ตอนที่ 4 พบหน้า
เด็กสาวคนนี้คนที่เขาคิดว่า นางสามารถสู้กับคนร้อยคนได้สบายทันใดนั้นนางก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา
นางเงยหน้าขึ้น ดวงตายังคงมีความคุกรุ่นจางๆ
หลินจื่อเหยาเอ่ยขึ้น "เจ้า..."
ซุนยวี่เหอจู่ๆ ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเข่าทรุดลงไปข้างหนึ่ง "ข้าน้อยเป็นเพียงคนปากไม่ดีอันที่จริงไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยนะ ลูกพี่โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยเถอะ!"
มู่หรงเว่ยหมินรู้สึกสนใจ "คุกเข่าหนึ่งข้าง ความจริงใจเต็มเปี่ยมเจ้าคารวะอาจารย์อย่างนั้นหรือ"
ซุนยวี่เหอ “.…."
ไอ้ขาไม่รักดี!
หลินจื่อเหยามองซุนยวี่เหอที่ยืนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างไม่รีบร้อน “ยามซวีในอีกสามวันให้หลัง ภายในตระกูลของเจ้าจะมีไฟไหม้ทางเรือนทิศตะวันออก แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แล้วก็นับตั้งแต่ยามอู่ของเจ็ดวันให้หลังจากไฟไหม้ ให้เจ้าอย่าได้เดินทางออกจากเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นชีวิตจะน่าเป็นห่วง"
ซุ่นยวี่เหอ สีหน้างุนงง
มู่หรงเว่ยหมินที่ได้ฟัง นิ้วเรียวยาวที่เล่นหยกอยู่ก็คว้าหยกมาไว้ในมือ
ดวงตาดอกท้อเชิดขึ้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ยกยิ้มเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “สาวน้อย เจ้าดูดวงเป็นด้วยหรือ?”
หลินจื่อเหยาไม่ตอบนางเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณ”
การขอบคุณเป็นเพียงข้ออ้าง จะมีใครเชื่อนางหรือไม่ก็ไม่เป็นไรสำหรับนางแล้วก็แค่อยากลองดูว่าความสามารถในการทำนายดวงชะตาของนางนั้นยังเหลืออยู่เท่าไหร่
ดูท่าแล้วนางยังจะต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียวกว่าจะฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมาเต็มร้อย แต่ตอนนี้ก็พอใช้ได้แล้ว
ซุนยวี่เหอขมวดคิ้ว เขารู้สึกงุนงงมากกว่าเดิม อุทานออกมาอีกครั้งว่า “หา?”
มู่หรงเว่ยหมินเหลือบมองซุนยวี่เหอแล้วจากนั้นเขาก็เหลือบมองหลินจื่อเหยา ดวงตาของเขาเป็นสีอำพันอ่อนๆ ให้อารมณ์อ่อนโยนประหนึ่งเย้ายวน “สาวน้อย เจ้าขอบคุณแค่เขาไม่ค่อยยุติธรรมกับข้าสักเท่าไหร่นะว่าไหม หืม?”
สีหน้าของหลินจื่อเหยาชะงัก
ซุ่นยวี่เหอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง งง งันว่า "องค์ชายห้า ไม่ใช่หรอกมั้ง เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าต้องการรังแกนาง วันนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าเมาน้ำชาแล้วหรอกนะ”
อายหรือไม่เล่า
ทำไมเขาไม่เคยเห็นองค์ชายคนนี้พูดคุยเช่นนี้กับสตรีนางใดมาก่อนเลยหล่ะ ยิ่งน้ำเสียงเช่นนี้ก็ยิ่งไม่เคยเห็น
มู่หรงเว่ยหมินไม่สนใจเขา ดวงตาดอกท้อหรี่ลง จ้องมองหลินจื่อเหยาราวกับกำลังส่งพลังลมปราณ “สาวน้อยเจ้าทำนายดวงชะให้เขาแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ลองทำนายดวงชะตาให้ข้าบ้างเล่า" หลินจื่อเหยาหรี่ตามอง
"คุณหนูรองหลินเจ้าอย่าไปสนใจเขาเลยนะ” ซุ่นยวี่เหอรู้สึกได้ว่าวันนี้มู่หรงเว่ยหมินนั้นดูแปลกๆ ไปจึงช่วยกู้สถานการณ์เอาไว้
“คุณหนูรองหลินเจ้าจะกลับจวนตระกูลหลินใช่หรือไม่ ไปสิเดี๋ยวพวกข้าไปส่งเจ้า”
พวกตระกูลขุนนางชั้นสูง ขุนนางใหญ่ต่างก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังกันมากเสียจนน่ารังเกียจ
ดูก็รู้ว่าคุณหนูรองหลินนางไม่ใช่สตรีที่ถูกเล่าลือกัน
“ไม่ต้อง" หลินจื่อเหยาส่ายหน้า นางกำลังจะเดินจากไป ในขณะที่หันตัวร่างกายก็โงนเงนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการจากการที่สูญเสียเลือดมากเกินไปและไม่ได้รับอาหารมาหลายวัน
นางยกมือขึ้นนวดขมับใบหน้าฉาบด้วยความหนาวเย็น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเนือยๆ ดังมาจากด้านหลัง
“สาวน้อย”
หลินจื่อเหยาหยุดแล้วหันไป
มู่หรงเว่ยหมินยังคงมีท่าทางเอื่อยเฉื่อยเหมือนคนเสเพล
“เพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้าทำนายชะตาให้กับเขา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้จะขอเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นอย่างไร”
ร้านฮั่นเก๋อ
...
จนกระทั่งเหล่าฝูวค่อยๆ ยกน้ำชาอาหารชื่อดังของร้านมาวางบนโต๊ะอาหารเสร็จ ซุ่นยวี่เหอก็ยังคงไม่เข้าใจ เขามองสตรีที่ใบหน้าซีดเซียวฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น
“คุณหนูรองหลินเจ้าไม่กลัวว่าพวกข้าจะหลอกลวงเจ้าเลยหรือ เกิดพวกข้าเป็นคนเลววางยาพิษเจ้าเล่า”
อีกอย่างองค์ชายห้านี่ก็แปลกคน เดี๋ยวนี้เริ่มที่จะเป็นฝ่ายเชิญชวนสตรีก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
หลินจื่อเหยาหลับตาครึ่งหนึ่งตั้งสมาธิ “นั่นเป็นเพราะว่าข้าหิวมากจริงๆ”
ซุ่นยวี่เหอ “.…….. "
“อืม แค่นี้แหละ เอาผัดเปรี้ยวหวานตับหมูมาอีกที่แล้วกัน” มู่หรงเว่ยหมินกล่าว เหลาฝูวโค้งตัวแล้วออกไปเตรียมอาหาร
ร้านฮั่นเก๋อเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองอู่เฉิงแคว้นเหย่าฮั่นที่ไม่มีผู้ใดรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้าของ
ร้านก่อตั้งที่ใจกลางเมืองเป็นตึกสูงหกชั้น ชั้นหนึ่งถึงสามเป็นร้านอาหารเปิดกว้าง สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้
ส่วนชั้นสี่เป็นสถานที่ส่วนตัวของเหล่าขุนนางระดับสูง ชั้นห้าเป็นห้องส่วนตัวของเหล่าองค์ชายองค์หญิงบุคคลสำคัญในราชวงศ์
ส่วนชั้นหกเป็นชั้นที่ไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นไปได้ดังนั้นย่อมไม่มีผู้ใดเคยขึ้นไป
ซุ่นยวี่เหอมองบรรยากาศรอบตัว “องค์ชายห้าเหตุใดเจ้าถึงไม่คิดที่จะขึ้นไปข้างบนเป็นส่วนตัวเสียหน่อยเล่า เจ้าไม่กลัวว่าผู้คนจะนำไปพูดในทางที่ไม่ดีหรือ”
หนึ่งคือองค์ชายเสเพลไม่เอาไหน อีกคนคือคุณหนูที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ไร้ยางอายนี่ไม่ใช่หัวข้อในการซุบซิบให้ร้านน้ำชาในวันต่อไปหรอกหรือ
“ไม่กลัว” มู่หรงเว่ยหมินเอาแขนวางลงตรงที่เท้าแขนพูดอย่างสบายๆ
“ไม่กลัวลิ้นหายก็ให้พูดไป!” คำพูดนี้หลุดออกจากปากขององค์ชายห้าทำให้ผู้คนที่เตรียมจะซุบซิบถึงกับก้มหน้าทานข้าวตรงหน้าของตัวเองอย่างเงียบๆ
มีใครไม่รู้บ้างว่า องค์ชายห้าผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของไท่ซางหวงมากเพียงใด นั่นก็ไม่ต้องพูดถึง ให้นึกถึงความเหี้ยมโหดของเขาในหลายปีที่ผ่านมาเถอะ
พวกเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา ฮูหยิน ขุนนางธรรมดาไม่สูงศักดิ์เพียงพอที่จะให้ราชสำนักสั่นคลอนได้ ดังนั้นมีสิทธิ์อะไรไปวิจารณ์องค์ชายกัน
“คุณหนูรองหลิน ได้ยินแล้วใช่หรือไม่องค์ชายห้าไม่ชอบพูดเหลวไหล เจ้าไม่ต้องเกรงใจอันใดเขาไม่เคยปฏิบัติกับสตรีนางใดดีเช่นนี้เลยเชื่อคำพูดของเขาเถอะจะไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าในเรื่องคืนนี้เลย”
หลินจื่อเหยาไม่ใส่ใจนางโบกมือ"ข้าหาได้ใส่ใจไม่"
“คุณหนูรองหลิน วันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากเลยทีเดียวที่องค์ชายห้าจะผูกมิตรเลี้ยงอาหารสตรีสักมื้อ เจ้ากินเต็มที่เลยนะ เจ้าไม่ต้องกลัว องค์ชายห้าผู้นี้หน่ะขาดทุกอย่างยกเว้นเงิน”
ซุ่นยวี่เหอทำทียกมือขึ้นคล้ายกระซิบ "องค์ชายห้ารวยมาก" เขาลากเสียงยาว
“บังเอิญจริง” หลินจื่อเหยากล่าว "ข้าขาดแค่เงิน" มู่หรงเว่ยหมินเงยหน้าขึ้น
“คุณหนูรองหลินเจ้าขาดเงินจริงหรือ" ซุ่นยวี่เหออึ้ง “ตระกูลหลินไม่ให้เงินเจ้าใช้เลยหรือ"
บ่าวรับใช้ตระกูลหลินมีเงินเดือนกันหมด แล้วนับประสาอะไรกับบุตรสาวสายตรงผู้นี้จะไม่มีเงินสักตำลึงเลยเชียวหรือ?
หลินจื่อเหยาหรุบตาลง "ข้าเป็นคนไม่เอาไหน ไร้การศึกษา ทำอันใดไม่เป็นสักอย่างและก็ไม่เคยเรียนมารยาท ปักดอกไม้เย็บปักก็ไม่เป็นยิ่งไม่ต้องพูดถึง พิณ อักษร กู่เจิ้ง กวี อะไรพวกนั้น" เด็กสาวพูด “น่าขายหน้าถึงเพียงนี้เหตุใดพวกเขาจะต้องให้เงินข้าด้วย”
ซุ่นยวี่เหอพูดไม่ออก
ขนตาของมู่หรงเว่ยหมินขยับ มุมปากถูกยกขึ้น “เช่นนั้นตระกูลหลินก็คงจะเป็นพวกมีตาหามีแววไม่ มารยาทของเจ้าบนโต๊ะอาหารนี้ใกล้เคียงกับเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงศักดิ์แล้ว”
ซุ่นยวี่เหอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจอีกครั้ง
นี่เขาได้ยินอะไรไปนะ
ราชวงศ์ก็ราชวงศ์แต่หากเติมชนชั้นสูงของราชวงศ์เข้าไปแล้วนั้น..
ราชวงศ์ชนชั้นสูงนั้นมีจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ในสิบราชวงศ์ที่ยังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ไม่มีแคว้นไหนหลงเหลือบุคคลชนชั้นสูงเหล่านั้นอยู่เลยหรือหากมีนั่นก็น้อยมากเลยนะ
ขนบธรรมเนียมของแต่ละราชวงศ์นั้นย่อมแตกต่างกันแค่ท่านั่งธรรมดาๆ เขาเองย่อมไม่เห็นจะดูออกสักนิด
เหตุใดองค์ชายห้าถึงได้บอกว่าใกล้เคียงกับมารยาทของราชวงศ์ในชนชั้นสูงได้เล่า
แต่ซุ่นยวี่เหอไม่มีทางสงสัยในคำพูดของมู่หรงเว่ยหมิน
เพราะองค์ชายองค์นี้แตกต่างจากองค์ชายในราชวงศ์องค์อื่นๆ อยู่มาก เขาเป็นคนท่องยุทธภพ ลึกลับและร้ายกาจ อีกอย่างเขาเคยบอกเขาว่า
หากต้องการเป็นคนเสเพลที่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่ต้องมีก็คือ ทำตัวให้รอบรู้เข้าไว้
.....
