ตอนที่ 5 เจ้าผอมแห้งบำรุงมากหน่อย
แต่สำหรับซุ่นยวี่เหอนั้นก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ขององค์ชายฟังออกจะทะแม่งๆ แต่ก็คิดไม่ออกว่าแปลกตรงไหน เลยต้องน้อมรับคำสั่งสอนแบบงงๆ
องค์ชายเสเพลไม่เอาไหนอันดับหนึ่งของอู่เฉิงรู้เรื่องมารยาทของราชวงศ์ชนชั้นสูงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไร แต่เด็กสาวของตระกูลหลินที่อยู่แต่ในจวนหลินคนนี้มาตลอดสิบกว่าปี?
หลินจื่อเหยาลืมตา สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยนางขยับเปลี่ยนท่านั่งยกมือขึ้นเท้าคางด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย "แม่นมชราวัยหกสิบสั่งสอนมาหน่ะ”
มู่หรงเว่ยหมินพิงพนัก ยิ้มพลางพูด “ชีวิตของคุณหนูรองหลินฟังดูแตกต่างดีนะ”
หลินจื่อเหยาไม่ตอบอีกต่อไป
ช่วงเวลากว่าหนึ่งเค่ออาหารก็ออกมาครบ
ภายในร้านฮั่นเก๋อชั้นหนึ่งถึงสามไม่มีห้องส่วนตัว แต่ละโต๊ะค่อนข้างจะห่างกันมีชั้นละสามสิบโต๊ะ ข้างโต๊ะวางเตาเครื่องหอมที่ใส่ตามความชอบของลูกค้า
ด้านข้างยังมีสะพานหินธารน้ำไหลขนาดเล็ก หากตัดเสียงของผู้คนออกไป ก็จะทำให้บรรยากาศคล้ายกับการนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
หลินจื่อเหยาหันหน้าไปมอง ดวงตาวูบไหวเล็กน้อย ดอกหอมหมื่นลี้ โรสแมรี่ ไม้กฤษณา ลาเวนเดอร์ ไม้จันทน์...ทั้งหมดเป็นสมุนไพรที่ช่วยทำให้ใจสงบ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเตรียมไว้
เพียงเวลาแค่ชั่วครู่นางก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
หลินจื่อเหยาหลุบตาลง ครั้งแรกที่นางมาโลกมนุษย์เป็นช่วงกลางศตวรรษที่สิบห้า นางนึกไม่ถึงว่าตัวเองยังจะได้มายังโลกมนุษย์อีกครั้ง
อย่างไรเสียเดิมทีนางก็เป็นคนที่ต้องตายอยู่แล้วมีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่จะทำอย่างไรให้ชีวิตที่สี่นี้ของตนได้มีชีวิตที่ยืนยาวเสียหน่อย
เนื่องจากบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นดวงวิญญาณแหลกสลาย จิตรู้สำนึกของนางนั้นจึงสูญหายไป วันนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมา แต่หลังจากตื่นมาสถานการณ์ก็อนาจพอสมควร
อาการเลือดพร่อง ขาดการบำรุงดูแลอย่างยาวนานทำให้ร่างนี้อ่อนแอมาก ถึงขนาดเรียกได้ว่าพรุนไปหมดทั้งตัว แค่ถูกแตะก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้
นางต้องใช้สมุนไพรหยกศิลาจำนวนมากเพื่อปรับร่างกาย ฟื้นฟูเลือดลม
แต่นางไม่มีเงิน
เมื่อก่อนนางเคยหลอมยาวิเศษออกมาไว้จำนวนไม่น้อยที่ยุโรป แต่ก็นั่นแหล่ะผ่านไปแล้วครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วถามขึ้น
"เมืองอู่เฉิงมีสถานที่ที่เหมาะแก่การหาเงินหรือไม่?"
“เยอะมาก เจ้าคงอยู่แต่ในจวนไม่ได้ออกไปไหนเลยสินะ"
"ขยะอย่างข้า ออกไปไหนได้ด้วยหรือ? แค่โผล่หน้าออกมาจากเรือนคนในจวนก็ไม่อนุญาตแล้ว"
ซุ่นยวี่เหอจุกไปอีกครั้ง “ดื่มนี่สิ” มู่หรงเว่ยหมินยื่นน้ำพุทราลำไยให้หนึ่งชาม หลังจากเห็นนางรับไปถึงพิงเก้าอี้ไม้ไผ่
“นี่ คุณหนูรองหลิน ปีนี้เจ้าอายุสิบสามจะสิบสี่ปีแล้วใช่หรือไม่” ซุ่นยวี่เหอเงียบไปสักพัก ลองคำนวนดูแล้วพูดต่อ “แต่ถ้านับดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเคยได้ยินแค่เพียงว่าเจ้าร่างกายอ่อนแอ ได้เห็นวันนี้แล้วเจ้าคงป่วยหนักมากแล้วจริงๆ”
หลังจากเขาพูดจบเขาก็เงียบไปสักพักจากนั้นเขาก็เริ่มพูดต่อ "แล้วที่ผ่านมา เหตุใดคนในจวนถึงบอกว่าเจ้าเป็นสตรีร้ายกาจทำร้ายพี่สาวของเจ้าตลอดที่มีโอกาสกันได้เล่า แม้แต่แรงจะเดินเจ้าก็ยังไม่มี" พอกล่าวออกมาเช่นนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ
เรื่องที่คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิน หลินเสี่ยวเซวียนเป็นคู่หมั้นกับองค์รัชทายาทนั้นทั้งเมืองอู่เฉิงไม่มีผู้ใดไม่รู้แม้ว่าเรื่องพึ่งจะถูกประกาศออกไปก็ตาม
ดังนั้นบรรดาคุณหนูคุณชายผู้คนในเมืองหลวงต่างก็ไม่พอใจเมื่อมีข่าวกระจายออกมาว่าคุณหนูใหญ่หลินเสี่ยวเซวียนถูกคุณหนูรองทำร้ายมาตลอดล่าสุดคือผลักตกบึงใหญ่ท้ายจวนหลินจนสลบไปหลายวัน
อีกทั้งคุณหนูรองหลินนางยังไปยั่วยวนองค์รัชทายาทที่เป็นคู่หมั้นของพี่สาวของตนเองด้วย
แต่หากจะคิดให้รอบคอบมากเสียหน่อย คุณหนูใหญ่หลินเสี่ยวเซวียนหญิงงามอันดับหนึ่งซึ่งเป็นหญิงสาวที่เก่งศิลปะทุกด้านเป็นที่ชื่นชอบของผู้นำตระกูลหลินทั้งผู้เฒ่าตระกูลหลิน ไหนจะองค์รัชทายาทอีกจะยินยอมให้คุณหนูรองรังแกได้ง่ายๆ?
สตรีที่แม้แต่ยุงยังแตะต้องไม่ได้ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ปล่อยให้คุณหนูรองทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสดั่งข่าวลือ
หลังจากครุ่นคิดไปสักพักซุ่นยวี่เหอเอ่ยถาม “พี่ใหญ่หลิน คนตระกูลหลินพูดดำเป็นขาวให้ร้ายเจ้ามาตลอดเลยใช่หรือไม่?"
พอเอ่ยถึงตรงนี้เขาเองกลับเอ่ยอะไรไม่ออกอีก มองหลินจื่อเหยาแล้วเขาก็กระพริบตา"รังแกคุณหนูใหญ่ ทุบตีคุณหนูใหญ่ ใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ ผลักคุณหนูใหญ่ตกน้ำ ยั่วยวนองค์รัชทายาท...."
หลินจื่อเหยาค่อยๆ ดื่มน้ำพุทราลำไยจนหมด หรี่ตาหงส์ลงท่าทางกลับไม่ทุกข์ร้อนแล้วเอ่ยช้าๆ “ไม่น่าจะแค่นั้นมั้ง”
พลังชีวิตของร่างนี้ถูกใช้จนหมดตอนที่นางฟื้นขึ้นมาพอดีตอนนี้ก็แค่พอฟื้นฟูกลับมาได้บ้าง แสดงให้เห็นว่าเสื่อมโทรมไปถึงขั้นไหนแล้ว
ภายในใจของซุ่นยวี่เหอมีหลากหลายความรู้สึกปนเปกัน สกุลหลินเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก เลี้ยงดูบุตรสาวสายตรงอย่างนี้หรือ
ไม่ใช่ว่าปล่อยให้นางค่อยๆ สิ้นใจตายไปจากการอดอาหารหรอกหรือ?
ช่วงหลายปีมานี้พวกเขาเห็นด้านมืดของตระกูลขุนนางใหญ่จนชินแล้ว บางตระกูลยังมีเรื่องที่สกปรกโสมมยิ่งกว่านี้อีก
ซุ่นยวี่เหอถอนหายใจ เรียกเสี่ยวเอ้อมาพยายามเอาใจ "ลูกพี่กินเยอะๆ เลยนะองค์ชายห้ากล่าวถูก ลูกพี่ต้องบำรุงเลือดให้ดี”
หลินจื่อเหยามองจานผัดตับหมูที่นางกินหมดด้วยความยากลำบากได้ถูกเติมจนเต็มอีกครั้ง
“...”
เวลานี้ทางด้านหน้าประตูของร้านฮั่นเก๋อได้ถูกเสียงอื้ออึงของผู้คนดึงดูด เสียงฝีเท้าหนักๆ ค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นบันไดมายังชั้นที่พวกเขานั่นรับประทานอาหารอยู่
ร่างสูงสง่าค่อยๆ ปรากฎขึ้นมีองครักษ์เดินตามด้านหลังของเขามาสี่คน
รูปร่างของเขาสง่าผ่าเผย ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเย็นชา หน้าตาเคร่งขรึม ต่อให้เป็นเหลาฝวูของร้านฮั่นเก๋อ ตอนที่เห็นคนที่มาเยือนก็ยังอดตกใจไม่ได้ ใบหน้านี้ คนทั้งเมืองอู่เฉิงไม่มีใครไม่รู้จัก
องค์รัชทายาทมู่หรงจินเหยียน ผู้สืบทอดราชบัลลังก์อันดับหนึ่งของราชวงศ์มู่หรงรวมหน้าตา ฐานะ อำนาจ ไว้ในตัวคนคนเดียว บุรุษที่สูงส่งหล่อเหลา บรรดาคุณหนูในจวนขุนนางน้อย ใหญ่ทั้งเมืองอู่เฉิงต่างอยากสมรสด้วย
เหลาฝวูเดินเข้าไปพูดด้วยความนอบน้อม "องค์รัชทายาทห้องส่วนพระองค์ของท่านจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ” มู่หรงจินเหยียนพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป
"รัชทายาทพะย่ะค่ะ"
แต่ในขณะนั้นเอง ผู้ช่วยคนสนิทของเขาที่เดินตามหลังกลับเดินเข้ามากระซิบ
มู่หรงจินเหยียนขมวดคิ้ว แต่ก็ยังคงหันไปตามทางที่ผู้ช่วยของเขาพูดถึงทันใดนั้นสายตาก็ขรึมลง
เด็กสาวที่รูปร่างผอมบางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ เห็นเพียงใบหน้าด้านข้าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าดูต่อต้านมาก ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างของนางนั้น เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี 'องค์ชายห้ามู่หรงเว่ยหมิน'
เขาออกท่องยุทธภพขาดการติดต่อมาเป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว ดูท่าทางไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้องค์รัชทายาทมู่หรงจินเหยียนขมวดคิ้วแน่นขึ้น
จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไป องครักษ์และผู้ติดตามของเขาต่างก็ก้าวเดินตามเข้าไป ผู้ติดตามของจินเหยียนรู้จักนิสัยของเขาดีองค์รัชทายาทแต่ไหนแต่ไรไม่เคยแสดงความรู้สึกใดออกมาให้เห็นไม่ว่าจะทรงกริ้วมากเพียงใดพระองค์ก็จะทรงสีหน้าเรียบเฉย เรื่องในวันนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
ลู่เว่ย ผู้ช่วยของมู่หรงจินเหยียนเอ่ย
“องค์รัชทายาท?"
เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดในยามค่ำคืนเช่นนี้ถึงได้พบคุณหนูรองตระกูลหลินมานั่งอยู่ในร้านอาหารกับบุรุษเช่นนี้ นี่ไม่ใช่จะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหลินเสื่อมเสียหรอกหรือ
ร้านฮั่นเก๋อในเวลานี้มีลูกค้าไม่มากแล้วเสี่ยวเอ้อต่างก็คอยบริการอยู่ข้างๆ ลูกค้าที่เหลือ
มู่หรงเว่ยหมินละสายตาจากจานอาหารกลับมาแล้วมองนางพร้อมกล่าว “กินอีกหน่อยดีหรือไม่”
หลินจื่อเหยาปฏิเสธอย่างไร้อารมณ์ "ไม่กินแล้ว"
“อย่าดื้อสิ ไม่กินมันจะไม่ดีต่อร่างกายของเจ้านะ”
“ไม่กิน!”
ซุ่นยวี่เหอ ".….…….."
เหตุใดวันนี้องค์ชายห้าถึงได้ดูอาการหนักขนาดนี้ ยังจะบังคับกึ่งล่อหลอกให้นางกินผัดตับหมูอีกหรือ?
พอเห็นเด็กสาวยืนกรานปฏิเสธ มู่หรงเว่ยหมินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลากเสียงยาวขึ้น “ไม่กินจริงหรือ..”
หลินจื่อเหยาดันจานไปไกลๆ "ปกติข้าก็ไม่ได้ไม่ชอบกินเครื่องใน"
แต่ตับหมูพวกนี้ค่อนข้างพิเศษจริงๆ หลังจากที่นางกินหมดหนึ่งจานสิบสองชิ้นก็รู้สึกว่าร่าง กายฟื้นฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นที่ได้ผลดีกว่านางฟื้นฟูตัวเองเสียอีก
แต่นางก็ทำใจยอมรับพวกเครื่องในไม่ได้จริงๆ นี่ก็ถึงขีดจํากัดของเนางแล้ว
"เช่นนั้นเจ้าก็ห่อกลับดีหรือไม่?" มู่หรงเว่ยหมินเคาะโต๊ะ ริมฝีปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“หากคืนนี้เจ้านอนไม่หลับก็ให้ลุกขึ้นมากินต่อได้อีก”
“พรวด” ซุ่นยวี่เหอพ่นน้ำ “องค์ชายห้าท่านไม่กลัวถูกลูกพี่ใหญ่ซัดหรือ? ”
"หืม?" พอได้ยินคำพูดนี้มู่หรงเว่ยหมินก็เงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "สาวน้อย ข้าใจดีกับเจ้ามากขนาดนี้ เจ้ายังจะซัดข้าลงหรือ”
หลินจื่อเหยาเหลือบมองเขา ดวงตาราวกับเต็มไปด้วยสายฝนโปรยปรายนางค่อยๆ พูดขึ้น “ใช่ ทำไม่ลง”
มู่หรงเว่ยหมินหรี่ตา "หืม?”
ซุ่นยวี่เหอตกใจ
เขาดูผิดไปหรือไม่ เดิมทีคิดว่าแม่นางคนนี้จะเก็บอารมณ์เก่ง ผู้ใดจะรู้ว่ายังกล้าโต้กลับองค์ชายห้าด้วย สุดยอดเลย
และทันใดนั้นเองทางด้านข้างของโต๊ะก็ค่อยๆ ปรากฎร่างที่สูงสง่า ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น
...
