Ep1 ผมต้องรู้สึกยังไงวะครับเนี่ย!!
ผมยืนมองหน้าคนตรงหน้า ตาคมของเขาจ้องกลับมาที่ผมอย่างไม่ลดละ หัวใจผมเต้นเร็วรัวขึ้นเหมือนกับว่าผมพึ่งวิ่งมาราธอน 4x 100 มาใหม่ ๆ แต่จะให้ทำยังไงได้ละครับ ในเมื่อเขาคือคนที่ผมเจอเมื่อคืน และ… เขาคือคนที่มาขโมยจูบแรกของผมไปอย่างไม่ทันตั้งตัว!
“คุณ… คุณ…” ผมพูดอะไรไม่ออก จังหวะนี้คำพูดที่เตรียมไว้มากมายล้วนกลายเป็นเสียงที่ขาดหายไปในลำคอ ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี การได้เห็นเขาอีกครั้งมันช่างทำให้หัวสมองของผมมึนตึ๊บปั่นป่วนไปหมด
“คุณเซบัสใช่ไหมครับ?” เขาถามเสียงเรียบ ขัดกับท่าทางที่ผมเห็นเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง เขามองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออกมากมายเท่าไหร่นัก คงไม่แปลกถ้าเขาจะจำผมไม่ได้ แต่ว่าผม… ผมยังจำเขาได้ดี
ผมพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจก่อนตอบกลับไป
“ใช่ครับ…”
อึดใจหนึ่งที่เงียบไป ทุกอย่างในห้องดูเหมือนจะหยุดชะงักไปหมด ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผม ทุกอย่างมันดูเป็นความบังเอิญที่ไม่น่าเชื่อ… และไม่คิดว่าจะต้องเจอเขาที่นี่
เขามองผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “ขอโทษครับ เมื่อคืน…” เสียงเขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “คงทำให้คุณตกใจมากสินะครับ”
ผมไม่ตอบในทันที หัวใจยังคงเต้นแรง แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติที่สุด “ไม่เป็นไรครับ… เอ่อ… คุณแอสตันใช่ไหมครับ?” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ตัวเองฟังดูมั่นใจและเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้า แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบเอกสารบางอย่างออกมา “เชิญนั่งครับ ผมคงจะต้องทำงานกับคุณเซบัสในเรื่องบางอย่างเร็ว ๆ นี้” ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “งานของทางบริษัทเราจะต้องร่างและทำสัญญาภายในเดือนหน้า ระหว่างนี้เราคงต้องเจอกันหลังเลิกงานทุกวัน”
อะไรวะครับเนี่ย นี่ผมต้องเจอเขาหลังเลิกงานทุกวัน แน่นอนว่าผมกำลังเสนอโปรเจคใหม่ เขาก็จบด้านวิศวะกรรมคอมพิวเตอร์ และข้อมูลปฏิบัติการทางด้านปัญญาประดิษฐ์เหมือนกันกับผม ซึ่งนั่นพวกเราต้องได้เจอกันบ่อยแน่ๆ
ความรู้สึกประหลาดเริ่มท่วมท้นในตัวผม มันไม่ใช่แค่ความตกใจจากเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ยังเป็นการที่ต้องมานั่งอยู่ในห้องเดียวกับเขา ผู้ชายที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออีก ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวันหรือที่ทำงานก็ตามเถอะ
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว แอสตันก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรหรือครับ?”
ผมสะดุ้งนิดหน่อย แล้วรีบหันไปมองเขา รู้สึกอายขึ้นมาทันที ผมว่าใบหน้าของผมในตอนนี้มันน่าจะแดงก่ำซะด้วยซ้ำ “เอ่อ… เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผมบอกพร้อมกับเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา หัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะเริ่มคลายลงบ้าง แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงอาการกระวนกระวายที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
แอสตันนั่งลงที่โต๊ะแล้วมองมาที่ผม “ถ้าพร้อมแล้ว ผมอยากให้คุณช่วยจัดการบางเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานของเราครับ” เขาบอกโดยไม่พยายามหลบสายตาผมเลยแม้แต่น้อย
“ครับ…” ผมตอบเสียงแผ่ว ๆ ขณะที่ตัวเองยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำงานร่วมกับเขาได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อการเจอกันในคืนนั้นภาพเหตุการณ์ยังคงพร่ามัวในใจผมอยู่
ความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง หลังจากที่เขาพูดจบ เขากลับไปจดจ่อกับเอกสารในมือ ทั้งที่ผมเองก็พยายามจะไม่มองเขามากเกินไป แต่เหมือนสายตาของผมมันก็หนีไม่พ้นจากเขาได้เสียทีเดียว
แอสตันกลับไปทำงานอย่างเงียบ ๆ หัวสมองของผมยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเมื่อคืนที่ไม่สามารถลืมได้ แม้ว่าในตอนนี้มันจะดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่เคร่งเครียดและจริงจังในงาน แต่ผมกลับจำภาพเขาในยามนั้นได้ดี รอยยิ้มของเขา ความอบอุ่นที่ผมสัมผัสได้เมื่อเขาเข้ามาใกล้
ความรู้สึกนี้ทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ มันเหมือนกับว่าผมกำลังถอยหลังไปในสถานการณ์ที่ควรจะหลีกเลี่ยง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง ผมเองก็ไม่สามารถลืมเรื่องเมื่อคืนได้เลย
ผมอยากจะบ้าวะครับ!!
“คุณเซบัส” เสียงเขาดึงสติของผมกลับมา ผมหันไปมองเขาที่ยังก้มหน้าจดจ่อกับงานตรงหน้า “ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคืนนี้… ผมอยากให้เราร่วมงานกันแบบสบายๆ โดยไม่รู้สึกอึดอัด ที่เมื่อคืนผมจูบคุณก็เพราะว่าผมรำคาญพวกผู้หญิงที่ตามตอแยมาถึงหน้าห้องน้ำเท่านั้นน่ะครับ”
โอ้ยยย โล่งอกไป!! ผมหัวใจเต้นตุบๆ
น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังและไม่มีการประชดประชันแต่อย่างใด มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ที่แท้ก็เอาผมเป็นไม้กันหมานี่เอง ตลกชะมัด!!
“ไม่ครับ…” ผมตอบเสียงแผ่ว พยายามทำให้ตัวเองฟังดูมั่นใจขึ้น “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ… ผมแค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
แอสตันเงียบไปชั่วครู่ เขามองมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านยาก แล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้นใหม่ “ถ้าคุณมั่นใจแล้ว งั้นเราก็เริ่มงานกันดีกว่า”
ผมพยักหน้ารับ สายตาของเราประสานกันแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอกสารบนโต๊ะแล้วเริ่มอธิบายงานที่ต้องทำให้ผมฟัง ผมตั้งใจฟังแต่ในใจกลับยังเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกที่ผมไม่สามารถจัดการกับมันออกไปได้
โอ๊ยย ผมเป็นอะไรไปวะครับเนี่ย ปกติผมค่อนข้างจะเครซี่ในการทำงานจะตายไป
ยอมรับว่าความอึดอัดในอากาศยังคงมีอยู่ แต่ผมพยายามตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนทุกคำที่ออกจากปากเขามันจะถูกบดบังด้วยเสียงหัวใจของผมก็ตามเหอะ
“งั้นเอาเป็นว่าหลังเลิกงานคุณค่อยมาหาผมอีกที เรามีเวลาหนึ่งเดือนที่จะร่วมงานกันทุกๆ สองชั่วโมงหลังเลิกงาน ตามนี้นะครับ”
“ครับ” ผมรับปากเขาแล้วก็เดินออกมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตัก
หลังเลิกงาน
ผมมายังห้องเมเนเจอร์ แน่นอนว่าถึงเขาจะยังไม่ขึ้นรับตำแหน่ง CEO เนื่องด้วยบิดาของเขายังถือควบตำแหน่งนั้นอยู่ แต่ผมก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นใคร ผมเดินหอบเอกสารพะรุงพะรังก่อนจะกดกริ่งเพื่อบ่งบอกสัญญาณให้คนด้านในได้รู้ เมื่อประตูห้องเปิดอ้าออก ผมก็เห็นผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้านในกับเขา
“อ้าว เซบัส มาก็ดีแล้ว นี่อาเทอร์ ทนายของบริษัทเรา เขาต้องมาคอยจดและบันทึกทุกกระบวนการการผลิตชิ้นงานในครั้งนี้”
แอสตั้นแนะนำผมกับใครอีกคนให้รู้จักกัน
“ยินดีที่ได้ร่วมงานครับคุณอาเทอร์” แน่นอนว่าผมทักเขาก่อน
“ยินดีที่ได้ร่วมงานเช่นกันครับคุณเซบัส”
“เท่าที่ผมดูประวัติ พวกเราอายุน่าจะเท่ากัน งั้นก็สบายๆ เลยนะครับ ไม่ต้องคิดว่าผมเป็นเจ้านายหรืออะไรให้มันรู้สึกอึดอัด คิดซะว่าผมก็เป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง”
คนร่างสูงที่สุดในห้องเอ่ยขึ้น
“แต่ถึงผมจะใจดี แต่ทุกอย่างของผมต้องอยู่ในกรอบและความถูกต้อง”
เขาพูดมา แม้ผมจะงงๆ ไปหน่อย แต่ก็ช่างเหอะ
พวกเราเริ่มขยับเก้าอี้เข้ามาทำงาน ผมลอบมองไปยังทนายที่มาใหม่ ทำไมเขาดูดีจังวะ จะว่าไปคนทั้งคู่หน้าตาก็แอบคล้ายกันเหมือนกันนะเนี่ย ด้วยสายงานของผม ทุกคนต้องมาดูวิธีสาธิตหุ่นประดิษฐ์โปรแกรมจำลองที่ผมสร้างขึ้น ตอนนี้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ต่างมีสองหนุ่มจุ้มหัวเข้ามาใกล้ๆ ผม
แม่เจ้าโว๊ยยย ผมแทบหยุดหายใจ แต่ผมยังคอนเฟิร์มนะครับ ว่าผมชอบผู้หญิง แต่ใจเจ้ากรรมแม่ง!! เต้นแรงอยู่ได้
พวกเราทำงานลากยาวโดยไม่มีใครวอกแวก จนเวลาล่วงเลยจะหนึ่งทุ่ม
“ไปหาอะไรกินกัน เดี๋ยวคนจะเอาผมไปว่าได้ ว่าใช้งานพวกคุณจนคุ้ม แต่ไม่ดูแลอะไร”
“เอ่อ ..!!” ผมอึกอัก แต่แล้วเสียงของไอ้ทนายหน้าหล่อก็เอ่ยดังขึ้น
“ไปเถอะครับ หรือว่าคุณเซบัสมีนัดอยู่แล้วครับ”
ทนายหน้าหล่อมันหันมาถามผม ทีงี้ก็เข้ากันกับเจ้านายเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ ผมก็จำเป็นต้องตอบไปตามตรงสิครับว่า
“ผมไปได้ครับ ไม่ได้มีนัดอะไร”
ในที่สุดผมก็คงต้องตามน้ำไปสิวะครับ ก็ใครจะไปกล้าขัดพวกเจ้านาย
ณ.ร้านอาหารแห่งหนึ่ง..
มันเป็นร้านอาหารกึ่งภัตตาคาร มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านอยู่ด้านล่าง พวกเขาพาผมมาที่ตึกอะไรสักอย่าง มันดูหรูหรามาก มีกระจกแก้วใสที่มองเห็นวิวเมืองแบบ 360 องศา พวกคนรวยก็ดีงี้สินะ ตอนนี้ผมเริ่มหันมาสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง ถึงมันจะมีราคาและขึ้นห้าง แต่มันก็เป็นป้ายแบรนด์ทั่วๆ ไปป่าววะครับ ดูของคุณๆ เขาสิ นั่นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกทั้งนั้นที่พวกเขาสวมใส่ แค่นาฬิกาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบอสของผม มันแพงกว่ารถที่บ้านผมตั้งสามคันแหน่ะ
พนักงานสาวสวยพาพวกผมเดินไปโซนอะไรสักอย่าง ดูๆ แล้วน่าจะบุ๊คกิ้งเอาไว้ มันมีโซนกั้นอีกชั้นหนึ่งยิ่งเพิ่มความเป็นส่วนตัว ผมนี่เดาใจเจ้านายไม่ออกเลยครับว่าทำไมต้องลงทุนไปขนาดนี้ ก็แค่พาพนักงานมากินข้าว แต่ก็เอาวะ คิดไรมากมาย ก็พวกคนรวยพาพนักงานหัวกะทิอย่างผม กับเจ้าพ่อแห่งวงการกฏหมายออกมาเลี้ยงทั้งที จะให้ไม่เล่นใหญ่ได้ไง แต่ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อพนักงานผู้ชายเดินเข้ามา แล้วมีท่าทีเหมือนรู้จักกับบอสของผม
พอผมเผือกเรื่องของเขาสักพักก็ถึงบางอ้อ ที่แท้เจ้าของตึก 24 ชั้นนี่เป็นเพื่อนของเขาตอนที่เรียนที่อเมริกาด้วยกัน อ้อ .. ผมนี่เก็ตละ
“พวกคุณอยากสั่งอะไรก็เลือกได้เต็มที่เลยนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปธุระทางนั้นก่อน และก็ทานกันตามสบายได้เลย”
อะไรวะครับ บอสของผมมันสั่งผมกับไอ้ทนายหน้าหล่อให้กินกันแค่สองคน แบบนี้ก็ได้หรอ ….
