บทที่ 3 เซี่ยซูเหยาหายป่วย
เซี่ยซูเหยาท้าวคางมองหน้าบ้านด้วยความเบื่อหน่าย เข้าวันที่เจ็ดแล้วที่นางได้มาอยู่ที่นี่ แต่เพราะมีร่างกายที่อ่อนแอจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหน แม้แต่แสงแดดก็ห้ามโดนจนกว่าอาการจะดีขึ้น
ทว่ายามนี้อาการนางดีขึ้นมากแล้ว อาจเป็นเพราะได้ดื่มน้ำแกงไก่บำรุงร่างกายเกือบทุกวัน ไหนจะการที่นางลอบออกกำลังกายในห้องนอนอีก อาการต่างๆ จึงไม่ค่อยมีแล้ว คงจะมีแต่ความเบื่อนี่แหละ
“พี่สาว อาเหยาเบื่อ” เซี่ยซูเหยาหันไปบอกเซี่ยซูเจี๋ยที่ล้างผักอยู่ ผักพวกนี้จะถูกนำไปดองเก็บไว้กินภายในบ้าน
“อาเหยาเบื่อหรือ แต่ท่านพ่อไม่ให้อาเหยาออกไปไหนนะ” เซี่ยซูเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมอง
แม้ตัวน้องสาวจะบอกว่าหายดีแล้วทว่าเซี่ยซูเจี๋ยกับผู้เป็นบิดาและพี่ชายก็ไม่เชื่อ อาเหยาชอบบอกว่าหายดีแล้วเพราะไม่อยากให้เป็นห่วง
“เฮ้อ”
เซี่ยซูเหยาถอนหายใจครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ นางเบื่อจริงๆ นะ แม้แต่งานในครัวพี่ซูเจี๋ยก็ไม่ยอมให้นางแตะ ให้เหตุผลว่ารอให้อากาศดีกว่านี้เสียก่อน
“งั้นมาช่วยพี่สาวล้างผักดีไหม พรุ่งนี้พี่สาวจะทำเกี่ยมฉ่าย5 กับซึงไฉ่6 เก็บไว้กินเดือนหน้า” เซี่ยซูเจี๋ยบอกน้องสาว
นางสามารถออกไปไหนมาไหนได้ แต่อาเหยาไม่สามารถออกไปได้เพราะทุกคนเป็นห่วง เซี่ยซูเจี๋ยก็สงสารน้องสาว ทว่านางไม่กล้าขัดคำสั่งบิดา
“อือ อาเหยาจะช่วยพี่สาวเอง”
บางทีเซี่ยซูเหยาก็อดสงสารพี่สาวไม่ได้เหมือนกันที่ต้องทำงานทุกอย่างในบ้าน แต่นางกลับทำตัวสบายๆ มองพี่สาวทำงานตัวเป็นเกลียว
เซี่ยซูเหยามองผักในตะกร้าพลางหยิบออกมาล้าง จริงๆ นางเห็นพี่สาวถอนผักออกมาหลายชนิด ทว่ายามนี้เหลือไม่มากแล้ว
“ท่านพ่อจะกลับยามใดเจ้าคะ”
“อีกไม่นานคงกลับ” ช่วงนี้ผู้เป็นพ่อกลับบ้านช้ากว่าเดิม เซี่ยซูเจี๋ยจึงไม่กล้าตอบน้องสาว
“เจ้าค่ะ”
เซี่ยซูเหยาช่วยพี่สาวล้างผักไม่นานก็เสร็จ ก็มันเหลือไม่มากแล้วนี่ จากนั้นก็นั่งรอเซี่ยซูเจี๋ยเอาผักที่ล้างไปตากแดดให้น้ำในผักออกเสียก่อนไปก่อนจะนำไปดอง ผักที่เฉานิดๆ จะทำให้ทำผักดองได้ง่ายและอร่อยขึ้น
เซี่ยห้าวไห่เป็นพรานป่ามาตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งได้แต่งงานเขาก็ยังคงทำอาชีพนี้อยู่ แม้จะไม่ค่อยได้อะไรแต่ก็พอขายได้เงินมาซื้อสมุนไพรให้บุตรสาวคนเล็ก ส่วนเงินที่ใช้จ่ายในบ้านจะเป็นเงินที่ออกไปรับจ้างชาวบ้าน ไม่ก็หาฟืนไปขายกับบุตรชาย ยังดีที่เซี่ยห้าวไห่ไม่คิดที่จะมีภรรยาใหม่ ไม่เช่นนั้นเซี่ยซูเหยาคงไม่รอด
แต่สำหรับเซี่ยซูเหยาแล้วนางคิดว่าเงินค่าใช้จ่ายภายในบ้านช่างน้อยนิด ตั้งแต่ที่นางได้มาอยู่ที่นี่ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่ได้กินอิ่มอยู่คนเดียว จะเหลือไว้ให้คนอื่นก็ไม่ได้เพราะพี่สาวจะทำน้ำตาคลอเพราะคิดว่าน้องสาวไม่ชอบฝีมือการทำอาหารของนาง
เซี่ยซูเหยานั่งตีขาไปมาอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่เพิ่งทำขึ้นมา บิดาของนางกลัวว่าแคร่ตัวเก่าจะมีฝุ่นจากมอดกินไม้เลยทำขึ้นมาใหม่ แม้ว่านางจะพยายามห้ามแล้วก็ตาม
นางกำลังคิดว่าต่อจากนี้นางควรจะทำอะไรต่อไปดี อย่าลืมว่าชีวิตก่อนนางเป็นใคร นางเป็นลูกสาวคนจีนที่ต้องทำงานในบ้านทุกอย่าง
พอมาอยู่ที่นี่จะนั่งงอมืองอเท้าให้พี่สาวทำงานบ้านคนเดียวก็ไม่ใช่ นอกจากงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู ซักผ้า ทำอาหาร รดน้ำผักหรือแม้กระทั่งออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อแลกเงินไม่กี่อีแปะ เซี่ยซูเจี๋ยก็ยอมออกไปทำงาน ต่างจากนางที่วันๆ ไม่ต้องทำอันใด
จากที่เคยดูละครช่องหลากสี อ่านนวนิยายจนชิน เซี่ยซูเหยาก็นึกไม่ออกว่านางควรจะทำอะไร ถ้าเป็นหมอ คนไข้ก็น่าจะตายเสียก่อน เป็นพระชายาก็อย่าหวังเลย นางเป็นชาวบ้าน ไหนจะอายุเพียงสิบหนาว คิดแล้วก็ปวดหัว
“อาเหยา ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน ลมเริ่มแรงแล้ว”
ไม่รู้ว่าเซี่ยซูเหยาเหม่อนานแค่ไหนแล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็ยามที่ผู้เป็นบิดาร้องเรียกนั่นแหละ เซี่ยซูเหยาละสายตาจากพื้นมองไปตามเสียง นางเห็นเซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนถือไก่ป่ากลับมา
ไก่ป่าอีกแล้ว
ใจคอจะให้นางกินแต่ไก่ป่าอย่างเดียวหรืออย่างไรกัน เซี่ยซูเหยาถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านพ่อได้ไก่ป่ากลับมาอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้วอาเหยา ช่วงนี้ไก่ป่าติดกับดักสัตว์ของพ่อหลายตัว นำไปขายแล้วเหลือกลับมาเพียงหนึ่งตัว” เซี่ยห้าวไห่ตอบลูกสาว
ช่วงนี้เขาโชคดีมาก หากไม่ได้ไก่ป่าก็จะได้สัตว์ชนิดอื่นอย่างกระต่าย หรือสัตว์ตัวเล็กๆ และนำไปขายหมดแล้ว ถุงใส่เงินที่เคยแห้งเหี่ยวมายามนี้ก็มีเงินพอจะซื้อข้าวสารได้ แต่เซี่ยห้าวไห่ยังไม่วางใจ ลูกสาวของเขาอาการดีขึ้นก็จริงทว่าก็ป่วยแบบนี้มาตั้งแต่เกิด
“อาเหยาเบื่อ”
หนทางที่จะออกจากรั้วบ้านได้ก็คงต้องให้ผู้เป็นบิดาพาออกไป เซี่ยซูเหยาไม่คิดที่จะลักลอบออกไป นางไม่รู้ทางที่นี่ ถ้าไปแล้วกลับมาไม่ได้จะทำอย่างไร
“หืม” เซี่ยห้าวไห่ไม่เข้าใจ ปกติลูกสาวคนเล็กมักจะเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง คงมีเพียงหายป่วยรอบนี้ที่นางชอบออกมานั่งตากลมเล่นจนน่าเป็นห่วง
“อาเหยาอยากไปกับท่านพ่อ”
ยามนี้ไม่มีชาวบ้านจ้างงานอะไร เซี่ยห้าวไห่ก็เข้าป่าล่าสัตว์ตามปกติไม่มีวันไหนที่หยุด เซี่ยซูเหยาจึงอยากขอไปด้วย อย่างน้อยถ้าได้ออกไปเห็นอะไรๆ เข้าคงจะคิดอะไรออกบ้าง
เซี่ยห้าวไห่มองลูกสาวด้วยความแปลกใจ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวขอติดตามไปด้วย เพียงแต่คนเป็นบิดาเช่นเขานั้นเป็นห่วงลูกสาวมากกว่า
“ในป่ามีสัตว์เยอะมากอาเหยา พ่อกลัวว่าอาเหยาจะโดนพวกมันทำร้ายเอานะ” เซี่ยห้าวไห่ตอบ
“ท่านพ่อ” เซี่ยซูเหยารีบวิ่งมาเกาะแขนเซี่ยห้าวไห่ที่นั่งพักอยู่อย่างออดอ้อน นางไม่เชื่อว่าถ้านางอ้อนมากๆ ท่านพ่อจะไม่พานางไป
“เฮ้อ อาเหยา ช่วงนี้อาการเจ้าแปลกๆ”
คนเป็นบิดาที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงลูกมามีหรือจะไม่ผิดสังเกต แค่ลูกสาวไม่เก็บตัวเงียบก็ว่าแปลกแล้ว ยังจะขอติดตามเข้าป่าอีก ผิดปกติยิ่งนัก
“ก็อาเหยาเบื่อ”
“ได้ๆ เดี๋ยวพ่อจะพาเจ้าไป แต่ไม่ใช่ยามนี้” เซี่ยห้าวไห่พยักหน้า
ยามนี้เป็นช่วงฤดูคิมหันต์อากาศร้อนมาก ยิ่งเข้าไปในป่าต่อให้อยู่ใกล้น้ำก็ยังก็ร้อนมากอยู่ดี รอให้อากาศเย็นหรืออากาศดีกว่านี้ก่อนถึงจะพาไปได้ ช่วงนั้นพวกสัตว์เล็กคงไม่ค่อยออกมาแล้ว
“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพ่อ! ถ้ามีแมลงมากัดอาเหยาล่ะ” เซี่ยซูเจี๋ยที่ออกมาตักน้ำได้ยินบทสนทนาของบิดาและน้องสาวพอดีจึงรีบเอ่ยปากห้าม นางรู้ว่าอาเหยาเบื่อ ทว่าสามารถไปที่อื่นได้นี่ ทำไมอาเหยาถึงอยากเข้าป่า
“พี่สาวอ่า”
เซี่ยซูเหยาหน้าเสีย บิดาอนุญาตแล้วทว่ายังเหลือพี่สาวที่เหมือนมารดาอีกคน นางลืมไปได้อย่างไรว่าเซี่ยซูเจี๋ยเป็นห่วงนางมาก
“น้องอาการแข็งแรงขึ้นมากแล้วอาเจี๋ย พ่อว่าถ้าน้องอยากไปก็ให้ไปเถอะ”
สำหรับเซี่ยห้าวไห่แล้วเขาคิดว่าพาลูกสาวไปด้วยครั้งนี้ ครั้งหน้านางคงจะไม่ขอเข้าไปอีก หรือไม่ถ้าเกิดล้มป่วยอีกก็จะได้มีข้ออ้างไม่พาไปได้
“เฮ้อ”
เซี่ยซูเจี๋ยส่ายหน้าแล้วรีบไปตักน้ำ ต่อให้นางห้ามอย่างไรก็คงไม่มีใครฟังอยู่ดี อาเหยานะอาเหยา เห็นทีถ้าอาเหยาจะเข้าป่าไปจริงๆ นางคงต้องตามไปด้วย ถึงจะมีบิดากับน้องชายไปด้วยนางก็ยังคงอดเป็นห่วงอาเหยาไม่ได้อยู่ดี
เซี่ยซูเหยาขอตัวเข้าไปพักในห้อง นางให้เหตุผลว่ารู้สึกเหนื่อย แต่จริงๆ แล้วนางจะกลับไปคิดต่างหากว่าเข้าป่าไปนางต้องทำอะไรบ้าง
ชั่วชีวิตที่ผ่านมานางทำอาหารเป็นตั้งแต่จบประถมเพราะอาป๊ากับหม่าม้าสอน ที่บ้านมีธุรกิจร้านอาหารเป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำไม่เป็น อีกอย่างที่คิดไว้ว่าหลังเรียนจบจะเข้าไปช่วยอาป๊า แต่เฮ้อ นางไม่สามารถกลับไปช่วยได้อีกแล้ว
หรือนางจะเปิดร้านอาหาร? จริงสิ ในความทรงจำของอาเหยาเหมือนที่นี่จะแห้งแล้งและยากจนมาก หากให้เทียบกับเมืองอื่น แต่ในตัวเมืองก็พอจะค้าขายได้บ้าง เหมือนอย่างที่บิดาของนางเอาไก่หรือสัตว์เข้าไปขาย ยังดีที่ผักสามารถปลูกได้ และป่ายังมีสัตว์ให้ล่า
อีกทั้งเหมือนกับว่านางจะสานต่อความต้องการของนางในชาติก่อนก็ได้ ต่อให้ไม่เหมือนกันแต่นางเชื่อว่าครอบครัวเซี่ยจะสนับสนุน ต่อให้นางไม่ลงแรงเองแต่พี่สาวอย่างเซี่ยซูเจี๋ยนั้นฝีมือดีมาก
วัยเพียงสิบสี่หนาวทว่าทำอาหารออกมาได้รสชาติที่ดีเยี่ยม ในขณะที่เครื่องปรุงมีเพียงหยิบมือก็สามารถทำอาหารออกมาได้ถูกใจคนป่วยอย่างเซี่ยซูเหยา
แต่ก่อนจะเปิดร้านเห็นทีนางคงต้องไปหาทุนเสียก่อน ในความทรงจำญาติสกุลเซี่ยก็ไม่สามารถช่วยได้ ซ้ำยังผลักไสครอบครัวของนางเสียอีก
เหมือนว่ายามนี้จะมีเงินเก็บอยู่หลายตำลึงเงิน ทว่ามันก็ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียน เซี่ยซูเหยาอยากเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองเสียก่อน
เห็นว่าในเมืองมีตลาดนัดทุกวัน เซี่ยซูเหยาก็จะเริ่มจากตรงนี้ก่อน ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่านางจะโตเป็นสาว พอถึงเวลานั้นนางก็จะทำอะไรสะดวกมากขึ้น
“อาเหยา ออกมากินมื้อเย็นได้แล้ว”
เสียงเรียกของเซี่ยซูเหยียนดังขึ้นนอกห้อง ทำให้เซี่ยซูเหยาหลุดออกจากภวังค์ นางคงจะคิดเพลินมากเกินไปจนพี่ซูเจี๋ยทำอาหารเสร็จแล้ว
“เจ้าค่ะ”
เซี่ยซูเหยาอ้าปากหาว มาอยู่ที่นี่นางใช้ชีวิตส่วนมากไปกับการนอน จึงไม่แปลกที่จะนอนเร็วและตื่นเช้า
เซี่ยซูเหยาส่ายหน้าเมื่อเห็นอาหารมื้อนี้ ไก่ตุ๋นที่เต็มไปด้วยเนื้อเป็นของนางโดยเฉพาะ ส่วนของคนอื่นจะมีเพียงกระดูกกับน้ำแกง และมีผัดเนื้อไก่ที่นางก็ได้ไม่ต่างกัน
“ท่านพ่อเจ้าคะ อาเหยาตักข้าวให้”
เซี่ยซูเหยาอาศัยยามที่เซี่ยซูเจี๋ยยกของมาวางบนโต๊ะไปตักข้าวให้ทุกคน ทุกวันนี้พี่สาวหุงข้าวเพิ่มเยอะขึ้น
ทว่าส่วนมากก็ให้แค่นางคนเดียว คนอื่นได้เพียงนิดหน่อย นางรู้ว่าผู้เป็นบิดากินไม่อิ่ม แต่ก็ไม่ยอมกินเพิ่มเพราะกลัวลูกไม่อิ่ม ก็แน่สิ มีทั้งลูกสาวคนโต ลูกชายคนกลาง ไหนจะลูกสาวคนเล็กอีก เขาจะกินอิ่มได้อย่างไรหากลูกไม่อิ่ม
“เก่งมาก”
เซี่ยซูเหยายิ้มกว้างเมื่อได้รับคำชม นานมากแล้วเหมือนกันที่นางไม่ได้รับคำชมแบบนี้ พอได้รับก็รู้สึกอุ่นไปทั้งใจ
“อาเหยาของพี่พอแล้ว” เซี่ยซูเจี๋ยรีบห้ามเมื่อเห็นว่าน้องสาวตักให้นางเยอะเกินไป
“เจ้าค่ะ”
เซี่ยซูเหยายอมหยุดตักเพราะแค่นี้พี่สาวก็คงจะกินไม่หมดแล้ว จากนั้นก็ปีนขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ข้างบิดา ปกติเซี่ยซูเหยาจะรับประทานอาหารในห้อง แต่พอมีนางมาแทน นางก็ออกมารับประทานอาหารพร้อมทุกคน
