ตอนที่ 3 ข่าวลือช่างน่ากลัว
มู่หรงจินเหยียนเป็นองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากฮ่องเต้มู่หรงอวี่และไป๋ฮองเฮาที่มีความสามารถโดดเด่นอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงที่ผู้คนต่างชื่นชม
เหล่าบรรดาขุนนางในราชสำนักแทบรอไม่ไหวที่จะถวายบุตรหลานเข้าวังหลังของเขาแต่ในเมืองหลวงอู่เฉิงแห่งนี้สตรีที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดก็คือคุณหนูใหญ่สกุลหลิน หญิงงามอันดับหนึ่งนั่นเอง
องค์รัชทายาทมู่หรงจินเหยียนกับหลินเสี่ยวเซวียนก็ถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดแล้ว
ซุนยวี่เหอถอนหายใจ "องค์ชายห้า ข้าว่าถ้าเจ้าใส่ใจกับกิจการบ้านเมือง สร้างผลงานโดดเด่นต้องตาเหล่าขุนนางในราชสำนักมากกว่านี้ด้วยใบหน้านี้ของเจ้าก็คงจะถูกให้คัดเลือกให้เป็นคุณชายอันดับหนึ่งไปแล้ว"
ถ้าเอ่ยถึงความสามารถของคุณชายทั้งหลายในราชวงศ์มู่หรง คนที่ชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในเมืองอู่เฉิงนอกจากมู่หรงจินเหยียนแล้วก็ยังมีอีกคนหนึ่งก็คือ องค์ชายห้ามู่หรงเว่ยหมินผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้แหล่ะ
เพียงแต่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้กลับไม่ได้มีชื่อเสียงในทางที่ดีนักดูเหมือนว่านอกจากใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพเซียนนี้แล้ว และสถานะที่สูงส่งที่เป็นถึงองค์ชายผู้ที่ไท่ซางหวงห่วงใยโปรดปรานที่สุดแล้ว ก็หาข้อดีอย่างอื่นไม่ได้เลย
แต่ซุ่นยวี่เหอกลับรู้สึกว่าเขามององค์ชายเสเพลคนนี้ไม่ออกมาตลอด มู่หรงเว่ยหมินหลุบตายิ้มอย่างไม่คิดอะไร “ข้าไม่อยากเป็นเหมือนเขาหรอก"
“ก็จริงนะ" ซุ่นยวี่เหอกล่าว “เที่ยวเล่นไปวันๆ สนุกกว่าเป็นไหนๆ อย่างน้อยเจ้าก็โชคดีที่ไม่มีผู้ใดมาบีบบังคับให้ไปทำนั่นนี่ " มู่หรงเว่ยหมินไม่พูดอะไร
"เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าที่ตระกูลหลินนั้นเลี้ยงดูนางมาอย่างไร ข้าได้ยินมาว่า นางเติบโตมากับแม่นมชราที่ท้ายจวน เมื่อปีที่แล้วฝ่าบาทมีรับสั่งให้บุตรสาวขุนนางใหญ่เข้าเรียนในสถานศึกษาโหยวหนานได้ทุกคน เพื่อในอนาคต แคว้นเหย่าฮั่นจะได้มีผู้มีความรู้ มีบัณฑิตมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นตระกูลหลินที่ปล่อยปละละเลยนางมาเป็นเวลาหลายปีก็ต้องหาคนมาพร่ำสอนกิริยา มารยาท การอ่านเขียน แต่ใครจะรู้ว่า นางนั้นได้ขับไล่อาจารย์เหล่านั้นออกจากจวนแทบไม่ทัน"
ซุนยวี่เหอพูดต่อ
“ในบางมุมข้าไตร่ตรองแล้วนางก็นับว่าน่าสงสารอยู่บ้าง ถูกทอดทิ้งมาตั้งหลายปี หากไม่มีรับสั่งจากฮ่องเต้คนเหล่านั้นก็คงไม่สนใจนางแต่นั่นก็ไม่ใช่ว่านางจะทำร้ายอาจารย์ ทำร้ายครอบครัวตระกูลหลินให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ทันทีที่นางพบองค์รัชทายาทก็คงจะถูกตาต้องใจถึงได้ทำร้ายคุณหนูใหญ่ตระกูลหลินเพื่อแย่งชิงคนรัก ดูแล้วนิสัยของคุณหนูรองหลินผู้นี้ไม่ไหวเท่าไหร่”
พูดจบเขาก็จ้องมองไปที่หลินจื่อเหยาเขาสังเกตเด็กสาวแล้วก็อดที่จะตะลึงในความงามไม่ได้
“ถึงนางจะดูซูบผอมไปมาก แต่เจ้าดูนางสิหน้าตาของนางนั้นสวยงามมากจริงๆ จิ๊ๆ เหล่าบรรดาสตรีในเมืองหลวงก็ยังสู้นางไม่ได้สักคน คุณหนูใหญ่หลินเสี่ยวเซวียนที่ว่างดงามอันดับหนึ่งแล้วก็เถอะ"
มู่หรงเว่ยหมินยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาดอกท้อหลุบลงเล็กน้อยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีใส่ใจซุ่นยวี่เหอก็หมดความสนใจเช่นเดียวกัน ในขณะที่เขากำลังจะถามเขาว่าจะกลับเลยหรือไม่นั้น จู่ๆ ร่างสูงโปร่งสง่างามก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ทั้งสองเดินออกมาจากโรงน้ำชาได้ไม่ไกลซุนยวี่เหอก็เอ่ยขึ้น
"องค์ชายห้า ดูเหมือนว่าคุณหนูรองตระกูลหลินจะเจอเรื่องเข้าแล้ว”
มีนักเลงหัวถนนห้าคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ขวางทางเด็กสาวเอาไว้ ใบหน้ามีรอยยิ้มแบบที่เจตนาไม่ดี ไม่น่าไว้ใจ
มีสองคนถือมีดอยู่ในมือรอบตัวมีคนจำนวนไม่น้อยเห็นเหตุการณ์แล้ว แต่ก็ได้แค่เหลือบมองอย่างเย็นชา จากนั้นก็รีบร้อนเดินจากไป
“ตอนนี้ข้าเชื่อเรื่องเวรกรรมตามสนองแล้วหล่ะ” ซุ่นยวี่เหอก็ไม่ขยับ ราวกับกำลังมองดูเรื่องสนุก "เจ้าดูแขนขาเรียวเล็กของนางสิ น่าสงสารเนอะ"
มู่หรงเว่ยหมินไม่ได้หันไปมอง แต่เขากลับพูดขึ้น "ไปช่วยนางหน่อย"
“ช่วยเหรอ” ซุ่นยวี่เหอสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด "ไม่ใช่มั้งองค์ชายห้า ท่านบอกให้ข้าน้อยไปช่วยนางอย่างนั้นหรือ? องค์ชายห้าท่านรู้หรือไม่ว่าชื่อเสียงของนางในฮู่เฉิงฉาวโฉ่มากแค่ไหน หากข้าไปช่วยนางก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวแล้วนะ”
"ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ มิใช่หรือ?” มู่หรงเว่ยหมินเหลือบมองเขา น้ำเสียงเรียบเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“ตัวเจ้าเองก็เพียงแค่ได้ยินมาไม่ใช่หรือ? หรือเจ้าไม่รู้เลยว่าตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรืองในแคว้นนี้จะไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง กลับขาวเป็นดำกลับดำเป็นขาวยื้อแย่งอำนาจความโปรดปราน
เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริงมากน้อยเพียใด ฟังเพียงข่าวลือที่ไม่ได้เห็นกับตา แล้วมาตัดสินว่านางเป็นคนแบบไหนได้หรือ?”
ซุ่นยวี่เหอที่ได้ฟังเช่นนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว คิดๆ ดูก็รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของเขา “แต่ทำไมข้าต้องเป็นคนไปช่วยนางด้วยเล่า?”
มู่หรงเว่ยหมินกล่าว "ก็เจ้ามีวิชาการต่อสู้ มีพลังลมปรานที่แข็งแกร่ง”
“อ่า.....” ซุ่นยวี่เหอจนปัญญา “ได้ๆ เห็นแก่หน้าองค์ชายห้าข้าจะไปช่วยนางก็ได้ แต่ถ้าอีกหน่อยหากนางเกิดอยากตอบแทนบุญคุณแล้วตามติดข้าเข้า ข้าจะบอกนางว่าเป็นเพราะคำสั่งขององค์ชายห้าก็แล้วกัน"
"อืม....ได้" มู่หรงเว่ยหมินตอบรับเสียงเรียบ
ซุ่นยวี่เหอเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ยินยอมแต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึง เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เห็นเพียงเด็กสาวคว้าแขนของหัวหน้านักเลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จับยกขึ้นบิดมือยกตัวทุ่ม ท่าทางโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง
ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ หลินจื่อเหยาก็หวดหมัดตวัดขา ยกเท้าแจกศอก จัดการพวกนักเลงที่เหลือจนล้มลงไปนอนได้ อย่างรวดเร็วโดยที่แทบไม่ได้หายใจ
เร็วถึงขนาดที่ทุกคนไม่มีใครตั้งรับทัน ผู้คนโดยรอบต่างตะลึงงัน
ซุ่นยวี่เหอตะลึงตาค้าง "... โอ้โห..."
มู่หรงเว่ยหมินค่อยๆ ยืนตรง ดวงตาดอกท้อเชิดขึ้นทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา
หลินจื่อเหยาชักมือกลับ ไม่แคร์สายตาแปลกๆ จากคนที่มามุงดูแม้แต่น้อย นางพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินต่ออย่างรวดเร็ว
เมืองอู่เฉิงนับเป็นเมืองหลวงที่ถือได้ว่าเจริญหูเจริญตามากที่สุดอีกเมืองหนึ่งในยุคสมัยโบราณเช่นนี้ การค้าขาย การจับจ่ายของประชากรถือได้ว่าอยู่ดีกินดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“องค์ชายห้า นั่น นั่นเจ้าเห็นหรือยัง” ผ่านไปสักพักกว่าซุ่นยวี่เหอจะได้สติกลับมา เขาหยิกต้นขาของตัวเองร้องซี้ดออกมา
“ข้าจำได้ดีเลยนะว่าเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือที่ว่านางถูกผู้นำตระกูลหลินลงโทษอย่างรุนแรงถึงขนาดสลบไปหลายวัน แต่เวลานี้ดูนางสิ บอบบางเช่นนั้นเหตุใดนางถึงสามารถสู้หนึ่งต่อห้าได้เล่า"
“อืม ข้าเห็นแล้ว” มือข้างหนึ่งของมู่หรงเว่ยหมินพาดไขว้ไปทางด้านหลัง สายตาเย็นเยือกของเขาจ้องมองตามแผ่นหลังอันบอบบางของเด็กสาวคนนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า
“แต่ศิลปะการต่อสู้เช่นนี้ ข้าดูไม่ออกเลยว่าคือวิชาการต่อสู้ของสำนักใด คล้ายกังฟู แต่ก็ไม่ใช่" ซุ่นยวี่เหออึ้งไป “ยังไง”
“ท่าที่นางใช้ต่อสู้เมื่อสักครู่แต่ละกระบวนท่าช่างตราตรึงยิ่งนัก” มู่หรงเว่ยหมินยิ้มเล็กน้อย “ถ้านางออกแรงมากอีกหน่อยห้าคนนั้นไม่ใช่แค่ล้มจนลุกไม่ขึ้นแน่นอน"
ซุ่นยวี่เหอได้ฟังก็เหงื่อแตกไม่หยุด “เป็นไปไม่ได้มั้ง นางเป็นสตรีห้องหอที่ขี้ขลาด ไม่เอาไหนจะเป็นวิทยายุทธ์ หรือกังฟูได้อย่างไร”
จอมยุทธ์ผู้ฝึกยุทธพลังลมปราณผสมผสานกับวิชากังฟู ซึ่งก็คือจอมยุทธ์ผู้มีฝีมือขั้นสุดยอดเหนือจอมยุทธ์ที่ฝึกวิทยายุทธจากพลังลมปราณแข็งแกร่งกว่าเขาเองที่เป็นศิษย์เอกของสำนักเมฆเขียวไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังจะมีจอมยุทธ์ที่มีวิชาการต่อสู้เช่นนี้อยู่ แต่ความจริงก็คงจะมีอยู่เพียงแต่อาจจะเหลือไม่มากแล้ว
เพราะการฝึกยุทธแบบวิทยายุทธ์ที่อาศัยพลังลมปราณจากจุดตันเถียนที่มีมากขึ้นดังนั้นจอมยุทธ์ที่มีมีวิทยายุทธแบบกังฟูผสานความแข็งแกร่งของพลังลมปราณจำนวนหนึ่งก็ค่อยๆ หายไป
แม้แต่ขุนนางตระกูลใหญ่ ผู้สูงศักดิ์เองในแคว้นเยว่ แคว้นเยี่ยน แคว้นลั่ว รวมถึงแคว้นใหญ่อย่างเหย่าฮั่นนี้ ก็กำลังตามหาจอมยุทธ์ที่มีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้อยู่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเมืองฮู่เฉิง
หากตระกูลไหนสามารถเชิญจอมยุทธ์ที่มีวิชาพลังผสมผสานที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาอยู่ในตระกูลนั่นย่อมถือเป็นเกียรติในตระกูลอย่างแท้จริงและก็จะมีความสามารถทัดเทียมเจ้าสำนักใหญ่ๆ ในใต้หล้าได้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หากคุณหนูรองตระกูลหลินผู้นี้เป็นวิทยายุทธ์ผสมผสานที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็กระกูลหลินยังจะมีความต้องการที่จะกำจัดนางออกไปให้พ้นตระกูลอยู่อีกหรือไม่
ทุกคนในจวนตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าจนถึงบ่าวรับใช้คงได้รีบเอาใจกันเต็มที่
“วิทยายุทธ์ผสมผสานอย่างนั้นหรือ...." มู่หรงเว่ยหมินเหลือบมอง สายตาจับจ้อง
ขณะนั้นที่ด้านหน้าของทั้งสอง เด็กสาวรูปร่างบอบบางก็เดินย้อนกลับมาทันที อีกทั้งยังตรงมาทางพวกเขาอีกด้วย
มู่หรงเว่ยหมินหรี่ตาลง เขาหมุนตัวเล็กน้อยแสงไฟสว่างไสว เงาสะท้อนอยู่ในดวงตาดอกท้อที่เรียวยาวของเขา ฉาบด้วยสีแดง เจือไปด้วยประกายอ่อนโยน
ยากนักที่จะมีคนต้านทานสายตาของเขาได้ เมื่ออยู่ในระยะใกล้มู่หรงเว่ยหมินก็สามารถมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวที่อยู่ใต้ผิวหน้าที่บอบบางขาวซีดของเด็กสาวได้อย่างชัดเจน
นางดูอ่อนแอจนน่าตกใจคิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย
ซุ่นยวี่เหอเหงื่อแตกหนักกว่าเดิมคงไม่ใช่ได้ยินที่เขากล่าวถึงนางหรอกใช่ไหม
ถึงเขาจะเป็นศิษย์เอกสำนัขเมฆเขียวเป็นคุณชายรองสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งทั้งยังเป็นผู้ชายอกสามศอก
แต่ก็เทียบไม่ได้กับความโหดเมื่อสักครู่ของนางเลยแม้แต่น้อย
....
