4 ยื่นมือช่วยชีวิต
4
ยื่นมือช่วยชีวิต
เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน กับการพยายามเปล่งเสียงออกมาให้เป็นประโยค เพื่อขับไล่เด็กสาวที่มายุ่งวุ่นวายกับเขา อีกไม่กี่อึดใจแล้วแท้ๆ โม่โฉวก็จะได้ไปสบาย เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งส่งใครก็ไม่รู้ให้เดินผ่านมาแถวนี้อีก
และแทนที่เด็กคนนี้จะเดินผ่านไปเฉยๆ กลับมาหยุดยุ่มย่ามกับร่างกายเขาอีก จะตายทั้งทีให้ตายอย่างไร้มลทินไม่ได้หรือไร เด็กบ้านี่ก็ลามกชะมัด ลงมือเปลื้องผ้าเขาราวกับคนไร้ยางอาย คงคิดว่าเขาตายแล้วจริงๆ สินะ ถึงได้กล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้
“จะเจ้า… ว่าอันใดนะ?”
เพราะเสียงที่โม่โฉวเปล่งออกมา ช่างเบาราวกับเสียงของสายลมพัดผ่าน ซีซวนจึงได้ยินไม่ถนัดและจับใจความไม่ได้ โม่โฉวจึงพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเอ่ยอีกครั้ง และครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะมีแรงทำสิ่งใดได้
“ออกไป!”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่โม่โฉวเอ่ยออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด ก่อนที่เขาจะหมดแรงสลบไปอีกครั้ง
ซีซวนถึงกับสะดุ้งตกใจ นางผงะถอยหลังเล็กน้อย พร้อมบ่นอุบอิบด้วยความไม่เข้าใจบุรุษผู้นี้
“เป็นบ้าอันใดของเขากัน? สภาพยิ่งกว่าปลาขาดน้ำใกล้ตายอยู่รอมร่อ แทนที่จะขอให้ช่วยกลับไล่กันเสียอย่างนั้น”
ด้วยความไม่เข้าใจผสมหงุดหงิดที่ถูกตะคอกใส่ ซีซวนจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินหันหลังหนีตามคำขอ ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเท้าเล็กกลับหยุดชะงัก ยืนนิ่งอยู่กับที่ขณะสีหน้าครุ่นคิดไม่ตก
นางไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ มิใช่คนใจดำหรือแล้งน้ำใจเสียเมื่อไหร่ จะปล่อยให้คนใกล้หมดลมหายใจ นอนรอความตายอยู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่ยังมีโอกาสช่วยเหลือเขาได้อย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าซีซวนทำไม่ได้
หลังทะเลาะกับตัวเองอยู่ชั่วครู่และฝั่งคนดีชนะขาด ร่างเล็กจึงหันกลับไปหาโม่โฉว ซึ่งหมดสตินอนแน่นิ่งไปแล้วอีกครั้ง กวาดสายตามองรอบกายเพื่อหาบางสิ่ง ที่พอจะนำมาทำเปลใส่บุรุษผู้นี้ลากกลับที่พัก
ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ เด็กสาวตัวเล็กถึงใช้สิ่งประดิษฐ์ที่ทำขึ้นมาลวกๆ เคลื่อนย้ายบุรุษที่มีร่างใหญ่กว่านางเกือบสองเท่าตัว มายังที่พักของนางได้
กระท่อมเก่าๆ โทรมๆ ซึ่งถูกปล่อยทิ้งร้างอยู่ในป่าข้างสนามรบ เป็นที่พักของซีซวนมาตลอดระยะเวลาร่วมห้าปี
การหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุสิบสาม โดยไร้สิ่งของมีค่าติดกายมาสักชิ้น ส่งผลให้นางไม่มีทางเลือกในการดำรงชีวิตอยู่ต่อมากนัก ยังดีที่มีโชคหาที่พักไว้ซุกหัวนอนได้
และเหมือนจะได้โชคชั้นที่สอง เมื่อบ้านหลังใหม่ของนางนั้นอยู่ไม่ห่างจากสนามรบ ที่มักจะมีพวกทหารมาสู้รบและนอนตายเกลื่อน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ชั้นดีจากการคุ้ยหาของมีค่าจากซากศพ นำไปขายเอาเงินมาซื้ออาหารกินในแต่ละวัน
พวกพ่อค้าก็ช่างหน้าเลือดเสียเหลือเกิน เห็นว่านางยังเป็นเด็กและดูไร้ที่พึ่ง จึงทั้งกดขี่ เอาเปรียบ และขูดรีดสารพัด ของที่ได้มาควรขายได้ราคาดีกว่านี้ แต่พวกมันกลับให้ราคา ราวกับของพวกนั้นเป็นเพียงเศษขยะไร้ค่า จากที่ควรมีเงินเก็บซื้อเสื้อผ้า หรือของใช้ดีๆ ให้กับตัวเองบ้าง กลายเป็นว่าแค่เงินซื้อของกินในแต่ละวันยังแทบไม่พอ
“เฮ้อ~ หนักชะมัด!”
ซีซวนทิ้งเปลที่ตนเอากิ่งไม้มาขัดสานกันไว้ โดยด้านบนมีร่างของโม่โฉวนอนสิ้นสติอยู่ลงกับพื้น ก่อนหย่อนสะโพกนั่งลงตามด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ผ่านไปสักระยะเมื่อพอมีแรงกลับคืนมา จึงลุกขึ้นเดินไปพลิกร่างหนา ให้นอนราบลงกับกองหญ้าแห้งด้านข้าง ก่อนจัดการแหวกเสื้อของเขาออก เพื่อตรวจดูบาดแผลบนร่างกาย
โม่โฉวแทบไม่มีร่องรอยโดนทำร้าย มีเพียงแผลขนาดย่อมของการถูกแทง ที่ด้านข้างบริเวณกลางลำตัวเท่านั้น เท่าที่สังเกตจากคราบเลือด ซึ่งไหลออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ดูท่าแล้วน่าจะสาหัสสากรรจ์พอสมควร
หลังตรวจสอบจนแน่ใจว่ามีเพียงบาดแผลจุดนี้จุดเดียว ซีซวนจึงหยัดกายลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกกระท่อม เพื่อค้นหาสมุนไพรสมานแผล ที่ตนเคยใช้รักษาบาดแผลของตัวเองยามได้รับบาดเจ็บ
ใช้เวลาสักพักผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงกลับเข้ามาภายใน มือบางข้างหนึ่งถือพืชต้นเล็กๆ มาหนึ่งกำมือ ขณะที่อีกข้างยกสิ่งของที่หน้าตาดูคล้ายครกหิน แต่สภาพของมันค่อนข้างไม่สมประกอบสักเท่าไหร่เข้ามาด้วย
ซีซวนจัดการตำสมุนไพรที่หามาจนแหลก โปะเข้าไปยังบาดแผลถูกแทงข้างลำตัวโม่โฉว ตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนเก็บข้าวของซึ่งวางเกลื่อนบนพื้นเข้าที่ เดินตรงไปยังมุมกระท่อมอีกฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่วางเตียงหญ้าแห้งของตน
คืนนี้เป็นคืนที่หนักหนาสำหรับนางยิ่งนัก ตั้งใจจะออกไปหาของมีค่า แต่กลับได้บุรุษบาดเจ็บ แถมยังไร้หัวนอนปลายเท้ากลับมาหนึ่งคน ช่วยเหลือแล้วจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าที่ทำไปทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่า ตื่นเช้ามานอนแข็งตายอยู่บนพื้นอีกล่ะ
ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ซีซวนจึงเตรียมล้มกายนอนลงเพื่อพักผ่อน ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นริมฝีปากของโม่โฉว ดูแห้งผากจากการขาดน้ำมาร่วมหลายวัน แตกแยะมีโลหิตไหลซึมออกมาจนดูน่าสงสาร
เขาคงรู้สึกหิวน้ำมากนั่นคือสิ่งที่นางคิดภายในใจ จึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาคนซึ่งนอนแน่นิ่งอีกครั้ง พร้อมก้มหยิบกระบอกไม้ไผ่ ที่ด้านในมีน้ำหลงเหลืออยู่เกือบครึ่งติดมือมาด้วย
ซีซวนจัดการช้อนศีรษะทุยสวยให้ผงกขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ เทของเหลวให้ลงผ่านช่องริมฝีปากซึ่งกำลังเผยอออก น้ำเกือบทั้งหมดไหลออกจากมุมปากทั้งสองข้าง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไหลลงสู่ลำคอ
กระบอกไม้ไผ่กลับไปว่างเปล่า น้ำหยดสุดท้ายถูกเทให้โม่โฉวดื่มจนหมด ถึงแม้ความกระหายของบุรุษผู้นี้จะยังไม่คลายจนสิ้น แต่เพราะยามนี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว ลำธารที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งลี้ จะเดินไปตักมาให้ตอนนี้ก็กระไรอยู่
ฝูงสัตว์ป่าล่าเนื้อออกหากินกลางคืนมีถมไป นางต้องลงทุนเสี่ยงอันตรายเพื่อบุรุษแปลกหน้าเชียวหรือ จึงตัดสินใจให้เขาดื่มน้ำเพียงเท่านั้น เพื่อบรรเทาความกระหายไปก่อน ส่วนตัวเองก็กลับไปล้มตัวนอนลงบนเตียงอีกหน
ด้วยความเหนื่อยล้าและง่วงงัน ไม่นานซีซวนจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด มีเพียงเสียงสัตว์ป่าที่ออกหากินกลางคืน ดังคลอเสียงลมหายใจของทั้งสองซึ่งเข้าออกสม่ำเสมอ
แต่จู่ๆ กลับเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับร่างกายของวโม่โฉว บาดแผลถูกแทงค่อยๆ สมานเข้าหากันจนปิดสนิท ราวกับบริเวณนั้นไม่เคยถูกคมดาบทิ่มแทง
ร่างกายที่ซูบลงพอสมควรจากการอดอาหารมาร่วมสามวัน คืนสภาพกลับมากลายเป็นปกติ กล้ามเนื้อแน่นตึงประหนึ่งกินอาหารมีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ริมฝีปากซีดเซียวแห้งผาก เริ่มมีความชุ่มชื่นเข้ามาแทนที่ ปรากฏสีแดงระเรื่อเจืออยู่บนกลีบปากหยัก อีกทั้งดวงตาสีนิลกาลที่ควรปิดสนิท กลับลืมตื่นเต็มตาขึ้นในความมืดมิด
โม่โฉวที่นอนหมดสติในคราแรก ลุกพรวดขึ้นมานั่งทำหน้าตาตื่นตระหนก หันมองรอบกายตัวเองด้วยความงุนงงสับสน เข้าใจว่ายามนี้ตนได้เดินทางสู่ปรภพไปแล้ว ทว่าทุกสิ่งที่มองเห็น หน้าตามันดูคล้ายกระท่อมร้าง มากกว่าห้องโถงที่ควรมียมทูตยืนเรียงกันอยู่เสียมากกว่า
หลังคามุงด้วยหญ้าแห้งดูชำรุดทรุดโทรม มีรูโบ๋จนไม่อาจบดบังสายฝนหรือแสงแดดได้มิด ผนังเป็นช่องกว้างจนตัวคนสามารถลอนผ่าน แม้มีการนำเศษกิ่งไม้มาวางกั้นเอาไว้ แต่กลับไม่ได้ดูแข็งแรงหรือกันอันตรายจากสัตว์ป่าได้เลย
โม่โฉวถอนหายใจกับสิ่งที่เห็น เขารับรู้ได้ในทันทีว่ายามนี้ตนยังคงมีชีวิตอยู่ คงมีใครบางคนมาช่วยเอาไว้ในช่วงเวลาสุดท้าย แม้จะรู้สึกผิดหวังที่ยังไม่ตาย แต่ในใจลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจเช่นกัน
ดวงหน้าหล่อเหลาหันมองไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อค้นหาผู้ช่วยชีวิต แม้รอบกายจะมืดสนิท แต่ดวงตาสีนิลกาลกลับมองเห็นทุกสิ่ง ราวกับยามนี้เป็นเวลากลางวัน นี่คงเป็นพลังจากพรที่ได้รับมาไม่ผิดแน่
ไม่นานสายตาคมจึงไปสะดุดเข้ากับก้อนเนื้อขนาดใหญ่ ซึ่งนอนคุดคู้อยู่บนก้อนหญ้าแห้งอีกฝั่งของกระท่อม โม่โฉวจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และพบว่าบุคคลที่นอนขดตัวกลมดิกตรงหน้านั้น คือเด็กสาวที่เขาพยายามไล่ในตอนนั้นนั่นเอง
“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ ว่าให้ไปซะ”
ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกจากจมูกด้วยความหนักใจ หลังเอ่ยกับคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องจนจบ
ชะตาชีวิตของเด็กคนนี้จะเปลี่ยนไป นางไม่อาจอยู่ที่นี่ตามลำพังได้อีก เพราะซีซวนได้ถือชีวิตของโม่โฉวเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว จะเต็มใจหรือไม่ เด็กสาวผู้นี้ก็ต้องกลับไปพร้อมเขา
