บท
ตั้งค่า

5 กลับคืนถิ่น

5

กลับคืนถิ่น

ร่างสูงใหญ่กำยำโน้มกายลงเล็กน้อย ใช้สองแขนแข็งแรง ช้อนร่างเด็กสาวเนื้อตัวมอมแมมขึ้นมาไว้บนบ่ากว้าง ประหนึ่งนางเป็นเพียงกระสอบบรรจุนุ่นอันเบาหวิว

การเป็นคนนอนขี้เซาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผสมกับความเหนื่อยล้ากว่าวันอื่นๆ ส่งผลให้คนซึ่งกำลังถูกแบกอยู่ไม่รู้สึกตัว ยังคงหลับใหลจนน้ำลายไหลย้อยเปื้อนแผ่นหลังโม่โฉว แม้ตนเองจะมีสภาพหัวห้อยต่องแต่งอยู่ก็ตาม

โม่โฉวพาซีซวนออกมาด้านนอกกระท่อม แหงนหน้ามองท้องฟ้าเพื่อใช้ดวงดาวจับทิศทาง เมื่อระบุจุดหมายปลายทางได้แล้ว เขาจึงใช้พลัง ที่เพิ่งได้รับมาจากเทพบนดวงจันทร์อย่างสดๆ ร้อนๆ ออกตัวพุ่งทะยานวิ่งฝ่าความมืดมิด

เพียงแค่ชั่วหนึ่งอึดใจเดียวเท่านั้น โม่โฉวก็มายืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าค่ายทหารของตน ซึ่งค่ายนี้ตั้งอยู่ห่างจากสนามรบร่วมหกลี้

(3 กิโลเมตร) เลยทีเดียว

ทหารทั้งสองนายซึ่งทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูค่าย ถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เมื่อพื้นที่ว่างเปล่าด้านหน้า จู่ๆ เกิดกระแสลมพัดผ่านอย่างรุนแรงจนฝุ่นฟุ้ง ก่อนปรากฏร่างบุรุษปริศนา ที่คล้ายจะแบกอะไรบางอย่างบนบ่ามาด้วย ยืนเด่นอยู่ตรงหน้าพวกเขา

ทั้งสองยกทวนที่ถืออยู่เล็งไปยังบุรุษผู้นั้น ก่อนเพ่งสายตามองเพื่อตรวจสอบ ความรู้สึกคุ้นเคยคล้ายกับว่าเป็นคนรู้จัก ทำให้พวกเขาค่อยๆ ลดระดับอาวุธ และขยับกายเข้าไปใกล้มากขึ้น เพื่อยืนยันสิ่งที่ตนรู้สึก

“ท่านแม่ทัพ!!”

หลังมั่นใจว่าใช่คนที่คิดเอาไว้อย่างแน่นอน ทั้งคู่จึงร้องตะโกนด้วยความดีใจละคนสับสน

ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาส ได้พบปะพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาของตนอีกครั้ง เพราะข่าวที่ทุกคนได้รับรู้มานั้น คือโม่โฉวถูกฆ่าตายคาสนามรบไปแล้ว

ทหารทุกนายในค่ายต่างร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ ทว่ากลับไม่มีใคร กล้าเดินทางไปยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะพวกฝีมือดีพึ่งพาได้ ก็พากันไปตายอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว

อีกทั้งมีข่าวแว่วมาอีกว่า มีทหารของแคว้นกังเพ่นพ่านในละแวกนั้นเต็มไปหมด พวกเขาจำต้องตั้งหลักรอคอยอยู่ที่นี่ ตั้งใจว่าเมื่อระยะเวลาครบเจ็ดวันแล้วยังไม่มีผู้ใดกลับมา จะพากันถอยทัพกลับเมืองหลวง

แต่แล้วบุคคลที่ทุกคนรอคอยก็กลับมาปรากฏตัว แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ สร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร ซึ่งกำลังหมดหวังได้เป็นอย่างดี

“หยุดร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้วรีบไปตามเหล่าผู้บัญชาการที่เหลือ ไปพบข้าที่กระโจม”

โม่โฉวออกคำสั่งเสียงเข้ม เขาเข้าใจความรู้สึกของสองคนนี้ดี ตลอดสามวันที่ผ่านมาทุกคนคงสับสนและเคว้งคว้าง เมื่อต้องตกอยู่ในสภาวะขาดผู้ชี้นำทาง จะกลับเมืองหลวงเลยก็ไม่กล้า จะอยู่ต่อก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่เพื่อรอสิ่งใด ดั่งเรือไร้ไม้พาย ลอยเคว้งอยู่กลางทะเลสาบที่ไร้คลื่น

ทหารสองนายรีบกุลีกุจอหันหลัง วิ่งแยกกันไปคนละทิศละทางเพื่อทำตามคำสั่ง ขณะโม่โฉวเดินตรงดิ่งไปยังกระโจมหลังใหญ่ ซึ่งอยู่ทางปลีกซ้ายของค่าย

ยามนี้ปาเข้าไปค่อนคืนแล้ว อีกไม่กี่ชั่วยามดวงอาทิตย์จะเริ่มทอแสงของเช้าวันใหม่ ทหารโดยส่วนใหญ่ต่างพากันพักผ่อน มีเพียงกลุ่มน้อยซึ่งต้องเดินเวรยามอยู่ด้านนอก

จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่าโม่โฉวกลับมา เพราะการเคลื่อนไหวของเขาปราดเปรียวว่องไวกว่ามนุษย์ธรรมดา นอกจากทหารยามสองนายหน้าประตูค่ายเมื่อครู่

โม่โฉววางซีซวนลงบนเตียงนอนขนสัตว์แสนนุ่มนิ่ม ดึงผ้าห่ม

ขนแกะผืนหนาขึ้นมาคลุมร่างเล็กเอาไว้ลวกๆ ก่อนหมุนกายเดินไปอีกฝั่งของกระโจม เพื่อจัดการร่างกายตัวเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย

ใช้เวลาเพียงไม่นาน โม่โฉวก็กลับมาอยู่ในชุดเกราะอันหนักอึ้ง แต่สำหรับเขายามนี้ ราวกับสวมใส่อาภรณ์ขนห่านไว้บนร่างกาย หาใช่เหล็กกล้าตามที่ควรจะเป็นไม่

พลังที่ได้รับมาจากเทพบนดวงจันทร์ ทำให้ชีวิตโม่โฉวดูง่ายดายไปเสียทั้งหมด จะเดิน วิ่ง ยก หรือทำอะไรก็แล้วแต่ แทบไม่ต้องออกแรงเลยสักนิดเดียว ทุกสิ่งเป็นไปตามใจนึกคิด

แม้กระทั่งตอนนี้หูทั้งสองข้างของเขา กำลังได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบคู่ ซึ่งเดินดิ่งตรงมายังกระโจมที่เขาอยู่ ไม่ต้องรอให้กลุ่มคนพวกนั้นเข้ามาภายใน โม่โฉวรีบปรี่กายเดินออกไปต้อนรับโดยทันที

ทหารบัญชาการชั้นกลางที่เหลืออยู่ไม่ถึงสิบคน กับลูกน้องคนสนิทของแต่ละคน เดินหน้าตาเคร่งขรึมเข้ามาใกล้ โดยมีทหารยามสองนาย ที่รับคำสั่งจากโม่โฉวให้ไปตามคนกลุ่มนี้มาเดินรั้งท้ายไม่ห่าง

ทันทีที่คนกลุ่มนั้นเห็นผู้บัญชาการของพวกเขา ยืนรออยู่หน้ากระโจม สีหน้าเคร่งขรึมเพราะไม่ปักใจเชื่อในคำของทหารยาม ซึ่งวิ่งโล่ไปเล่าสิ่งที่ตนเห็นให้ฟัง พลันเบิกตาโพลงอ้าปากค้างกันถ้วนหน้า รีบถลาเข้ามาหาโม่โฉว พร้อมหยดน้ำตาที่เริ่มซึมไหลด้วยความดีใจ

“ทะ ท่านแม่ทัพ!!”

สำหรับคนพวกนี้นั้น โม่โฉวเปรียบดั่งเครื่องรางของขลัง หากไม่มีเขาเดินนำทัพ ทหารเหล่านี้จะไร้ความกล้าหาญ ไร้แรงฮึดสู้เพื่อต่อกรกับเหล่าศัตรู

แต่เมื่อใดที่มีโม่โฉวร่วมทัพ ไม่ว่าจะยืนอยู่จุดไหนมุมไหน ด้านหน้าตรงกลางหรือรั้งท้าย ขอแค่เพียงมีคนคนนี้อยู่ร่วมในสนามรบ ทุกคนจะพร้อมใจลุกฮือขึ้นสู้รบอย่างไม่คิดยอมแพ้ ต่อให้สถานการณ์เวลานั้น จะดูย่ำแย่จนแทบไม่มีวี่แววของคำว่าชนะให้เห็นก็ตาม

โม่โฉวจึงเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของกองทัพแคว้นผิง ตราบใดที่เขารักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ กองกำลังทหารนับหมื่นนาย จะแข็งแกร่งไร้ผู้ใดทัดเทียม

“หยุดทำตัวอ่อนแอกันเสียที ฝึกยืนด้วยตัวเองบ้าง ข้าไม่อาจแบกพวกเจ้าทุกคนไปได้ตลอดหรอกนะ”

ทหารหลายคนมีอายุมากกว่าโม่โฉวหลายปีมาก ทว่าพวกเขายังทำตัวราวกับเด็กไม่รู้จักโต ประหนึ่งโม่โฉวเป็นบิดาที่ต้องดูแลลูกๆ ร่วมหมื่นคน

เป็นภาระอันหนักอึ้งที่โม่โฉวต้องแบกรับเอาไว้ ดูท่าหลังจากได้ชีวิตกลับมาใหม่คราวนี้ เขาคงต้องฝึกให้ลูกน้องใต้อาณัติ ได้รู้จักการเจริญเติบโตอย่างแท้จริงเสียที

“พวกข้าคิดว่าท่านแม่ทัพสิ้นชีพไปแล้วจริงๆ”

หัวหน้าทหารนายหนึ่งยกมือปาดน้ำตาออกจากขอบตา ก่อนกล่าวสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ

“ถ้ารู้ว่ากลับมาแล้ว ต้องมาเจอพวกเจ้ายืนร้องไห้ขี้มูกโป่งเช่นนี้ ข้าว่าข้ากลับไปนอนตายในสนามรบดังเดิมจะดีเสียกว่า”

โม่โฉวถอนหายใจด้วยความหนักใจ รูปร่างสูงใหญ่กำยำกันทั้งนั้น แต่กลับใจเซาะขี้แยประหนึ่งเป็นสตรีอ่อนแอ จับไปใส่กระโปรงผ้าบางพลิ้ว ร่ายรำในหอคณิกากันเสียให้เข็ด

“ท่านแม่ทัพ... พวกข้าเป็นห่วงท่านกันแทบตาย ท่านยังมีหน้ามาเอ่ยล้อเล่นเช่นนี้อีกหรือ?”

หัวหน้าทหารคนที่สองเอ่ยเสริม น้ำเสียงกระเง้ากระงอดราวกับภรรยางอนสามีก็มิปาน

“ข้าพูดจริง! ทำตัวให้มันสมกับเป็นทหารหน่อย เช็ดน้ำมูกน้ำตาแล้วตามข้าไปที่กระโจมใหญ่ ส่วนเจ้าสองคนเฝ้าอยู่ตรงนี้ หน้าประตูค่ายให้ผู้อื่นไปเฝ้าแทน”

โม่โฉวกล่าวกับกลุ่มหัวหน้าทหารจบ จึงหันไปออกคำสั่งกับทหารยามสองคนที่ยืนปลายแถว ไม่นานจึงเดินนำหน้าคนอื่นๆ ไปทางกระโจมใหญ่

แม้ไม่เข้าใจในคำสั่งเท่าไหร่นัก ว่าแม่ทัพของเขาให้เฝ้ากระโจมนอนของตนไปเพื่อการใด แต่เพราะไม่กล้าสอดรู้สอดเห็น จึงก้มหน้าทำตามคำสั่งเงียบๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel