บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 เด็กน้อยผู้น่าสงสาร

ข้าฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยผู้อ่อนแอ ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แม้เพียงจะเอ่ยปากพูดก็ยากลำบาก จากการนอนฟังคนรอบกายเอ่ยถึงเด็กน้อยผู้นี้ ว่ายังไม่สามารถพูดคุยได้ ข้าตกใจมากข้าไม่อยากเป็นคนใบ้ พอได้ยินว่านางสมองช้ากว่าเด็กทั่วไปน้ำตาข้ายิ่งไหลในใจ ข้าไม่อยากเป็นคนปัญญาอ่อนนะ

จนกระทั่งมีคนพูดถึงบิดามารดาของเด็กคนนี้ ข้าจึงเพิ่งตระหนักว่าช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าตายแล้วฟื้นมาเข้าร่างของบุตรสาวของแม่ทัพฟู่ซานหลางและรองแม่ทัพตู้ซิวซยา มีนามว่าฟู่เสียนเย่ว์นั่นเอง

ย้อนกลับไปยามที่ข้าเดินทางมาแคว้นฉี ถึงแม้ขบวนเจ้าสาวจะมีผู้คนมากมาย แต่จิตใจของข้ามีแต่ความซึมเศร้า ปวดใจที่ต้องจากพระบิดาพระมารดา และเสด็จพี่ของข้า เสียใจที่สุดท้ายชะตาชีวิตก็เหมือนพี่หญิงองค์อื่นๆ ทั้งๆ ที่ข้าพยามทำตัวไม่โดดเด่น

ในยามที่ข้ารู้สึกเศร้าเสียใจอยู่ ตู้ซิวซยา เข้ามาพูดคุยปลอบโยนข้า เล่าเรื่องราวต่างๆ ของแคว้นฉีให้ข้าฟัง เล่าเรื่องราวของจวนจงอู่โหว บ้านเกิดของนาง การฝึกวรยุธของนาง การฝืนกฎข้อห้ามเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพ การพบรักและฝ่าฟันอุปสรรค จนสุดท้ายได้แต่งงานกับฟู่ซานหลาง เรื่องของบุตรชายที่อายุยังน้อยก็เป็นวรยุทธขั้นสูง

ตู้ซิวซยาเอ่ยกับข้าว่า “เรื่องของบุตรสาวคือเรื่องที่ข้า...ตู้ซิวซยารู้สึกผิดด้วยมากที่สุด ผู้เป็นมารดาอย่างข้าไม่ได้คอยดูแลเลี้ยงดูบุตรสาวคนนี้ด้วยตนเอง จึงทำให้บุตรสาวคนเล็กมีร่างกายอ่อนแอ ป่วยไข้ได้ง่าย”

ข้าได้ฟังเรื่องเล่าจากตู้ซิวซยามากมายหลายเรื่องจนรู้สึกเพลิดเพลินใจทำให้รู้สึกหายเศร้าโศก พวกเราเดินทางมาได้ 7 วัน ข้าจึงถามนางว่า

“พวกเราเป็นสหายกันได้ไหม เราผู้เป็นองค์หญิงไม่เคยมีสหายมาก่อน”

เมื่อข้าพูดจบ ตู้ซิวซย่ายิ้มแล้วมองข้าด้วยความรู้สึกเอ็นดู ก่อนจะพูดบอกว่าไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ยามนางเห็นข้าแล้ว ทำให้นางคิดถึงบุตรสาวที่อยู่จวนตระกูลฟู่ อาจจะเป็นเพราะนามของข้าและบุตรสาวของนางมีคำว่าเย่ว์เหมือนกัน

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ข้ารู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อยเพราะข้ามีอายุ 15 ปีแล้ว ทำไมนางจึงมองข้าแล้วคิดถึงเด็กน้อยอายุ 5 ปีไปได้

ในยามนั้นนางได้มอบกริชเล่มเล็กที่มีปลอกประดับพลอยหลากสีให้แก่ข้า กริชเล่มนั้นช่างถูกใจข้ายิ่งนัก ข้าจึงหยิบหยกพกของรักของข้าที่พระมารดาเคยให้ข้าพกติดกาย มอบให้นาง พร้อมเล่าให้นางฟังว่า “หยกชิ้นนี้ผ่านการปลุกเสกจากพระอาจารย์ชื่อดังของแคว้นฉี ทำให้แคล้วคาดปลอดภัย ท่านจงเก็บรักษาเอาไว้กับตัวให้ดี”

คราแรกตู้ซิวซยาจะไม่ยอมรับหยกพกของข้า ผู้เป็นองค์หญิงเช่นข้าจึงแกล้งเอ่ยวาจาข่มขู่นางไปว่า “หากเจ้าไม่ยอมรับหยกพกของเรา ถือว่าเจ้ารู้สึกรังเกียจเรา จึงไม่ยอมรับเราเป็นสหาย”

ตู้ซิวซยาจึงได้ยอมรับหยกพกของข้าไปด้วยความจำใจ หลังจากวันนั้นข้าพกกริชที่นางมอบให้ติดกายไม่ห่าง ข้ามักไปหานาง และขอฟังเรื่องเล่าจากนางอย่างกระตือรือร้น ช่วงเวลาที่ข้าใช้กับนางข้ามีความสุขมาก

ขบวนรถม้าขององค์หยิงสิบสี่แคว้นเว่ยเดินทางข้ามชายแดนมาได้2-3 วันขบวนเจ้าสาวของข้ากลับโดนโจมตี ผู้มาโจมตีปกปิดใบหน้าสวมใส่ชุดทหารที่ไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นกองทัพของแคว้นใด

แต่เสด็จอาทรงเอ่ยบอกกับข้าว่ากองทัพนี้ถนัดลอบโจมตีแบบกองโจร เสด็จอาของข้าทัวป๋าอ๋องพยามพาข้าหลบหนี ด้วยความสับสนอลหม่าน ข้าไม่มีโอกาสได้มองเห็นตู้ซิวซยาอีกเลย แต่ในห้วงสุดท้ายของชีวิตข้า ข้ากลับใช้ของขวัญที่นางให้มาปลิดชีพของตัวข้าเอง

ข้าฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กน้อยนี้ ‘ฟู่เสียนเย่ว์’ ข้าฟังจากคำพูดของบ่าวรับใช้ จึงคาดเดาเหตุการณ์เอาเองว่า เด็กคนนี้น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณของข้าจึงเข้ามาแทนที่ ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าว่า คนที่สติปัญญาไม่สมประกอบคือคนที่มีวิญญาณไม่ครบ วิญญาณของข้าเข้ามาแทนที่ ร่างนี้จึงเป็นของข้า แต่ไม่รู้ว่าข้าจะอยู่ในร่างนี้อีกนานแค่ไหน ข้าพยายามครุ่นคิดคาดเดาไปเรื่อยๆ ก่อนจะรู้สึกเหมื่อยจึงขยับตัว

พอข้าเผลอขยับตัวร่างกายจึงไปดึงมือที่โดนสาวน้อยจับไว้ออก จึงทำให้สาวน้อยคนนั้นรู้สึกตัวตื่น ฉับพลันนางก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ

“เร็วเข้า น้องหกฟื้นแล้ว” ฟู่เสียนโหยวดีใจมากจึงรีบส่งเสียงเรียกสาวใช้เสียงดังก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือมาสัมผัสดูว่าผิวกายของน้องสาวร้อนมากหรือไม่

ฮูหยินรองซ่งซื่อเมื่อได้ยินเสียงหลานสาวจึงรีบลุกขึ้นมาดู ก่อนสั่งกำชับสาวใช้ “เหลียนฮวาเจ้าไปอุ่นน้ำแกงใสมาป้อนคุณหนูหกของเจ้าก่อน แล้วนำยาที่อุ่นเอาไว้เตรียมมาด้วย”

“เย่ว์เอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามีแรงบ้างหรือไม่ ถ้ามีแรงเย่ว์เอ๋อร์ช่วยออกแรงบีบมือของป้าสะใภ้รองสักหน่อยเถิด”

เมื่อได้ยินดังนี้ข้าจึงต้องฝืนออกแรงบีบมือ ฮูหยินผู้อ่อนโยนคนนี้เบาๆ พร้อมทั้งพยามจดจำว่าคนผู้นี้คือท่านป้าสะใภ้รอง

“ดี ๆ เถาฮวา เจ้าจงไปที่เรือนนอนฮูหยินผู้เฒ่า ไปดูว่าฮูหยินใหญ่หลับอยู่หรือไม่ ถ้าหากยังนอนหลับพักผ่อนอยู่ อย่าได้เอะอะโวยวายเสียงดัง ไม่ต้องปลุกคนให้ลุกขึ้นมา เจ้าแค่กระซิบบอกสาวใช้ข้างกายของฮูหยินใหญ่เอาไว้ว่าคุณหนูหกรู้สึกตัวแล้วก็พอ ช่วยบอกทุกคนให้ทำอะไรอย่างเบามือเบาเท้า ทุกครอย่าได้ส่งเสียงดัง ข้าอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พวกเจ้าเข้าใจไหม”

เถาฮวารีบเอ่ยตอบรับคำสั่งของฮูหยินรอง ก่อนจะรีบไปยังเรือนนอนของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ จึงเดินสวนทางกับเหลียนฮวาที่ยกน้ำแกงและถ้วยยาเข้ามาภายในห้องพอดี

“โหยวเอ๋อร์..เจ้าช่วยอาสะใภ้รอง ประคองตัวเย่ว์เอ๋อให้ลุกขึ้นมาพิงเจ้าเอาไว้ อาสะใภ้จะป้อนยาให้เย่ว์เอ๋อร์ เมื่อดื่มยาน้องสาวของเจ้าจะได้ไม่เกิดการสำลัก เสี่ยวจิ่วรีบมาช่วยคุณหนูรองเจ้าช่วยประคองคุณหนูหกอีกแรง..”

หลังจากนั้นฟู่เสียนเย่ว์ก็ถูกประคองตัวลุกขึ้นนั่งพิงกายของสาวน้อยรูปร่างบอบบางคนนี้ไว้ พร้อมทั้งพยามเปิดปากรับน้ำแกงกลืนลงท้อง เมื่อมีน้ำแกงตกถึงท้อง ท้องที่เจ็บปวดน้อยๆ พลันรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น ส่งผลให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก จึงเปิดปาก แสดงว่าขอกินน้ำแกงอีก

“ดี ๆ เย่ว์เอ๋อรื เก่งมาก ค่อยๆ กิน เจ้ากินช้าๆ นะ “

ข้าเปิดปากกินน้ำแกงจนหมดถ้วย กำลังรู้สึกสบายตัว กลับถูกประคองให้ดื่มยาที่แสนขม ความขมที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ข้าน้ำตาพลันเอ่อคลอดวงตาขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เหมือนเด็กสาวข้างกายจะรู้ว่าน้องสาวผู้นี้ไม่ชอบรสชาติขม นางจึงรีบป้อนน้ำผึ้งแสนหวานเข้าปากของน้องสาวในทันที พอข้าได้รับน้ำผึ้งเข้าปากไป ข้าจึงยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความพอใจ

“พวกเจ้าดูสิ เย่ว์เอ๋อร์ยิ้มได้แล้ว ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเห็นนางยิ้มสดใสแบบนี้มาก่อน” ฮูหยินรองเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ฮูหยินใหญ่ตระกูลฟู่ก็รีบร้อนเดินเข้าห้องมาภายในห้องแห่งนี้อย่างรีบร้อน

“เย่ว์เอ๋อร์มีอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราวางใจได้แล้ว เมื่อครู่ข้าป้อนน้ำแกงให้นางจนหมดชามเล็ก และป้อนยาตามไปอีก ท่านดูสินัยน์ตานางสดใสขึ้นมากแล้ว”

“ดีแล้วๆ รู้ไหมว่าหลานสาวป่วยเช่นนี้ ป้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลย” เมื่อพูดจบฮูหยินใหญ่ก็เดินมานั่งข้างเตียงก่อนลูบหน้าผาก ลูบแก้มก่อนจะลูบหัวข้าเบาๆ เป็นการแสดงความรักความเอ็นดูที่ทำให้ข้าประทับใจต่อเจียงซื่อป้าสะใภ้ใหญ่ของเด็กคนนี้

“พี่สะใภ้ใหญ่กลับไปพักผ่อนต่อได้แล้ว คราวนี้คงจะหลับตาลงได้เสียที พรุ่งนี้เช้าคงต้องรบกวนขอให้พี่ใหญ่ช่วยส่งคนไปเชิญท่านหมอฉีมาอีกรอบ เพื่อความรอบครอบ”

“ได้ๆ เย่ว์เอ๋อร์ วันนี้เจ้านอนพักต่อเถอะ พรุ่งนี้เช้าป้าสะใภ้ใหญ่จะมาดูเจ้าอีกรอบ เดี๋ยวป้าสะใภ้ใหญ่จะเตรียมอาหารและขนมที่เจ้าชอบไว้ให้ด้วย ดังนั้นเจ้าต้องรีบหายป่วยโดยเร็วนะ”

“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ แล้วท่านแม่หลับดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ในยามที่ข้าเดินออกมาจากห้อง ท่านแม่นอนหลับสนิทดีแล้ว เฮ้อ...ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก ประเดี๋ยวกลับไปนอนเฝ้าท่านแม่คราวนี้ ข้าคงจะหลับตาสนิทเสียที เจ้าก็พักสายตาบ้างนะ ให้สาวใช้พวกนี้สลับผลัดเปลี่ยนกันนอน เปลี่ยนกันมาเฝ้าเย่ว์เอ๋อร์ก็พอ”

“เจ้าค่ะ ข้าใช้ให้บ่าวยกเตียงเตาอันเล็กมานอนหลังฉากด้านนั้นแล้ว เมื่อครู่ข้าไม่สบายใจจึงนั่งปักผ้าเพื่อคลายความกังวลใจ เย่ว์เอ๋อร์ดีขึ้นถึงเพียงนี้ข้าก็จะไปนอนพักสายตาบ้างแล้วเจ้าค่ะ”

“ดี เอาล่ะข้ารู้พวกเจ้าเหนื่อยล้ากันมาก สลับกันนอน สลับกันนั่งเฝ้าเย่ว์เอร์ให้ดี โหย่วเอ๋อร์ แม่ขอตัวไปนอนก่อน เจ้าก็นอนพักไปพร้อมกับน้องหกของเจ้าเลยนะ”

“เจ้าค่ะท่านแม่ มาน้องหกพี่สาวรองจะนอนเป็นเพื่อนเจ้าเอง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวอะไรนะ พี่สาวจะปกป้องเจ้าเอง”

ฮูหยินใหญ่ยืนมองดูบุตรสาวคนรอง ดูแลเด็กน้อยให้นอนลงบนเตียงก็อมยิ้มด้วยความรู้สึกภูมิใจ จึงเดินไปพักผ่อนอย่างสบายใจ

ข้าเมื่อกินอิ่มสบายท้อง อีกทั้งอากาศเย็นสบายไม่หนาวเหมือนแคว้นเว่ย ตาเล็กๆ จึงเริ่มหรี่และปิดลงอย่างช้าๆ ข้างกายของข้ามีไออุ่นจากคนที่นอนเป็นเพื่อนข้า ทำให้ข้ารู้สึกชอบนางมากยิ่งนัก การมีพี่สาวคนหนึ่งคอยเอาใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง

ถ้าหากมีใครสังเกตุดีๆ จะเห็นได้ว่าใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดเซียวบัดนี้กลับสดใสเป็นคนล่ะคน เด็กน้อยนอนหลับไปพร้อมรอยยิ้มแตะแต้มตรงมุมปาก...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel