ตอนที่ 7 เนิน 491
ตอนที่ 7
เนิน 491
หลังจากที่หาซื้อเสื้อผ้าไว้สำหรับตัวเองและหญิงสาว นักรบก็พาชาครียาเดินทางต่อไปยังเนิน 491 หรือด่านทัพต้นไทร ซึ่งเป็นชื่อเรียกพื้นที่รอยต่อระหว่างพรมแดนพรมแดนไทยและสหภาพพม่าตั้งอยู่ในเขตตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ระหว่างไทยกับพม่า และปัจจุบันกำลังถูกพัฒนาให้เป็นแห่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์
ชาครียายังไม่เห็นว่าจะมีที่ใดน่าเที่ยวนอกจากธรรมชาติของเนินเขายังคงมีให้เห็นและสูดโอโซนบริสุทธิ์เข้าปอดเป็นว่าเล่น นักรบเดินดุ่มไปยังบ้านพักอาศัยของชาวบ้านแถบนั้น บางครั้งเขาก็แทบจะหลงลืมว่าเธอมาด้วย แต่บางครั้งมือของเธอก็อยู่ในอุ้งมือใหญ่แทบตลอดเวลาเช่นกัน
หญิงสาวตระหนักได้อย่างหนึ่งว่าผู้ชายที่เดินอยู่ตรงหน้าซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ ในยามที่เขาไม่หันมาชวนคุยหรือหัวร่อต่อกระซิก เขาก็มักจะจมอยู่กับความคิดไปตามลำพัง ชาครียาอยากรู้นักว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนความคิดของเขาจะลึกซึ้งเสียจนเธอแทรกตัวเองเข้าไปไม่ถึง และด้วยมารยาทที่พึงมีเธอไม่ควรจะถามเอากับเขาจึงได้แต่ทำทุกอย่างตามเขาไปแบบเงียบๆ เช่นกัน
“สวัสดีครับป้า ไม่ทราบว่าแถวนี้มีโฮมสเตย์บ้างหรือเปล่าครับ”
“ถามหาโฮมสเตย์แถวนี้คงไม่มีหรอกพ่อคุณ ต้องเลยไปอีกจนเกือบติดชายแดนนู่นแหละ” ป้าคนนั้นไม่เพียงแต่บอก ยังชี้มือชี้ไม้ไปยังทิศทางที่บอก
“หรือครับ แล้วชายแดนที่ว่าเนี่ยมันปลอดภัยหรือเปล่าครับ”
“สมัยนี้ไม่มีอะไรหรอกพ่อ ไม่ใช่เมื่อก่อนจะได้วิ่งกันระนาว”
“ครับ ขอบคุณป้ามากนะครับ”
นักรบกล่าวขอบคุณแล้วหันมาหาชาครียา สังเกตสีหน้าของเธอแล้วยังไหว นึกชื่นชมที่แม้จะเป็นผู้หญิงก็ไม่บ่นแม้เขาจะพาเดินตากแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้
“พักก่อนไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ชาครียาส่ายหน้า
“ขอโทษนะที่ต้องพามาเดินตากแดด” เขาเห็นใจเพราะความอดทนของผู้หญิงต่างกับความอดทนของชายชาติทหารอย่างเขาลิบลับ
“คิตตี้ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ตอนเป็นไกด์ก็ทรหดไม่น้อย ต้องทำทุกอย่างให้พร้อมและรวดเร็วกว่าลูกทัวร์ กินก็ต้องกินทีหลังแล้วเสร็จก่อน นอนก็ต้องนอนทีหลังหนำซ้ำก็ยังต้องตื่นก่อน มันเป็นหน้าที่ค่ะถ้าไม่อดทนก็อดได้ตัง”
นักรบยิ้มแล้วหันไปบอกป้าเจ้าของบ้านที่ยังยืนมองพวกเขาอยู่เช่นเดิม
“ขอน้ำดื่มสักแก้วได้ไหมครับป้า”
ป้าเจ้าของบ้านรีบกุลีกุจอไปหาน้ำเย็นๆ มาส่งให้ นักรบรับแล้วส่งต่อมาให้ชาครียา หญิงสาวดื่มไปครึ่งแก้วแล้วส่งคืนให้เขา แต่ชายหนุ่มส่ายหน้า
“พี่ไม่หิว คิตตี้ดื่มเถอะ”
สุดท้ายน้ำที่เหลือครึ่งแก้วก็เสร็จชาครียาจนหมด...
โฮมสเตย์ที่เข้าพักเป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีฟ้าใส เจ้าของเป็นตากับยายอายุประมาณ 70 ปี สอบถามได้ความว่าทั้งคู่ไม่มีลูกเพราะเสียชีวิตไปหมด เหลือแค่หลานชายเพียงคนเดียวซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยอยู่บ้านนัก
“ตากับยายอยู่กันสองคนแบบนี้ไม่กลัวหรือคะ” ชาครียาถามเพราะพวกท่านอายุมากขนาดนี้ สภาพร่างกายก็คงไม่แข็งแรงเท่าคนอายุ 40 แล้วแถวนี้ก็ดูจะเปลี่ยวไม่ใช่น้อย หากมีแขกมาพักไม่น่าไว้วางใจคิดจะทำร้ายพวกท่านขึ้นมา ใครล่ะจะช่วยได้
“ไม่กลัวหรอกอีหนูเอ๊ย อยู่มาจน 70 ปี อีกไม่นานก็ตายแล้วจะกลัวอะไร”
น่าสงสารตากับยายจัง
“แล้วหลานไม่กลับมาบ้างเลยหรือคะ ที่จริงน่าจะดูแลตากับยายบ้างนะ”
“โอ๊ย!! มันไม่เคยมาสนใจหรอก วันๆ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน นอกจากหิวโซไม่มีเงินกินนั่นแหละถึงจะกลับมาหาข้าวกินทีนึง”
“แถวนี้ก็มีนักท่องเที่ยวพอสมควรนะครับ ไม่รู้ว่าเป็นคนไทยหมดหรือเปล่า” นักรบออกความเห็นหลังจากที่มองสำรวจไปทั่วอาณาบริเวณอันเงียบสงบ
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไปเชียวพ่อหนุ่ม เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้มันต่างกัน เดี๋ยวนี้นะไทยกับพม่าแถวนี้แทบจะรวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ทำอะไรก็จะทำร่วมกันเสมอ พวกพม่าก็เข้ามากันเป็นว่าเล่นไม่รู้ว่าเข้ามาทำอะไรกันปะปนกับนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด พวกเราแก่แล้วไม่อยากสนใจหรอก ขอแค่ไม่สร้างความรำคาญหรือทำร้ายพวกเราเป็นพอ”
“ถัดไปนั่นเป็นไร่กาแฟใช่ไหมครับ” นักรบเปลี่ยนคำถาม เขากำลังเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ ก่อนจะสำรวจด้วยตัวเอง
“ใช่ เขาปลูกกาแฟกันทั้งสองฝั่ง ข้ามสันปันน้ำไปฝั่งพม่าก็ปลูกกาแฟนะ เดี๋ยวแดดร่มลมตกก็เดินไปดูสิ”
“ครับ ตอนนี้ผมกับแฟนขอตัวไปพักก่อนนะครับ”
“ตามสบายเถอะพ่อ นอนให้อิ่มแล้วลงมาทานข้าวกันก่อนออกไปเที่ยวนะ ยายจะทำอาหารไว้รอ”
นักรบพาชาครียาขึ้นไปพักบนห้อง บ้านหลังนี้ท่าจะปลูกสร้างมานานพอดูเพราะเวลาที่คนตัวโตๆ อย่างเขาเดินไปบนพื้นไม้ก็ได้ยินเสียงไม้ลั่นตลอด ชาครียาทำหน้าแปลกๆ เมื่อฟังเสียงไม้ดังสนั่น นักรบเป็นฝ่ายอมยิ้มแล้วนั่งบนเตียงเหล็กที่เก่าพอสมควร
เตียงเหล็กขนาด 3 ฟุต ตั้งเดี่ยวอยู่ริมฝา มีหน้าต่างกระจกไร้ม่านบดบังมองออกไปเห็นความเขียวขจีของเทือกเขาตะนาวศรี ตากับยายคงคิดจะให้นักท่องเที่ยวชมความงามของธรรมชาติ แต่ดูแล้วมันกำลังสร้างปัญหาให้นักท่องเที่ยวอย่างเขาและชาครียา ลำพังผู้ชายอย่างเขาไม่หนักหนาสาหัสเท่าผู้หญิงสวยอย่างเธอหรอก ก็แค่นั่งบนเตียงมองลงไปจากหน้าต่างก็เห็นคนเดินไปมาอยู่เบื้องล่าง แล้วหากจะมีใครสักคนเงยหน้าขึ้นมามองล่ะ ผ่านกระจกใสแจ๋วขนาดนี้คงไม่ต้องบรรยายว่าจะเห็นอะไรบ้าง
“อยู่ได้ไหม” นักรบถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วง เห็นเธอมีสีหน้าเป็นกังวลก็นึกสงสาร เขาพาเธอมาลำบากหรือเปล่านะเนี่ย
“ได้ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วนั่งตัวลีบเมื่อนักรบโอบร่างแล้วดึงเข้าหาตัว เธอไม่ได้กลัวเขาแต่กลัวสายตาคนอื่น
“ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนนะ น่าจะมีที่อื่นให้นอนอยู่หรอก”
“ไม่เป็นไร คิตตี้นอนได้ เอ่อ...สบายมาก” ถ้าไม่ติดเรื่องหน้าต่างกระจก เธอก็ไม่ต้องกังวลแบบนี้เพราะที่นี่ไม่ต่างจากบ้านเธอสักเท่าไหร่
“แน่นะ” เขาก้มหน้าลงมาจนเกือบชิด แก้มสาวกระทบกับไออุ่นของลมหายใจผ่าวร้อน “พื้นไม้ ขนาดเดินยังเสียงดัง แล้วถ้าขย่มคงจะดังกว่า แล้วเตียงเหล็กขนาดนั่งก็ร้องเอี๊ยดอ๊าด ถ้าพี่ห่มสะโพกแรงๆ คงดังลั่นห้อง” เขากระซิบข้างหู แล้วคลอเคลียจมูกกับปากอยู่แถวซอกหู
ชาครียาหน้าแดงซ่าน ฟังเขาบรรยายแล้วอยากเปลี่ยนใจขอย้ายที่พัก แต่จะเป็นการเรื่องมากเกินไปหรือเปล่า ที่สำคัญเธออยากอุดหนุนคุณตาคุณยายด้วยน่ะสิ
“อย่ากังวลไปที่รัก ทุกอย่างมีทางแก้ ถ้าคิดจะทำ” นักรบปลอบเสียงหวาน แล้วดันร่างระหงให้นอนราบก่อนตนจะเป็นฝ่ายทาบทับ “แบบนี้คนข้างล่างก็คงมองไม่ถนัดนัก”
“พี่รบ”
“ถ้าเตียงดังนักเราก็ย้ายไปทำที่อื่น”
หญิงสาวเบือนหน้าหนีกลีบปากที่ลดต่ำลงมาหา พร้อมเอามือยันอกกว้างไว้มั่น
“ละเว้นไม่ดีกว่าหรือคะ”
“ฮื้อ...ใจร้ายจังคนอะไร” เขาต่อว่าไม่จริงจัง กดจูบลงบนแก้มแล้วเคลื่อนไปทั่วดวงหน้า ร่างกายกำยำเบียดเข้าสู่กลางหว่างขา ใช้เข่าดันเรียวขาให้อ้าออกจากกัน
“แต่...ตากับยายจะได้ยิน” เธอบอกอย่างขวยเขินเกินกำลัง เบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากที่ยังคงเดินหน้าซุกไซ้ไม่ห่าง จากแก้มก็เลื่อนต่ำสู่ลำคอ
“พี่มีวิธี แต่คิตตี้ต้องช่วยด้วย”
ชาครียาผงกหัวขึ้นมองคนที่ฝังใบหน้าอยู่กลางอกอวบ ดูเขาจะไม่คิดอะไรมากเท่าเธอเลยสักนิด คล้ายกับแน่ใจว่าทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี มั่นใจในฝีมือขนาดนั้นเชียวเหรอ
“ห้ามร้องเสียงดังเท่านั้นพอ”
ฟังคำขอของเขาที่ดังอยู่กลางหว่างอกแล้ว หญิงสาวก็ทุบอักลงบนบ่ากว้าง นักรบเพียงแต่ดึงหน้าขึ้นจากความหอมแล้วยิ้มกว้างใส่ตาเขียวๆ อย่างน่าหยิก ก่อนจะซุกซบลงไปใหม่อย่างติดใจ คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเริ่มเคลื่อนไปตามแนวกระดุมแล้วปลดออกทุกเม็ดในเวลาแค่เพียงอึดใจจนหญิงสาวไม่ทันรู้ตัว รู้อีกทีเธอก็เกือบเปลือยเปล่าระทดระทวยอยู่บนเตียงเสียแล้ว
เมื่อทั้งคู่เปลือยเปล่าเหมือนกัน นักรบก็คุกเข่าขึ้นเตียง และเพียงร่างหนาขึ้นไปด้วยเท่านั้น เสียงเตียงเหล็กเก่าๆ ก็ดังขึ้น “เอี๊ยด อ๊าด”
“ตายแล้วพี่รบ” ชาครียาอุทานหน้าแดงเถือก อารมณ์หวานๆ ดูจะสะดุดยังไงไม่รู้ ทว่านักรบกลับยิ้มขำๆ
“ยังไม่ตาย ประสบการณ์จำไว้ยาหยี”
“ประสบการณ์อะไรแบบนี้ เซี้ยวใหญ่แล้ว” เธอบอกแล้วผลักร่างหนาให้ออกห่าง แต่มีหรือนักรบจะยอม
“ไม่ทันแล้วคนสวย พี่ต้องการเธอจะแย่ เห็นมั้ย”
เธอไม่เห็นหรอกแต่รู้สึกได้เพราะเขาครูดส่วนที่แสดงความต้องการอย่างเด่นชัดไปบนหน้าท้องแบนราบ ความร้อนผ่าวที่บอกเป็นนัยๆ ว่าต่อให้เตียงพังเขาก็คงไม่ถอย ร่างแกร่งเสียดสีเนื้อสาวเนียนละเอียด ครูดไถความรุมร้อนไปทั่วเนื้อนวลของยอดดวงใจ ปลุกเร้าความต้องการของหญิงสาวให้พลุ่งพล่านแม้จะยากกว่าทุกครั้ง แต่เขาก็มั่นใจว่าทำได้
ฝีมือของนาวาโทนักรบซะอย่าง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
“หลับตาคนดี แล้วคิดถึงแต่พี่ อย่าสนใจเรื่องอื่น”
เขากำลังร่ายมนตร์ใส่เธออีกแล้วใช่หรือไม่ แค่บอกเสียงพร่าแค่นี้เธอก็หลับตาลงง่ายๆ หนำซ้ำยังอ้าขาแล้วเกี่ยวเอวหนาเป็นลูกลิงเสียอีก
“ดีมาก คิดถึงแต่เจ้านี่” เขาเสือกความกำยำเข้าไปในแอ่งน้ำหวาน “มันกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ คิดถึงแต่มัน แล้วเธอจะลืมทุกสิ่ง”
ถ้าบอกว่าเขาคือพ่อมด เธอก็อาจจะเชื่อ เพราะเขาชอบทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองตลอดเวลา อย่างในเวลานี้ทั้งที่หูได้ยินเสียงเตียงดังลั่น แต่เธอก็ยังกอดร่างหนาไว้แน่นเหมือนทุกครั้ง แค่เขาคลอเคลียดวงหน้าที่ซอกคอเธอก็เผยอปากรอรับจูบจากเขาอย่างตั้งใจ การเติมเต็มที่ไม่มีวันลดราวาศอก แค่เบียดบดและเคล้าคลึงก็ปั่นป่วนไปทั่วท้องน้อย เหมือนมีคลื่นสวาทก่อมวลเป็นคลื่นลูกใหญ่ พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากอง
แก่นกายถูกดูดเข้าไปในซอกหลืบ แล้วดึงออกจนเกือบทิ้งหายก่อนจะผลักกลับเข้ามาใหม่ ไม่รุนแรงรวดเร็วเหมือนทุกครั้ง แต่เชื่องช้าอย่างแสนทรมาน และถึงจะพยายามทำทุกอย่างให้เงียบเชียบก็ยังไม่วายได้ยินเสียงเตียงเลื่อนกระทบข้างฝา เสียงขาเตียงดังลั่นสะท้านอยู่ในหู ดังเหลือเกินแล้ว ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนร่างของเธอที่ลอยคว้างขึ้นไปบนท้องฟ้า ไขว่คว้าดาวดาษดื่นนับล้านดวงในตอนกลางวัน
ลมหายใจโรยรินคล้ายจะขาดใจเสียให้ได้ เมื่อร่างทั้งร่างทั้งผลักให้ตกจากแผ่นฟ้าลอยละลิ่วหวีดร้องครวญคร่ำปริ่มว่าจะขาดใจ
“พี่รบ!!!”
กระแสเสียงแห่งความทรมานดังลั่นอยู่ข้างหู นักรบกัดริมฝีปากแน่นกว่าทุกครั้งและโหมแรงอัดทะยานตัวตนให้เสร็จสมอารมณ์หมาย รอยจูบที่มาพร้อมกับเสียงคำรามลั่นในลำคอเบียดขยี้กลีบปากอิ่มเต็มอัดลมหายใจเติมเต็มจนชุ่มปอด ร่างหนากระตุกเร่าก่อนซุกซบแนบอกอิ่ม
หลังจากคลื่นสวาทผ่านพ้นไป ทั้งคู่ก็พากันลงมาทานอาหารที่ตากับยายเตรียมไว้ให้ และพอเห็นสายตาแปลกๆ รอยยิ้มบางๆ ที่คล้ายจะเอ็นดู ชาครียาก็ได้แต่ก้มหน้า
“ไม่ต้องอายหรอกอีหนู ตากับยายได้ยินมาเกือบทุกครั้งที่มีคู่ผัวเมียเข้ามาพัก ยิ่งแรงก็ยิ่งดัง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ยิ่งได้ยินตาแซวแบบนี้ชาครียาก็ยิ่งเหมือนคนเป็นใบ้เข้าไปทุกที
“เอ็งจะทำแรงขนาดไหนยายไม่ว่าหรอกนะพ่อหนุ่ม แต่ขออย่างเดียวอย่าพังเสาเรือนยายก็แล้วกัน ฮ่ะ ฮ่ะ”
ถูกแซวซะขนาดนี้แก้มของนักรบก็ฉาบสีไปเหมือนกัน
“อาหารมื้อแรกมีอยู่ 3 อย่าง สำหรับคน 2 คน ทานให้อิ่มๆ นะ จะได้มีแรงสำหรับคืนนี้”
ยายยังแซวอย่างสนุกปาก นักรบแก้เขินด้วยการดึงมือหญิงสาวนั่ง เขาตักกับข้าวใส่จานข้าวให้เธอแอบส่งตาหวานให้เป็นขนมหวาน ชาครียาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับชายหนุ่ม เธอทานอาหารมื้อนี้ไปเงียบๆ
หลังจากมื้ออาหารผ่านพ้นไป หญิงสาวก็ช่วยยายเก็บถ้วยชามไปล้าง นักรบจึงแยกตัวไปหามุมเงียบๆ เพื่อติดต่อใครบางคน
“ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่เนิน 491 ครับท่าน”
“ดี ผมกำลังจะบอกคุณอยู่พอดี เรื่องนี้คงต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวของคุณช่วยหาข่าวให้ นักค้ายากลุ่มนี้เป็นกองกำลังติดอาวุธ มีหัวหน้าเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยรบของพม่า แน่นอนว่าพวกมันจะไม่อยู่เฉยให้ถูกจับหรอก แต่เรื่องนี้ผมวางตัวช่วยไว้แล้วเพราะผู้พันจะต้องออกลาดตระเวนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี่นา เท่าที่ทราบการยกพลขึ้นบกครั้งต่อไปของผู้พันถ้าจะหนักเอาการอยู่ เพราะฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือพอตัว ผมเห็นใจผู้พันถึงได้วางตัวช่วยซึ่งคิดว่ามีฝีมือไม่แพ้กัน ต่างกันตรงที่เขาไม่ใช่นาวิกโยธินเท่านั้น”
“แล้วแต่ท่านนะครับ ถ้าได้ความคืบหน้ายังไง ผมจะส่งเรื่องกลับไปให้ท่านอีกที”
“อืม...ระวังตัวด้วยล่ะผู้พัน”
“ครับผม”
นักรบกดวางสายแล้วสอดส่ายสายตามองหาความผิดปกติในบริเวณนั้นตามปกติวิสัยของคนที่ระวังตัวตลอดเวลา ก่อนจะเดินตัวตรงเข้าไปรับชาครียาออกมาเพื่อจะพาเธอไปสันปันน้ำที่ไหล่มาจากเทือกเขาตะนาวศรี ที่นั่นจะทำให้เขาได้ข่าวที่ต้องการ
“คิตตี้ไม่คิดว่าพี่รบจะชอบเที่ยวลุยๆ แบบนี้” เธอถามเมื่อหยุดมองสันปันน้ำที่อยู่เบื้องหน้า สันปันน้ำที่ว่ายังต้องเดินต่อไปอีกค่อนข้างไกล นักรบไม่อยากพาหญิงสาวไปลำบากจึงหยุดมองอยู่แค่ตรงนี้ ซึ่งเขามองเห็นทุกสิ่งอย่างที่อยู่เบื้องล่างได้ถนัดตาพอสมควร
“ทำไม พี่ดูไม่ติดดินหรือไง”
“บอกไม่ถูกค่ะ พี่รบเป็นคนที่เข้าถึงได้ยากมาก”
“นี่ชมหรือด่าพี่กันน่ะหืม...”
“ไม่ได้ด่านะคะ คิตตี้สังเกตว่าพี่รบชอบคิดอะไรอยู่คนเดียวเสมอ”
“สังเกตพี่ด้วยหรือเนี่ย”
ชาครียายิ้มหวาน จะให้บอกว่าเธอลอบมองเขาตลอดเวลาก็น่าจะถูก หลายครั้งที่เขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนมี 2 คนในร่างเดียว บางทีก็เหมือนจะขี้เล่นติดจะกวนๆ สักหน่อย บางทีก็ไม่พูดไม่จาเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดตามลำพัง แล้วยังทำหน้านิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น เห็นแบบนั้นเธอก็ไม่กล้าเข้าใกล้เหมือนกัน
“ค่ะ คิตตี้เป็นคนช่างสังเกตนะจะบอกให้”
“ถ้างั้นคิตตี้มองไปข้างล่างแล้วเห็นอะไรบ้าง บอกพี่หน่อยสิ”
ชาครียาเลิกคิ้วแล้วมองลงไปยังสันปันน้ำเบื้องล่าง ที่ที่เธอยืนนั้นเป็นเนินเขาสูงพอประมาณ เธอมองเห็นคนหลายคนเดินไปมา บ้างก็ฉายเดี่ยว บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม บ้างก็กระเตงลูกโดยการพันผ้าไขว้หลัง แต่เอ...ลูกของพวกเขาคงตัวเล็กน่าดู ผ้าถึงได้ปิดหมดจนไม่เห็นหัวและขาของเด็ก
“แปลกจัง ทำไมเขากระเตงลูกตั้งแต่ยังแบเบาะ”
ประโยคนั้นตรงกับความคิดของนักรบพอดี เขามองความผิดปกตินั้นอยู่แล้ว
“ไม่ใช่ลูก แต่อาจจะเป็นสิ่งของ” ชายหนุ่มเปรยขึ้น
“น่าจะใช่นะคะ อืม...คงเป็นชาวพม่าเอาของใส่ในผ้าเพราะขี้เกียจถือล่ะมั้ง”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด อยากจะลงไปดูใกล้ๆ ถ้าไม่กลัวว่าเธอจะเหนื่อยมากเกินไป เพราะกว่าจะมาถึงโฮมสเตย์เขาก็พาเธอเดินมาไกลพอดู ชาครียาเป็นผู้หญิงที่มีความอดทนสูงทีเดียว เขาจึงตัดสินใจพาเธอลัดเลาะไปทางร้านรวงที่วางขายผลิตภัณฑ์ทำจากเครื่องเงินของพม่า
ตาคมแลเห็นแหวนเงินประดับพลอยสีน้ำเงินวงหนึ่ง ดีไซน์ของมันน่ารักเหมาะกับมือบางๆ ของผู้หญิง เขาถามราคาของมันตอนที่ชาครียาไปซื้อน้ำ แล้วแอบอุดหนุนคนขายทันทีอย่างไม่ต้องเลือกมาก
“นายจะส่งมาเมื่อไหร่วะ ลูกค้ารอนานแล้วนะโว้ย”
“เห็นว่าพรุ่งนี้มั้ง ต้องดูทางให้ดีก่อน จมูกคนมีสีมันไว”
“เออ กูก็ว่างั้น มาเยอะแบบนี้ถ้าถูกจับคงตายสถานเดียว”
“มึงก็พูดดังไป เดี๋ยวคนอื่นได้ยินแล้วจะยุ่ง”
นักรบนิ่งฟังประโยคสนทนานั้นอย่างตั้งใจ เขาทำทีเป็นดูเครื่องเงินจับโน่นจับนี่จนคนพูดเดินห่างไปไกลแล้วถึงจะหันไปมอง สิ่งที่ได้ยินต้องเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังตามอยู่แน่ เสียดายที่พวกมันไม่พูดถึงสถานที่ไม่งั้นจะได้ส่งข่าวถูก แต่ถึงอย่างไรพรุ่งนี้เขาคงต้องตามดูให้แน่ใจกว่านี้
“พี่รบคะ น้ำค่ะ” ชาครียาส่งขวดน้ำดื่มให้ นักรบเห็นเป็นขวดที่ยังไม่เปิด เขาจึงแบมือ
“เอาขวดในมือคิตตี้ดีกว่า”
“ขวดนี้คิตตี้ดื่มแล้ว ขวดนั้นของพี่รบต่างหากค่ะ”
“พี่จะดื่มขวดเดียวกับคิตตี้ มีปัญหาอะไรไหม”
“อ้อ...แล้วก็ไม่บอก” หญิงสาวส่งขวดที่เธอดื่มไปแล้วให้ เขาเปิดดื่มแต่ตายังมองเธอตลอดเวลา หญิงสาวเห็นสายตาเชื่อมหวานก็หลุบมองริมฝีปากที่กำลังดื่มน้ำ เธอกะพริบตาเมื่อเห็นเรียวลิ้นตวัดเล่นอยู่บนปากขวด
นักรบขยิบตาให้ราวกับหนุ่มเจ้าชู้ เขาเห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนเป็นระเรื่อก็พอใจกระดกน้ำดื่มจนหมดขวดแล้วเดินไปทิ้งลงถังขยะ
“น้ำอะไรไม่รู้ หวานสู้น้ำของคิตตี้ไม่ได้”
“พี่รบน่ะ อย่าล้อคิตตี้เล่นสิคะ” เธอหยิกต้นแขนแล้วบิดแรงๆ นักรบได้แต่นิ่วหน้าเท่านั้นแล้วจับมือบางอีกข้างขึ้นมาจรดริมฝีปาก
“ไม่ได้ล้อ แต่พูดเรื่องจริง เย็นมากแล้วกลับบ้านพักเถอะ พี่คิดถึงเสียงเตียงจะแย่แล้ว”
“ฝันไปเถอะ คิตตี้ง่วง อยากนอนมากกว่า” เธอบอกแล้วดึงมือออกก่อนจะเดินนำกลับไปทางเก่า
นักรบคลายยิ้มในขณะที่เดินตามเธอต้อยๆ เขาจำเป็นจะต้องทำให้เธอเหนื่อยมากๆ จนสลบให้นานพอที่เขาจะมีโอกาสทำงานสำคัญ
เสาเรือนคงจะสั่นคลอนมากกว่าเดิม...
เมื่อรถจิ๊บคู่ใจของพันตรีวีรบุรุษตีวงเข้ามาในบ้าน คุณเอนกและคุณวดีก็ลุกจากโซฟา และเมื่อบุตรชายเดินเข้ามาทั้งคู่ก็เดินเข้าไปหา
“เมื่อกี้แม่ดูข่าวพวกนักค้ายา แม่สังหรณ์ใจยังไงบอกไม่ถูก” คุณวดีจับมือลูกบีบกระชับ ข่าวที่ผ่านตาไปสดๆ ร้อนๆ มันบอกเป็นนัยๆ ว่างานนี้อาจจะเกี่ยวกับลูกชายคนโตอย่างพันตรีวีรบุรุษ สินธุภาค
“พ่อก็ด้วย ทุกครั้งไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ครั้งนี้กลับรู้สึกนั่งไม่ติด”
“พวกหนักแผ่นดินน่ะครับ คุณพ่อคุณแม่อย่าห่วงเลย เราจัดการพวกมันได้อยู่แล้วเชื่อฝีมือทหารไทยเถอะครับ” วีรบุรุษบอกยิ้มๆ
“พ่อกับแม่ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะจัดการกับพวกมันไม่ได้ แต่หมายถึงใครจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้มากกว่า”
วีรบุรุษหลุบตาลงกั้นสายตาค้นคว้าจากบุพการีทั้งสอง เขาไม่เคยปิดบังอะไรพวกท่านได้สักครั้ง แต่ทุกครั้งความลับก็เปิดเผยเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ นายทหารกล้าแห่งกองทัพบกซึ่งมักจะถูกส่งไปเป็นสายลับอยู่บ่อยครั้งต้องถอนใจ เรื่องสายลับเป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่คิดจะบอกใคร ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาหรือแม้แต่เพื่อนรักอย่างนาวาโทนักรบ
ชายหนุ่มยิ้มเมื่อมองคนเป็นแม่แล้วเขาก็พยุงแม่ไปนั่งบนโซฟา โดยมีบิดานั่งขนาบอีกข้างหนึ่ง
“อย่ากังวลไปเลยครับคุณพ่อคุณแม่ ผมหิวจะแย่ วันนี้มีอะไรให้ทานบ้างครับ”
เมื่อลูกเปลี่ยนเรื่องเอาปากท้องตัวเองมากล่าวอ้าง บุพการีจำต้องลืมเรื่องทุกข์ใจแล้วตะโกนสั่งให้คนจัดโต๊ะอาหาร ความจริงวีรบุรุษทานเข้ามาเรียบร้อยแล้วแต่เขาต้องหาเหตุมาเบี่ยงเบนความสนใจของบิดามารดา ด้วยกลัวว่าจะจนมุมกับคำถาม ชายชาติทหารถูกสอนให้ปากแข็งไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ โดยเฉพาะความลับของกองทัพ แต่ความลับที่จำต้องปิดบังบุพการีผู้ให้กำเนิดมันยากนักที่จะไม่บอกกล่าว แค่เห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยวีรบุรุษก็เกือบหลุดปากบอกไปอยู่หลายครั้ง ทว่าที่สุดเขาก็ยังเก็บงำความจริงเอาไว้จนนาทีสุดท้ายของภารกิจ
“น้องแพรมุกกลับจากเยอรมันแล้วใช่ไหมครับ” เขาหาเรื่องชวนคุยด้วยการพูดถึงแพรมุก พิณพรรณราย สาวสวยนักเรียนนอกที่บิดามารดาอยากได้เป็นลูกสะใภ้ เรื่องนี้สกัดกั้นความกังวลของบุพการีได้ชะงักแล เพราะทั้งสองคลี่ยิ้มออกมาบางเบา
“ใช่จ้ะ หนูแพรกลับมาคราวนี้สวยจนจำแทบไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้ หนูแพรไปเยอรมันไม่กี่ปีกลับมาก็อายุ 24 แล้ว ได้ยินว่าคว้าเกียรตินิยมมาได้ด้วยนะ เก่งจริงๆ”
“โห...คุณแม่ยกยอปอปั้นขนาดนี้ สงสัยว่าผมคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมสักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะจำผมได้หรือเปล่านะครับ”
“จำได้สิ วันนี้แม่ไปหามาแล้ว หนูแพรยังถามถึงพี่วีเลยนะว่าสบายดีหรือเปล่า เห็นว่าว่างๆ จะมาเที่ยวบ้านเราด้วย”
วีรบุรุษยิ้มขณะตักข้าวคำแรกเข้าปาก เขายังจำเด็กสาวตัวบางแขนขายาวเก้งก้างได้ดี ตอนนั้นแพรมุกมีอายุ 15 เพิ่งจะทำบัตรประจำตัวประชาชน ยังเอามาอวดเขาอยู่เลย เขาเห็นแล้วก็หัวเราะร่วนเพราะรูปถ่ายหน้าตรงของเธอเหมือนถูกบังคับให้ถ่ายมากกว่าจะเต็มใจ หน้าตาบึ้งตึงงอหงิกหมดสวยปรากฏอยู่บนบัตรประชาชนของนางสาวแพรมุก ขนาดเขายังหัวเราะแล้วถ้าคนอื่นเห็นคงหน้าแดงหน้าดำล่ะทีนี้
“เหรอครับ ไม่พกหนุ่มฝรั่งกลับมาด้วยเหรอครับ”
“ตาวี อย่าพูดแบบนี้ให้น้องได้ยินนะลูก ผู้ชายอะไรปากร้ายไปว่าน้องอย่างนั้นได้ไงกัน”
“ผมไม่รู้นี่ครับ ก็เห็นส่วนใหญ่พอเรียนจบก็พกแฟนกลับมาเมืองไทยกันทั้งนั้น ไปนานขนาดนั้นยังไงก็ต้องมีบ้างล่ะน่ะ แต่ช่างเถอะครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย”
“ตาวี” บิดาเรียก “ถ้าหนูแพรยังไม่มีใคร เราก็เดินหน้าทำคะแนนเลยสิ”
วีรบุรุษอ้าปากค้างทั้งที่มีข้าวอยู่เต็มปาก
“คุณพ่อจะไม่ให้น้องแพรเขาทำใจมั่งเลยหรือไงครับ”
“ทำใจอะไร”
“ก็ทำใจเรื่องผมไงครับ เขาคิดยังไงกับผมก็ยังไม่รู้เลย ที่สำคัญผมเป็นทหารนะครับ ส่วนเค้าเป็นสาวนักเรียนนอก โปรไฟล์ก็ไม่น่าจะเข้ากันได้แล้วล่ะครับ”
“อ้าว...ก็เห็นว่าติดต่อกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่เมื่อนานมาแล้วนะครับ ตอนนั้นผมเห็นเค้าเป็นน้องที่ค่อนข้างจะสนิทสนมกัน ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น”
แล้ววีรบุรุษก็หวนคิดถึงวันเก่าๆ เวลาไปไหนมาไหนเบื้องหลังเขาจะมีเด็กผู้หญิงผมซอยสั้นรูปร่างเก้งก้างเดินตามเสมอ แต่เขาก็ไม่คิดจะไล่เธอ อยากเดินก็เดิน อยากวิ่งก็วิ่ง อยากตามก็ตาม แพรมุกก็อึดนักติดตามเขาได้ทุกแห่งหน ยกเว้นเวลาที่เขาหนีไปคนเดียวไม่บอกให้เธอรู้
ตอนนั้นเขาเอ็นดูเธอไม่น้อย อยู่กับเธอเห็นเธอยิ้มจนตาหยี เห็นลักยิ้มทั้งสองข้างก็พอใจมองอะไรด้วยรอยยิ้มไปหมด แพรมุกตัวน้อยไร้พิษภัยและน่ารักไม่ใช่เล่น แล้วเสน่ห์ของเธอจะไม่เข้าตาฝรั่งมังค่าเข้าบ้างหรอกหรือ เด็กๆ ก็สวยน่ารักโตขึ้นมาก็ต้องดูดีกว่าเดิม
เอ...หรือจะแย่ลงนะ
“เหรอ...ถึงยังไงแม่ก็อยากได้หนูมุกมาเป็นลูกสะใภ้นะ ถ้าแกชอบเค้าสักนิดอย่ารอช้ารีบทำคะแนนอย่างเร่งด่วน”
“ผมยังไม่รู้จะเอาเวลาไหนไปจีบเค้าเลย คุณพ่อคุณแม่ก็เห็นว่าผมทำงานตลอด งานของผมเกไม่ได้ซะด้วยนะครับ”
คุณวดีอยากบิดเนื้อลูกชายให้เขียวนัก เรื่องจะโยเยเนี่ยถนัดหาข้ออ้างไปได้เรื่อย ยศขนาดนี้จะงานยุ่งแค่ไหนกันเชียว เห็นในทีวีพวกที่สวมเครื่องแบบมีเวลาว่างมาเถียงกันอยู่เลย หากวีรบุรุษจะหาเวลาว่างก็ต้องมีบ้างล่ะน่ะต่อให้งานยุ่งมากมายแค่ไหนก็เถอะ
ยกเว้นก็แต่...บุตรชายจะมีภารกิจที่สำคัญยิ่งเท่านั้น
“เอาเถอะ พ่อกับแม่ไม่บังคับแกหรอก เข้าใจถึงภาระหน้าที่รั้วของชาติดี และก็อยากให้แกระมัดระวังตัวไว้บ้าง ยังแขวนพระที่พ่อให้หรือเปล่าล่ะลูก”
“ครับพ่อ ผมไม่เคยถอด”
“ดีแล้ว อ้อ...วันนี้แม่เค้าทำลอดช่องน้ำกะทิไว้ให้แกด้วยนะ กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวให้เด็กยกมาให้เลยจะได้ล้างคาว”
แล้วขนมหวานของโปรดก็วางรอไว้อยู่บนโต๊ะในนาทีต่อมา วีรบุรุษเห็นขนมหวานฝีมือมารดาก็รีบตักข้าวใส่ปากจนหมดแล้วต่อด้วยลอดช่องน้ำกะทิถ้วยโปรด ลืมหมดสิ้นเรื่องของแพรมุกแต่ไม่ลืมบทบาทหน้าที่สำคัญในวันพรุ่งนี้
