บทที่ 2 ฟื้นคืนชีพ
นายท่านใหญ่ฟู่ต้าหลาง ยืนมองเข้าไปในห้องที่บัดนี้น้องรอง ผุ้เป็นน้องชายของเขาและน้องสะใภ้รอง กำลังพูดอ้อนวอนขอร้องให้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปพักผ่อนที่เรือนนอนก่อน บุตรสาวคนรองของเขากำลังนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ข้างเตียง นัยน์ตาสวยแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาหลายรอบแล้ว
บุตรสาวคนรองของรักและเอ็นดูฟู่เสียนเย่ว์มากกว่าผู้ใด ทั้งๆ ที่ในจวนนี้มีเด็กมากมายหลายคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฟู่เสียนโหย่วและฟู่เสียนเย่ว์เป็นหลานสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่านำมาเลี้ยงูที่เรือนฝูอันด้วยตัวเองเหมือนกัน
อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะร่างกายของฟู่เสียนเย่ว์อ่อนแอ ป่วยไข้อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากตู้ซิวซยาผู้เป็นมารดาของฟู่เสียนเย่ว์คลอดเลี้ยงดูนางได้ไม่ถึง 6 เดือน จำเป็นจะต้องไปรับตำแหน่งรองแม่ทัพ ติดตามฟู่ซานหลางผู้เป็นสามีไปเฝ้าชายแดน ทิ้งทารกน้อยอายุ 6 เดือนไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่เลี้ยง
ในปีนั้นจวนจงอู่โหว พยามดื้อดึงแย่งหลานสาวคนนี้ไปอยู่ที่จวนโน้น แต่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟู่ไม่ยินยอม ฮูหยินผู้เฒ่ายืนยันว่านางจะเลี้ยงดูทารกน้อยไว้ที่เรือนของนางเอง สุดท้ายจวนจงอู่โหวที่มีฮูหยินผู้เฒ่าเป็นถึงองค์หญิงยังต้องยอมแพ้ แต่ท่างนั้นยังขอส่งสาวใช้ มามาคนสนิทและหมอหลวงมาดูแลฟู่เสียนเย่ว์แทน
เวลาผ่านไปเด็กน้อยอายุ 3 ปี ยังไม่ยอมพูดเหมือนเด็กคนอื่นๆ สติปัญาบกพร่องเชื่องช้ากว่าคนปกติทั่วไป หมอหลวงฉียืนยันว่าสุขภาพไม่มีปัญหา แค่เด็กน้อยพูดช้ากว่าเด็กคนอื่น การเรียนรู้จะช้ากว่าคนทั่วไป ทำให้เด็กน้อยยิ่งน่าสงสาร ฟู่เสียนโหย่วจึงคิดภาษามือง่ายๆ ไว้เพื่อมาคุยกับน้องสาวของนาง
คนที่เข้าใจในเด็กน้อยคนนี้มีจำนวนน้อยยิ่งนัก มีฟู่เสียนโหย่ว จี้มามา เหลียนฮวาและเถาฮวาเท่านั้นที่สามารถสนทนากับฟู่เสียนเย่ว์ได้เข้าใจ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกกังวลใจและไม่ยอมให้หลานสาวคนนี้แยกเรือนออกไป สร้างห้องพักในปีกข้างของเรือนฝูอัน ขยายเรือนทางด้านนี้ให้เป็นห้องพักที่กว้างขวางเพื่อให้หลานสาวคนนี้พักอาศัย
นายท่านใหญ่ยืนมองด้วยความทุกข์ใจ เมื่อสายตาสบกับฮูหยินใหญ่เจียงซื่อ สตรีผู้เป็นภรรยาของเขา แม้อายุจะล่วงเลยสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ใบหน้ายังคงงดงามอ่อนเยาว์ นางมีสายตาที่อ่อนโยนช่วยปลอมประโลมใจเขาให้ความทุกข์ใจที่มีคลี่คลายลง
เจียงซื่อลุกขึ้นเดินมาจับมือนายท่านใหญ่ผู้เป็นสามี พร้อมทั้งเรียกชื่อเพื่อเป็นการปลอบใจ “ท่านพี่”
เสียงอ่อนโยนของเจียงซื่อ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหันมาสนใจนายท่านใหญ่ทันที
“ว่าอย่างไร นังเด็กนั่นว่าอย่างไรบ้าง” เสียงฮูหยินผู้เฒ่ามีความชิงชังแฝงอยู่
เมื่อนายท่านใหญ่ได้ฟังจึงแอบรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะไม่ว่าอย่างไรนั่นก็คือบุตรสาวของเขาคนหนึ่ง “ม่านเอ๋อ บอกข้าว่านางไม่ได้เอ่ยคำไดที่ไม่สมควรกับเย่ว์เอ๋อ ขอรับท่านแม่”
“อ่อ เช่นนั้นยัยหนูหกของข้านางป่วยเองสินะ อยู่ๆ นางจะป่วยเองได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ท่านอย่ามีโทสะเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้ที่สำคัญในยามนี้คือขอให้เย่ว์เอ๋อร์มีไข้ลดลงแล้วฟื้นขึ้นมาก่อน” เจียงซื่อพยามไกล่เกลี่ยไม่ให้แม่ลูกทะเลาะกัน
“ท่านแม่ ไม่มีใครได้ยินว่าม่านเอ๋อร์พูด นี่เป็นการคาดเดานะขอรับ” นายท่านใหญ่ พยามเอ่ยแก้ตัวให้บุตรสาวคนเล็กของเขา
เมื่อเหลียนฮวากับเถาฮวาได้ยินก็คุกเข่าพร้อมเอ่ยขอความเป็นธรรมในทันที เถาฮว่าเป็นคนแรกที่พูดว่า “นายท่านใหญ่เจ้าคะ บ่าวผู้น้อยขอยืนยันว่าหลังจากที่บ่าวยกน้ำชาเข้ามา ก็มองเห็นคุณหนูหกขดตัวร้องไห้เสียใจอยู่บนเตียง ในขณะที่คุณหนูสามมองบ่าวแล้วยิ้มทำหน้าสะใจในความทุกข์ผู้อื่นก่อนจะเดินจากไปเจ้าค่ะ”
“ใช่เจ้าค่ะ หลังจากนั้นบ่าวพยามถามคุณหนูหกว่าร้องไห้ทำไม นางส่ายหน้าแล้วสื่อสารว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางไม่มีแล้ว แล้วก็ร้องไห้เสียใจมากเจ้า” เหลียนฮวาเล่าซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงสั่นเพราะการร่ำไห้อย่างหนัก
“หลังจากนั้นบ่าวพยามอ้อนวอนขอให้คุณหนูหกกินข้าวเที่ยงดื่มยา คุณหนูก็ไม่ยอม จนยามบ่ายคุณหนูเริ่มตัวร้อนเนื่องจากเป็นไข้ บ่าวพยามป้อนยาแต่คุณหนูหกก็ไม่ยอมดื่ม ยามเย็นคุณหนูหกก็หมดสติไปแบบนี้เจ้า ฮือๆ” เถาฮวากล่าวเสริมด้วยความโศกเศร้าทั้งร่ำไห้เสียงดัง ทุกคนในห้องต่างฟังด้วยความสะเทือนใจ
เจียงซื่อพอได้ฟังก็คุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ “หลี่ม่านจะเป็นคนบอกหรือไม่ ตอนนี้ข้าจะไม่เอ่ยแก้ตัวใดๆ แทนนาง ท่านแม่เจ้าคะที่สำคัญตอนนี้คือข้าอยากขอให้ท่านแม่ไปพักก่อนที่สุขภาพท่านจะทนไม่ไหว ส่วนพวกเจ้าก็หยุดร่ำไห้เสีย เสียงดังอย่างนี้คงจะรบกวนคุณหนูหกของพวกเจ้าแล้ว ขอเพียงท่านแม่สุขภาพดี เย่ว์เอ๋อฟื้นขึ้นมา หายเจ็บไข้ พวกเราค่อยมาชำระความกันในภายหน้าเจ้าค่ะ ตอนนี้ลงโทษกักบริเวณไปก่อน นะเจ้าคะท่านแม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่เมื่อได้ฟังคำของลูกสะใภ้คนโต อารมณ์โกรธที่พุ่งสูงพลันคลายลง แต่ยังอดกล่าวโทษนายท่านใหญ่ไม่ได้ “ดูสิ เจ้ามีภรรยาแสนดีขนาดนี้ยังดึงดันจะรับนางอัปรีย์ผู้นั้นเข้ามาในจวน สุดท้ายก็สร้างแต่เรื่องเดือดร้อนวุ่นวายไม่จบ”
“ท่านแม่ลูกอกตัญญูต่อท่านแล้ว ขอท่านแม่ได้โปรดคลายโทสะด้วยขอรับ” นายท่านใหญ่ยอมลงไปคุกเข่าขอโทษที่พื้น ทุกคนจึงต้องรีบลงไปคุกเข่าที่พื้นด้วย
“เอาล่ะๆ ทุกคนรีบลุกขึ้นเถอะ สะใภ้ใหญ่เจ้าพาข้ากลับห้องนอนของข้าก่อนเถิด สะใภ้รองลำบากเจ้าช่วยดูแลเย่ว์เอ๋อแทนข้าด้วย พรุ่งนี้จวนจงอู่โหวคงจะมีเรื่องใหญ่มาให้แก้ไขอย่างแน่นอน งานไว้อาลัยยังต้องมีคนดูแล เจ้าใหญ่เจ้ารองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวจบก็ยื่นมือให้เจียงซื่อประคองตนกลับเรือนนอน หลีมามาและสาวใช้คนสนิทติดตามกลับออกไปจากห้อง นายท่านใหญ่หันมาสบตานายท่านรอง ด้วยแววตาลำบากใจ
“ลำบากน้องสะใภ้แล้ว” นายท่านใหญ่เอ่ยลาน้องสะใภ้พร้อมรับการคำนับลาก่อนจะเดินกลับไปเรือนนอน
นายท่านรองสบตากับภรรยาตนอย่างหนักใจก่อน แล้วเอ่ยขอตัวลาไปพักผ่อนเช่นกัน ซ่งซื่อเอ่ยฝากให้ฟู่เสียนโหย่วช่วยดูแลฟู่เสียนเย่ว์ใหดี เพราะนางจะขอเดินออกไปส่งนายท่านรองที่หน้าเรือน
เมื่อทุกคนออกไปจนหมด ในห้องปีกข้างแห่งนี้จึงเหลือเพียงฟู่เสียนโหย่ว สาวใช้คนสนิทของนางนามเสี่ยวจิ่ว คนรับใช้ของฟู่เสียนเย่ว์ เหลียนฮวา และเถาฮวา น้ำตาและความเจ็บแค้นของฟู่เสียนโหย่ว ก็ทะลายออกมา นางจับมือของเด็กน้อยบนเตียงร่ำไห้
“พวกเจ้าดูสิ น้องหกของข้าป่วยหนักขนาดนี้กลับลงโทษหลี่ม่านแค่กักบริเวณเท่านั้น ทำไมท่านพ่อจึงมีใจลำเอียงเช่นนี้ ข้าไม่ได้รังเกียจที่นางเป็นลูกอนุ แต่ข้ารังเกียจนิสัยเลวร้ายของนาง” เสียงร่ำไห้ในห้องเหมือนจะดังขึ้นสักครู่ก่อนจะสงบลง
มือเรียวขาวผ่องของฟู่เสียนโหย่วกุมมือเล็กไว้จนอุ่นร้อน ไม่ยอมปล่อยมือจนเผลอหลับฟุบไปบนเตียง ซ่งซื่อกลับมามองหลานสาวทั้งสองแล้วส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปจับหน้าผากของเด็กน้อยบนเตียง
“ไข้เริ่มลดแล้ว สีหน้าดีขึ้นแล้วนี่”
“บ่าวก็สังเกตุว่าหน้าคุณหนูหกดูดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
“เหลียนฮวา เจ้าปลดม่านมุ้งลงแล้วหรี่แสงเทียนอีกหน่อย เถาฮวากับเสี่ยวจิ่วอุ้มประคองคุณหนูรองขึ้นเตียง ให้พวกนางนอนด้วยกันนั่นล่ะ ส่วนพวกเจ้านั่งเฝ้าดูให้ดี ข้าจะไปนั่งปักผ้าอีกฝั่งของฉากกั้น หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้พวกเจ้ารีบเรียกข้า”
เมื่อไฟในห้องหรี่ลง คนเฝ้าในห้องเริ่มเคลิ้มหลับเพราะวันนี้มีเรื่องมากมาย ร่างกายจึงอ่อนล้า จึงไม่มีใครสังเกตุเห็นว่า เด็กน้อยที่แสร้งหลับตามาตลอดแอบลืมตาขึ้น กวาดสายตามองสภาพรอบห้องด้วยความรูสึกแปลกประหลาดใจ
ความจริงนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานานแล้ว และนอนหลับตาแอบฟังพร้อมทั้งทำความเข้าใจเรื่องน่าประหลาดเหล่านี้ด้วยความประหลาดใจ ครั้นจะเอ่ยปากพูด ก็เหมือนว่าปากของนางหนักมาก แขนและขาอ่อนแรงไปหมด จึงทำได้เพียงนอนฟังและคิดวิเคราะห์เรื่องราวอยู่ในใจ ยามนี้นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ปากเล็กๆ ของนางขยับขึ้นลงและมีเสียงแหบพร่าพูดไม่ค่อยชัด ดังขึ้นเบาๆ
“ข้าฟื้นกลับมาแล้ว”
.............
