย
พี่หญิงรองของร่างนี้ ยืนคอยควบคุมพวกสาวใช้อยู่ด้านข้าง ซึ่งนับแต่นี้ข้าขอยึดนางให้เป็นพี่สาวรองของข้าไปแล้ว
ทำไงได้ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ข้าคงจะต้องทำหน้าหนายึดร่างกายนี้เป็นของตนเองเสียแล้ว นับตั้งแต่นี้ไป ข้าคือฟู่เสียนเย่ว์ คุณหนูหกของจวนตระกูลฟู่
เมื่อข้าได้รับการช่วยเหลือผลัดเปลี่ยนชุดจนเสร็จ เนื่องจากร่างกายนี้ยังอ่อนแอ จึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง แต่พอข้าได้ดื่มน้ำหวานสีสวย ที่พี่สาวรองนำมาป้อนให้ ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันที
‘อร่อยเป็นอย่างมาก’ แม้ว่าข้าจะเคยอาศัยอยู่ในวังหลวงแคว้นเว่ย แต่ก็ไม่เคยดื่มน้ำหวานที่มีรสชาตอร่อยแบบนี้มาก่อน อาหารของจวนตระกูลฟู่นับว่าถูกปากอร่อยทุกๆ อย่างเลย พี่สาวคนรองของข้ากำลังนั่งยิ้มอยู่ด้านข้าง นางนั่งมองข้ากินด้วยสีหน้าที่มีความสุขใจ
“คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูหกดูเจริญอาหารมากๆ เลยเจ้าค่ะ มิเสียแรงที่ฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองเข้าครัวปรุงอาหารด้วยตัวเอง” เหลียนฮวาเอ่ยอย่างดีใจ
เถาฮวาที่ยืนรับใช้ข้างๆ ก็พลันคิดได้ว่า ตั้งแต่นางรับใช้คุณหนูหกมาไม่เคยเห็นคุณหนูหกมีความสุขกับการกินเช่นนี้มาก่อน ต่อให้อาหารดีเพียงใดพิถีพิถันมากเพียงใด คุณหนูหกก็กินอาหารแค่คำสองคำเท่านั้น จะไม่ยอมรับอะไรต่อแล้ว
จะมีก็แค่ยินยอมดื่มน้ำหวานและน้ำผลไม้บ้างเท่านั้น คุณหนูรองจึงต้องปรับเปลี่ยนหาทางทำน้ำหวานน้ำผลไม้หลากหลายชนิด เพื่อหลอกล่อให้คุณหนูหกยอมกินอะไรบ้าง แต่วันนี้คุณหนูหกของนางกินข้าวหมดสำรับ แถมยังหันไปดื่มน้ำหวานและหยิบขนมกินต่ออีก อย่างกับคนล่ะคนกับคุณหนูหกของนางเลย
“ข้าว่า น้องหกหยุดกินก่อนดีกว่านะ เจ้าไม่ได้กินเยอะๆ มานาน วันนี้ถึงจะเป็นอาหารย่อยง่ายแต่กินเยอะมากกว่าปกติเช่นนี้ พี่สาวเกรงว่าเจ้าจะรู้สึกปวดท้องเอาได้นะ”
ฟู่หมิงเย่ว์กัดขนมนึ่งหอมกรุ่นไปหนึ่งคำก่อนจะกระพริบตาปริบๆ แล้วเคี้ยวต่อ แต่ต้องวางขนมลงเพราะนางรู้สึกแน่นท้องมากจริงๆ นั่งหลังตรงไม่ได้แล้ว จนถึงกับต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อคลายความอึดอัด ทำให้ฟู่เสียนโหย่วกับบ่าวรอบด้านลอบยิ้มด้วยความขบขัน
ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่มีฮูหยินใหญ่เจียงซื่อประคองเดินเข้ามาในห้องเพื่อเยี่ยมฟู่เสียนเย่ว์จึงมองเห็นบรรยากาศในห้องแจ่มใสก็นึกแปลกใจ
“ยัยหนูหกเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเหตุใดเจ้าจึงนั่งเอนกายไปด้านหลังเยี่ยงนั้นเล่า รู้สึกเวียนหัวหรือเปล่า”
“ท่านย่าเจ้าคะ เมื่อครู่นี้น้องหกกินอาหารที่เตรียมมาจนหมดแล้ว ยังจะกินขนมได้ต่ออีกเยอะมาก น่าจะรู้สึกแน่นท้องแล้วเจ้าคะ”
“ตายจริง แล้วเจ้าใยจึงไม่ห้ามน้อง ดูสิยังยิ้มขำอยู่ได้” ฮูหยินใหญ่เจียงซื่อดุบุตรสาวคนรองเบาๆ ก่อนเข้าไปนั่งนวดท้องให้หลานสาว
ฟู่เสียนเย่ว์ไม่เคยมีใครมานั่งนวดท้องให้นางเช่นนี้ จึงรู้สึกแปลกๆ แต่รู้สึกสบายท้องมากขึ้น
“ท่านแม่ ลูกดีใจนี่เจ้าค่ะ น้องหกกินอาหารได้เยอะๆ จะได้มีแรง ท่านหมอฉีเคยกล่าวว่า ทานอาหารได้ ดีกว่าการดื่มยานะเจ้าคะ”
“ไม่ได้ห้ามกินแค่ขอให้กินน้อยๆ ไปก่อน แต่ยามนี้ยังไม่หายไข้ดี รอหายไข้ดีก่อน ป้าสะไภ้ใหญ่จะเพิ่มอาหารให้เจ้าล่ะกันนะเย่ว์เอ๋อร์”
เมื่อฟู่เสียนเย่ว์ได้ฟัง ก็ส่งยิ้มอย่างดีใจไปให้ฮูหยินใหญ่ ทำให้นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก หลานสาวอาการดีขึ้น แถมยังดูร่าเริงมากขึ้นอีกด้วย
ฟู่เสียนเย่ว์ มองทุกคนในห้องและคอยฟังสิ่งที่พวกนางคุยกันอย่างเงียบๆ คอยจับใจความว่าคนผู้นี้คือใคร สถานการณ์ในจวนตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้นักเนื่องจากนางอยู่ในสภาพเด็กน้อยที่มีอายุเพียงห้าปีเท่านั้น และเพิ่งฟื้นไข้มา พวกนางจึงคุยถึงแต่เรื่องสุขภาพอาการของนาง
ผ่านไปสักพัก สาวใช้เรือนหน้า มาแจ้งข่าวว่าท่านหมอหลวงฉีมาถึงแล้ว นายท่านใหญ่กำลังพาท่านหมอหลวงฉีเดินมายังเรือนฝูอัน พวกนางจึงให้สาวใช้จัดเก็บห้อง และช่วยกันประคองฟู่เสียนเย่ว์นอนลงยังเตาเตียง
นี่คือสิ่งที่นางสังเกตุเห็นความแตกต่างอีกหนึ่งอย่าง สตรีในแคว้นฉีไม่ได้หลบบุรุษนอกบ้าน ถึงขนาดที่สามารถนั่งรอและยืนรอต้อนรับท่านหมอฉีอยู่ภายในห้องได้ ซึ่งผิดกับธรรมเนียมของแคว้นเว่ย ที่สตรีต้องหลบไปอยู่หลังฉากกั้น สตรีที่ยังไม่แต่งงานต้องปิดบังใบหน้าห้ามเผยโฉมยามออกนอกเรือน ถ้าไม่เรื่องสำคัญอันใด ไม่สามารถออกนอกเรือนได้
ชีวิตเดิมนางถูกกักขังอยู่แต่ในวังหลวง แต่ได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆ ได้เรียนธรรมเนียมของแคว้นต่างๆ ที่พระมารดาหาอาจารย์มาสั่งสอน แคว้นฉีถือว่ามีธรรมเนียมของสตรีเปิดกว้างมากกว่าแคว้นอื่น สามารถออกนอกบ้านได้ สามารถเรียนสอบเทียบชั้นเป็นขุนนางได้ดังเช่นบุรุษ จะทำการค้าหรือเป็นแพทย์โอสถก็ล้วนแต่ทำได้
สตรีในแคว้นฉีถือว่าเป็นหญิงที่มีความสามารถมากมาย นางเคยประทับใจแคว้นฉีมากในยามที่นั่งฟังท่านอาจารย์เล่าให้ฟังเป็นความรู้ แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าบัดนี้นางได้กลายมาเป็นคนแคว้นฉีแล้ว
เมื่อนายท่านใหญ่พาท่านหมอหลวงฉีเข้ามาตรวจและทำการรักษาให้แก่เด็กน้อยบนเตียง ท่านหลวงหมอฉีถึงกับประหลาดใจที่นางฟื้นตัวได้เร็วมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานชีวิตของเด้กน้อยผู้นี้ เหมือนจะจากไปได้ทุกเมื่อ แววตาของเด็กน้อยผู้นี้ก็กระจ่างใส ไม่ขุ่นมัวเหมือนเช่นดังแต่ก่อน ยามนี้ใบหน้าของเด็กน้อยยังดูขาวซีดอยู่บ้าง ท่านหมอจึงเตรียมจะลงมือฝังเข็ม
ฟู่เสียนเย่ว์ ชีวิตก่อนนางไม่ชอบดื่มยาขม และกลัวความเจ็บปวดที่สุด ยามนี้เห็นท่านหมอ ให้ผู้ช่วยที่ตามมาคลายห่อผ้า เปิดเผยเข็มหลายขนาด จิตใจของนางจึงเริ่มสั่นไหว สายตาจ้องมองไปยังมือของท่านหมอ เห็นเข็มที่จะเอามาจิ้มตามผิวเนื้อของนาง แม้ว่าเข็มจะมีขนาดเล็กแต่ความยาวน่าจะหลายชุ่น นางถึงกลับแสดงอาการหวาดผวาในทันที
“ไม่ เจ้ม ได้..ไม่. .. จะ ..เจ็บ”
“ข้า .. กลัว” เสียงเล็กๆ ที่พูดไม่เป็นประโยค และพูดไม่ค่อยชัด ทำให้ทุกคนในห้องตะลึงทันที ฮูหยินใหญ่ ที่ยืนอยู่ข้างเตียงอีกฝั่งถึงกับลืมตัว ผวาไปจับมือหลานสาวแน่น ดวงตาแดงแฝงแววตื่นเต้นดีใจ
“เย่ว์เอ๋อ เจ้ายอมพูดแล้ว เจ้าพูดแล้ว เจ้าพูดให้ป้าสะใภ้ใหญ่ฟังอีกทีสิ”
“โอ้ หลานสาวของข้า เจ้าพูดแล้ว” เป็นเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ ที่เอ่ยตามมา ทั้งยังมองหลานสาวบนเตียงด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
ท่าทางของแต่ละคนทำให้เด็กน้อยถึงกลับชะงักหยุดนิ่ง แล้วกวาดสายตามองบรรยากาศภายในห้องที่เปลี่ยนแปลงไปในทันที ท่านหมอหลวงฉี รีบวางมือที่จะฝังเข็มทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสงบ
“คุณหนูหก เจ้ามิต้องตื่นกลัว ข้าผู้เฒ่าหยุดการฝังเข็มเจ้าแล้ว....ดีหรือไม่”
ฟู่เสียนเย่ว์รีบพยักหน้าตอบรับคำถามนั้นอย่างรวดเร็ว จะให้นางทำอะไรก็ได้ขอแค่อย่าลงมือฝังเข็ม นางจะยอมเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
“เอาล่ะ เจ้าพูดอีกครั้งได้ไหม ทุกคนในห้องอยากฟังเสียงของเจ้า”
เด็กน้อยมองไปรอบห้อง ทุกคนทำหน้ารอคอยบางคนมีสีหน้าตื้นตันใจอย่างปิดไม่มิด จนนางทำอะไรไม่ถูก มือข้างนึงก็โดนกุมเอาไว้แน่น พลันสายตามองเลยท่านป้าสะไภ้ใหญ่ ไปสบตากับเด็กสาวผู้ที่มีผิวขาวจัด ดวงตาบวมแดง ปากแดงระเรื่อ ชวนให้คนมองรู้สึกรักใคร่ ทำให้จิตใจของฟ่เสียนเย่ว์รู้สึกอ่อนไหว จึงค่อยๆ เปิดปากพูด
“พี่..สาว”
แค่เท่านี้เสียงภายในห้องก็พลันวุ่นวาย มีทั้งเสียงขอบคุณพระพุทธองค์ เสียงร้องไห้ เสียงหัวเราะด้วยความยินดีดังระงมไปทั่วห้อง จนท่านหมอหลวงฉีต้องกระแอมเสียงเบาๆ เป็นการเตือน
นายท่านใหญ่ฟู่ต้าหลางผู้สุขุมมาโดยตลอดหันหลังให้ทุกคนเข้าฝาผนังห้อง เขายกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตนเองก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วจึงหันหน้ากลับมาพูดเสียงดัง;jk
“พอได้แล้ว ช่วยสงบเสียงกันหน่อย” ก่อนจะหันหน้าปรึกษาท่านหมอหลวงฉี อย่างจริงจัง
“ท่านหมอ หลานสาวคนนี้ของข้าเดิมนางไม่ยอมพูดมาตลอด นางจะมีปัญหาอันใดตามมาหรือไม่”
ท่านหมอหลวงฉีมีหน้าครุ่นคิดมองเด็กน้อยที่เหลือบตามองคนโน้น คนนี้ด้วยความสนใจ จึงกระแอมเบาๆ ก่อนตอบ “ข้าคิดว่า จากการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทำให้เป็นการกระตุ้นความสามารถในการรับรู้และตอบโต้พูดคุยกลับคืนมา”
นายท่านใหญ่พลันนึกถึงเรื่องที่หลานสาวรู้สึกสะเทือนใจ สีหน้าของเขาจึงเศร้าหมองลง “นางจะดีขึ้นไหมขอรับ หรือจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีกไหม แล้วสติปัญญาของนางจะฟื้นกลับมาเช่นเด็กคนอื่นๆ ไหม”
“เรื่องเหล่านี้ ข้าตอบนายท่านใหญ่ยังไม่ได้ ข้ารักษามาผู้ป่วยมามากมาย หลายปีนี้ข้าเพิ่งจะเคยพบเจออาการแบบคุณหนูหกเป็นครั้งแรก แต่ความสามารถในการพูดคุย เดิมคุณหนูหกไม่ได้เป็นใบ้อยู่แล้ว แค่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป ข้าคาดเดาว่าสติปัญญาของนางน่าจะดีขึ้น แต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะคุณหนูหกจะมีสติปัญญาเหมือนเด็กทั่วๆ ไปหรือไม่”
“ดีแล้ว ข้าไม่หวังให้นางฉลาดเกินผู้ใด ขอแค่นางเหมือนคนทั่วๆ ไปก็พอแล้ว ถ้าหากนางดีขึ้น ข้ายินดีจะขึ้นเขาไปจำศีลที่อารามวัดหลงอิ่น สามเดือน” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น ทั้งหันหน้าไปทางอารามวัดหลงอิ่น พนมมือกล่าวถ้อยคำบนบาน
“เอาล่ะๆ ในเมื่อวันนี้คุณหนูหกไม่อยากฝังเข็ม ข้าจะเพิ่มยาให้คุณหนูหกกินไปก่อน อีก7 วันข้าจะกลับมาตรวจรักษาใหม่อีกครั้ง แน่นอนถ้หากคุณหนูหกมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างไร สามารถส่งคนไปเรียกข้ามารักษาก่อนได้ในทันที”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเชิญท่านหมอไปดื่มชา พักผ่อนที่ห้องโถงก่อนนะขอรับ”
“อย่าได้เกรงใจเลย นายท่านใหญ่ฟู่ต้าหลาง ข้ารู้ดี ในจวนของท่านกำลังเร่งเตรียมงานใหญ่อยู่ ข้าไม่อยู่รบกวนท่านจะดีกว่า เช่นนั้นข้าขอลาฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ นะขอรับ”
“ท่านหมอหลวงฉี ข้ารู้สึกเกรงใจท่านอีกแล้ว เจ้าใหญ่..เจ้าก็เดินไปส่งท่านหมอหลวงฉีถึงที่รถม้าเถิด”
เมื่อนายท่านใหญ่พาท่านหมอหลงฉีออกไปจากห้องแล้ว ฮูหยินรองก็เดินเข้ามาในเรือนฝูอัน เพื่อมาสอบถามอาการหลานสาว ภายในห้องข้างมีเสียงตื่นเต้นยินดีของฮูหยินรอง แล้วก็มีเสียงฮูหยินใหญ่คอยกระตุ้นพยามให้ฟู่เสียนเย่ว พูด จนเด็กน้อยรู้สึกเมื่อยปากจึงพูดคำสุดท้ายออกมา
“เหนื่อย..แล้ว “ทุกคนจึงยินยอมปล่อยให้นางพัก
ระหว่างที่เด็กน้อยล้มตัวนอนด้วยความยินดี พลางคิดไปว่าการเป็นเด็กน้อยคนนี้ ได้กินแล้วก็ได้นอนชีวิตนี้ช่างดีจริงๆ พลันได้ยินเสียงฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองพูดคุยปรึกษากับฮูหยินผู้เฒ่าเบาๆ แว่วมา
“ถ้าเย่ว์เอ๋อรืหายแล้ว ข้าจะไปหาเชิญอาจารย์มาสอนนางที่บ้าน”
“ท่านพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็มีอาจารย์สอนพินที่จะแนะนำนะเจ้าค่ะ อาจารย์ท่านนี้เป็นผู้สอนหยาหยาและเหยียนเหยียนอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ดีๆ อายุของหยาเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ใกล้เคียงกับเย่ว์เอ๋อร์พอดี พวกนางจะได้เป็นเพื่อนกัน”
“หากนางเหมือนเด็กคนอื่นๆ ยายเฒ่าผู้นี้ก็อยากให้นางได้เข้าสถานศึกษาเหมือนกับหลานสาวคนอื่นๆ”
“จริงเจ้าค่ะท่านแม่ ลองเรียนที่เรือนก่อน ถ้าหากนางเรียนไหว พวกเราค่อยให้นางเข้าสถานศึกษา”
ฟู่เสียนเย่ว์พลันคิดในในใจว่า ‘จบกัน ชีวิตที่แล้วก็มีแต่เรียนๆ นี่ข้าต้องกลับมาเรียนอีกครั้งสินะ T^T’
