2 พร...คำสาป
2
พร...คำสาป
‘ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า...’
เฮือก!
คนซึ่งกำลังจะหมดลมหายใจ จู่ๆ กลับมีแรงหายใจได้ต่อ โม่โฉวสูดอากาศเข้าปอดจนรู้สึกสำลัก ดวงตาที่ปิดสนิทไปแล้วลืมตื่นขึ้น หลังได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งแว่วดังมาตามสายลม
แม้จะมีแรงหายใจต่อได้ ทว่าเรี่ยวแรงที่เคยมียามเป็นปกติ กลับยังไม่คืนกลับมา ร่างกายชาดิกตั้งแต่ช่วงลำคอถึงปลายเท้า ยกเว้นบริเวณบาดแผลถูกแทง ซึ่งยังมีความรู้สึกเจ็บกระจายอยู่
ดวงหน้าหล่อเหลาซึ่งมีคราบเลือดเปื้อนอยู่ตรงมุมปากและคาง จึงทำได้เพียงแค่พยายามเอียงหันมองหาผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น ทว่ากลับพานพบเพียงแต่ความมืดมิด
นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่โม่โฉวนอนสลบไสลอยู่ตรงนี้ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที จากท้องฟ้าสว่างไสวกลับมืดมิดเสียแล้ว มีเพียงดวงจันทร์กลมโตสุกสกาวเท่านั้น ซึ่งทำหน้าที่ส่องสว่างลงมายังพื้นโลก เพื่อให้ยามค่ำคืนอันเหน็บหนาวดูไม่น่ากลัวจนเกินไป
‘เก็บแรงของเจ้าไว้เถอะแม่ทัพน้อย อย่าได้สิ้นเปลืองไปกับการพยายามมองหาข้าเลย’
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เท่าที่ได้ยิน มันดูคล้ายจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่โม่โฉวนอนอยู่ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเอียงศีรษะหันหาเท่าใด กลับไม่พบสิ่งใดที่ดูคล้ายว่าจะเป็นผู้เป็นเจ้าของเสียง โม่โฉวจึงเลือกเอ่ยปากถาม
“ท่าน... เป็นใคร?”
เสียงที่พยายามรวบรวมแรงเปล่งออกมาจากลำคอ แหบแห้งและเบาหวิวยิ่งกว่าการกระซิบ โม่โฉวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่สนทนาของตนอยู่จุดไหน ใกล้หรือไกล และจะได้ยินคำถามของเขาหรือไม่ด้วยซ้ำ จึงกลอกตากวาดมองอย่างเฝ้ารอการตอบรับ
‘ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างไรเล่า’
เสียงนั้นตอบกลับมา กระแสเสียงเจือไปด้วยความขบขันพอสมควร
โม่โฉวรู้สึกงุนงงสับสน ตรงหน้าเขามีแค่ความว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงท้องฟ้าสีดำสนิท แต่งแต้มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ และจันทราดวงกลมใหญ่เท่านั้น
และขณะกำลังเพ่งสายตามอง ความสนใจของเขากลับถูกดึงดูดไปที่ดวงจันทร์ แม้ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าสิ่งที่คิดเป็นจริงหรือไม่ ทว่า
โม่โฉวกลับมั่นใจมาก ว่าคู่สนทนาของเขานั้น คือจันทราดวงนี้นี่แหละ
“ท่าน... คือดวงจันทร์?”
หลังเอ่ยคำถาม เพื่อต้องการย้ำว่าสิ่งที่ตนคิดถูกต้องจบ เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ก็ดังมาตามสายลมอีกครั้ง
‘เจ้าจะเข้าใจเช่นนั้นก็ไม่ผิด’
โม่โฉวไม่ได้รู้สึกตกใจเท่าไหร่นักหลังได้ฟังคำตอบ เพราะส่วนหนึ่งของความรู้สึกบอกว่าเขาคงตายไปแล้ว ถึงได้ประสบกับเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อเช่นนี้อยู่
“ข้าคงตายแล้วสินะ?”
ทว่าประโยคถัดมาที่ดวงจันทร์เอ่ยบอก กลับทำให้บุรุษซึ่งกำลังนอนแผ่ราบอยู่บนพื้นหญ้าถึงกับชะงัก เพราะสิ่งที่ตนเข้าใจอยู่นั้นผิดมหันต์
‘เปล่าเลย เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ ถึงแม้หลังจากนี้อีกสามวันเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี’
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าถึงคุยกับดวงจันทร์ได้?”
ถึงเวลาที่โม่โฉวต้องรู้สึกตกตะลึง ในเมื่อเขายังไม่ได้สิ้นชีวิตกลายเป็นวิญญาณ ไม่ได้อยู่ในมิติหรือภพภูมิอื่น เหตุใดถึงพูดคุยสื่อสารกับดาวเคราะห์บนท้องฟ้าได้
‘ข้าเป็นเทพซึ่งถูกคุมขังอยู่บนดวงจันทร์ ต้องรับโทษทัณฑ์ที่กระทำผิดเอาไว้ ทำหน้าที่มอบพรให้แก่ผู้ที่สมควรได้รับมัน และเจ้า... คือผู้ที่ข้าคิดว่าสมควรจะได้รับพรจากข้า’
“พร? พรอันใดกัน แล้วเหตุใดข้าจึงได้เป็นผู้ที่ถูกเลือก?”
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกงุนงงสับสน ทั้งเทพบนดวงจันทร์ ทั้งพรที่นางกล่าวถึง เหตุใดเทพองค์นี้ถึงเลือกเขา ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น
โม่โฉวเข่นฆ่าผู้คนมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อกอบกู้แคว้นผิงให้กลับมาเป็นปึกแผ่นเหมือนเก่า เขาควรได้รับการลงทัณฑ์เป็นความตาย อย่างที่กำลังประสบอยู่ถึงจะถูก
‘พรของข้านั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะท่านแม่ทัพ’
“…”
‘คนที่ควรคู่กับมันต้องเป็นผู้ที่มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วเท่ากัน’
โม่โฉวเงียบนิ่งตั้งใจฟังเทพบนดวงจันทร์กล่าว ไม่ใช่เพราะอยากได้รับพรนั้น แต่เพียงแค่อยากมีเพื่อนคุยก่อนตายเฉยๆ
มันรู้สึกแย่ยิ่งนัก เมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตต้องมานอนตายเพียงลำพัง มีเรื่องมากมายที่อยากระบายให้ผู้ใดฟังสักคน เทพองค์นี้ที่บังเอิญผ่านมา คงต้องรับผิดชอบอยู่เป็นเพื่อนเขา จนกว่าจะหมดลมหายใจจริงๆ อีกครั้ง
เมื่อโม่โฉวไม่ได้เอ่ยท้วงสิ่งใด ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี เทพบน
ดวงจันทร์จึงเริ่มร่ายรายละเอียดพรของตนต่อ
‘ภายใน 3 วันหลังจากนี้ หากมีผู้ใดผ่านมายื่นมือช่วยเหลือเจ้า เพียงแค่น้ำ 1 หยดหลั่งรินลงสู่ลำคอ เจ้าจะได้รับชีวิตที่ควรจะจบสิ้นไปแล้วคืน เพื่อชดใช้กรรมที่เจ้าก่อ และหฤหรรษ์ไปกับพลังที่เจ้าจะได้รับ’
“...”
‘เจ้าจะมีชีวิตเป็นอมตะ รูปลักษณ์หน้าตาและอายุจะหยุดนิ่ง ไม่แก่ไม่ตาย แต่... จะได้รับความรู้สึกเจ็บปวดเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป ทว่าความเจ็บปวดนั้นจะทวีคูณเป็น 2 เท่า!’
หลังฟังมาถึงประโยคนี้ โม่โฉวรู้สึกว่าสิ่งที่เทพบนดวงจันทร์กล่าวถึง มันดูคล้ายคำสาปมากกว่าพรเสียอีก แม้จะมีชีวิตอมตะก็จริง แต่ยังคงรู้สึกเจ็บปวดแถมยังมากกว่าคนปกติอีก ในเมื่อจะให้พรทั้งที เหตุใดจึงไม่ให้ความถึกทนด้านชาความรู้สึกมาด้วยเลยเล่า
แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากท้วงคำใดออกไป และตั้งใจฟังต่อ
‘มีพละกำลังเหนือกว่าบุรุษทุกผู้ประหนึ่งช้างป่าหนุ่ม ประสาทการรับรู้ว่องไวดั่งเหยี่ยวทะเลทราย มองเห็นในความมืดได้ดั่งนกฮูก ปราดเปรียวคล่องแคล่วราวกับหมาป่า และรับรู้ภัยอันตรายได้ในระยะ 1 ลี้ เจ้าว่าพรของข้าน่าสนใจหรือไม่?’
หลังสาธยายสรรพคุณพรของตนจนเกือบจบ เทพบนดวงจันทร์จึงลองเอ่ยปากถามความคิดเห็น จากมนุษย์ซึ่งนอนฟังนิ่งอยู่ใต้แสงเงาของดวงจันทร์
“ฟังดูก็น่าสนใจอยู่ แต่ข้าติดอยู่ข้อหนึ่ง เหตุใดถึงต้องรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดได้ ไหนๆ ท่านจะให้พรข้าทั้งที ตัดข้อนี้ออกไม่ได้รึ?”
โม่โฉวเอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจในคำตอบ เพราะเขาไม่คิดที่จะรับพรนี้ไว้แต่แรกอยู่แล้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขารู้สึกเหนื่อยมามากเกินพอ ถึงเวลาที่ต้องพักเสียที ความตายคือสิ่งที่เขาปรารถนาต่างหาก
‘อย่าได้ต่อรองกับข้า ข้ามีเหตุผลที่ประทานพรให้เจ้าได้เท่านี้’
“เช่นนั้นท่านก็เก็บมันเอาไว้เถิด ข้าขอนอนแห้งตายอยู่ตรงนี้ดังเดิมจะดีกว่า”
กล่าวจบโม่โฉวจึงหลับตาลง เตรียมตัวเตรียมใจเดินทางสู่โลกหลังความตายอย่างเต็มที่ ทว่าเทพบนดวงจันทร์กลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น ยังคงส่งเสียงรบกวนโม่โฉวต่อ จนเขาต้องลืมตาขึ้นมาอีกรอบ
‘นอกจากต่อรองไม่ได้แล้ว เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธพรจากข้าเช่นกัน’
“หากอยู่เป็นเพื่อนปลอบประโลมข้าไม่ได้ ก็ช่วยปล่อยให้ข้าตายอย่างสงบเถอะนะ ท่านเทพ”
โม่โฉวรู้สึกเหนื่อยใจเสียเหลือเกิน ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตแล้วแท้ๆ กลับไม่ได้พานพบในสิ่งที่ปรารถนา ยังถูกเทพเซียนมารังควานอีก เขาจึงกล่าววอนขอด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าเต็มทน
แต่ดูเหมือนความพยายามจะตายอย่างสงบของโม่โฉวจะไม่เป็นผล เมื่อเทพบนดวงจันทร์ไม่คิดจะฟังคำอ้อนวอน ร่ายพรใส่เขา บีบบังคับให้อีกฝ่ายน้อมรับทั้งที่ไม่เต็มใจ
‘เจ้าได้ตายสมใจอยากแน่ ภายในระยะเวลา 3 วันต่อจากนี้ หากไม่มีผู้ใดผ่านมาพบเห็นช่วยเหลือ เจ้าจะกลายเป็นซากศพเน่าเหม็นให้อีแร้งอีกาจิกกินเนื้อ ฝูงสัตว์เดินดินจะพากันมารุมแทะกระดูกเจ้า’
ฟังแค่นี้ก็รู้สึกหดหู่ในชะตาชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว ทว่ามันยังไม่พอแค่นั้น เมื่อเทพบนดวงจันทร์ได้กล่าวส่วนที่เหลือต่อ
‘แต่หากมีคนยื่นมือช่วยเหลือต่อลมหายใจให้กับเจ้า จงจำเอาไว้ว่าคนผู้นั้นนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้พรากชีวิตอมตะไปจากเจ้าเช่นกัน’
สิ้นคำกล่าวร่ายพร หรือแท้จริงแล้วมันคือคำสาปกลายๆ นั่นจบ ทุกอย่างรอบตัวโม่โฉวพลันหยุดนิ่งสนิท แม้กระทั่งสายลมซึ่งพัดเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลาในคราแรก จู่ๆ กลับสลายหายไป
ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาราและจันทราสุกใสพลันมืดมิด คล้ายกับว่ามีใครมาดับแสงสว่างพวกมันลง มองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่เงาเพียงเล็กน้อย ประหนึ่งโม่โฉวกำลังหลับตาอยู่ และไม่นานสติสัมปชัญญะของเขาก็ดับลงตาม
