ตอนที่ 2 หุบปากแล้วออกไปซะ!
ชื่อของเธอเมื่อมาอยู่ในร่างนี้ก็ยังคงเป็นหลินจื่อเหยา ชื่อนี้อยู่กับเธอมานานแสนนาน เพียงแต่เธอไม่ใช่เทพเซียนผู้หยั่งรู้ความเป็นความตาย มองปราดเดียวรู้สุขทุกข์ในโลกบำเพ็ญเพียรอีกต่อไปแล้ว
เธอไม่ใช่หลินจื่อเหยา ศัลยแพทย์มือทอง อัจฉริยะวงการแพทย์ หรือหลินจื่อเหยาทายาทหมอยาผู้สืบทอดหมอเข็มทองรุ่นที่สาม ในตอนนี้นางคือลูกสาวสายตรงของตระกูลขุนนางใหญ่ที่โชว์ใครไม่ได้ของตระกูลหลิน
และยังเป็นตัวอัปลักษณ์ ขยะไร้ค่าตัวถ่วงความก้าวหน้าของตระกูลอีกด้วย เรียกได้ว่า ตายไปพวกเขาทั้งตระกูลหลินก็ไม่มีใครถามหา ที่หมดสติไปครั้งนี้ก็เป็นเพราะโดนบิดาผู้ให้กำเนิดสั่งลงโทษให้นางอดอาหารในขณะที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ นางถูกบิดาสั่งล่ามเอาไว้ร่างกายถูกทรมานอย่างต่อเนื่องหลายวันนางไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนได้
ตอนนั้นเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ใครเป็นคนผลักหลินเสี่ยวเซวียนลงไปในบึงกัน เท่าที่ปรากฎในความทรงจำไม่เป็นเช่นนั้นแน่
"คุณหนูรอง ยามาแล้วเจ้าค่ะท่านก็รีบดื่มเสียเถอะ อย่าให้ท่านหมอเสียเวลานักเลย..คุณหนูรองจะดื่มเองหรือให้ข้าป้อนเจ้าคะ?"
จิ่วจิงสาวรับใช้ผู้โอหังของนางเอ่ยถามพร้อมกับถือถ้วยยาเข้ามา ครั้นยังเห็นหลินจื่อเหยาไม่ขยับ ความหงุดหงิดรำคาญของนางก็แล่นขึ้นมาทันที “คุณหนูรองเจ้าคะ ข้าถามท่านอยู่นะ นี่ไม่ใช่ว่าท่านเป็นใบ้ไปแล้วหรอกนะ"
“หนวกหู” หลินจื่อเหยาส่งสายตารำคาญใส่คนที่ยืนอยู่ “เงียบๆ หน่อย!"
“เสี่ยวเหยาอย่าทำเช่นนี้เลยได้ไหม ยาก็มาแล้วก็รีบดื่มเสีย อีกสักครู่พี่ต้องกลับจวนแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ก็อยู่ให้ดี..."
"ประตูอยู่นั่น ออกไปซะไปให้หมด!" หลินจื่อเหยากระชับอกเสื้อกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
เดิมทีหลินเสี่ยวเซวียนต้องการที่จะให้เด็กสาวพูดจาอ้อนวอนนางสักนิด ขอร้องให้นางพากลับจวนตระกูลหลินด้วยแต่นึกไม่ถึงว่าหมัดที่หวดออกไปกลับพลาด หน้าของนางซีดขาวขึ้นมาในทันที ใบหน้าร้อนผ่าว
“เสี่ยวเหยา!" หลินเสี่ยวเซวียนกำมือแน่นสายตารังเกียจเผยออกมา กับน้องสาวต่างมารดาของตนคนนี้ไม่นับว่าเป็นตัวอะไรต้องให้นางใส่ใจเลยสักนิด เดิมทีฮูหยินเอกนั่นก็ไม่สมควรที่จะให้กำเนิดคนชั้นต่ำนี่มาด้วยซ้ำหากไม่ใช่เพราะท่านพ่อเกิดความสับสนแม้ว่าตนจะได้เป็นคุณหนูใหญ่เพียงเพราะมารดาได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้ดูแลจวนเป็นฮูหยินเอกที่ท่านพ่อแต่งตั้งแต่ตามความเป็นจริงแล้วในใจยังคงรังเกียจสถานะของบุตรสาวอนุอยู่
แต่เมื่อเห็นบุตรีสายตรงของจวนเป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีประโยชน์ก็ทำให้นางนั้นรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย จากนั้นท่านแม่ก็คอยใช้ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ของนางคอยผลักดันให้ชื่อเสียงของตนนั้นดูสูงขึ้นเท่านั้นแต่หากว่าตายไปก็ไม่ส่งผลใดๆ กับนางสักนิด
“เจ้าอย่าลืมว่า เจ้ามาอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด และรอดตายมาได้อย่างไร ยานี่ก็เป็นยาที่ข้าใช้ตำลึงจำนวนมากหามา หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ไม่ยอมดื่ม ยานี่ก็เสียเปล่าร่างกายของเจ้าก็จะไม่หาย เช่นนั้นความห่วงใยที่ข้ามอบให้...”
"อืม ความห่วงใยจอมปลอม" หลินจื่อเหยาพูด “คนที่ไม่รู้คงคิดว่าที่ข้ามานอนแหมะอยู่ตรงนี้ได้นั้นเป็นเพราะข้าทำผิดต่อเจ้าเลยโดนสกุลลงโทษสินะ "
หลินเสี่ยวเซวียนตกใจ "เสี่ยวเหยา?"
หลินจื่อเหยาใช้ข้อศอกยันตัวลุกขึ้นมานั่ง
“แต่ที่สุนัขรับใช้เหล่านี้พูดก็มีเหตุผลอยู่ ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนผลักคุณหนูใหญ่หลินลงไปในบึงกันแน่...ข้าว่านะคนทำชั่วจะอย่างไรเสียมันก็ต้องเผยพิรุธอยู่บ้างหล่ะ”
กล่าวจบหลินจื่อเหยาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยยามาจากจิ่วจิงที่ยืนอ้าปากค้างกับคำพูดของคุณหนูรองที่อ่อนแอ โง่เขลาในก่อนหน้านี้อยู่ข้างเตียง จากนั้นนางก็หันไปมองหลินเสี่ยวเซวียนพูดขึ้น
"คุณหนูใหญ่?”
หลังจากวางถ้วยยาลงทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกว่าท่าทางของเด็กสาวนั้นเปลี่ยนเป็นคนละคน จากเมื่อก่อนที่วันๆ เอาแต่ก้มหน้า ไม่พูดจาโง่เขลาให้พวกนางกลั่นแกล้งได้ทุกวันกลับกลายเป็นกดดันขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม
หลินเสี่ยวเซวียนวางมาดไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง นางขมวดคิ้วไม่พอใจ
"เสี่ยวเหยาเจ้าเลิกเอาแต่ใจได้แล้ว.."
"ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูรองท่านเป็นคนทำให้คุณหนูใหญ่ตกน้ำ เพราะท่านไม่พอใจที่องค์รัชทายาทหมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ท่านอย่ามาพูดดำเป็นขาวเช่นนี้เลยทุกคนเห็นกันหมด คุณหนูใหญ่เจ้าคะท่านเลิกปกป้องนางเถอะเจ้าค่ะ"
“บ่าวว่า สุนัขรับใช้มีสิทธิ์อันใดมาสอด จวนตระกูลหลินคงเลี้ยงสุนัขรับใช้เอาไว้ให้ตีตนเสมอนายเช่นนี้สินะ...” หลินจื่อเหยาเงยหน้ามองไปที่จิ่วจิง แล้วกล่าวต่อ
"จากนี้ไปเจ้าก็ไม่ต้องมาอยู่ข้างกายข้า เจ้าอยากไปรับใช้ผู้ใดก็ไป หรือไม่เช่นนั้นหากข้ายังเห็นเจ้าโผล่หน้าเข้ามาอีก ข้าอาจจะขายเจ้าให้หอนางโลมไปเสีย"
"เจ้ากล้า.." จิ่วจิงที่เคยกลั่นแกล้งหลินจื่อเหยามานานหลายปีคุ้นชินกับการทุบตีนางไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินว่าจะถูกขยะผู้หนึ่งนำตนไปขายมือเล็กของนางก็ยกขึ้นมาอย่างทันท่วงที
แต่ยังไม่ทันที่จะตบลงมาโดนหลินจื่อเหยาคว้ามือเอาไว้จากนั้น เสียงกร็อบ ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโหยหวนของจิ่วจิง
"อ๊า...แขนข้าหักแล้ว เจ้า...คุณหนูใหญ่ช่วยข้าด้วย คุณหนูรองจะฆ่าข้า..อ๊า.." จิ่วจิงถูกหลินจื่อเหยาผลักออกไปจนล้มลง
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องยืนแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง หลินเสี่ยวเซวียนไม่คาดคิดว่าหลินจื่อเหยาจะกล้าลงมือรวดเร็วเช่นนี้ หนำซ้ำยามนี้ยังมีกลิ่นอายความเย็นชาอบอวลอยู่รอบกายของนางสายหนึ่งอีกด้วย
หลินเสี่ยวเซวียนไม่เคยเห็นหลินจื่อเหยาเป็นเช่นนี้มาก่อน "นี่...เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าไม่ใช่หลินจื่อเหยาคนขี้ขลาดนั่น เจ้าเป็นใคร?"
"เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกันหล่ะ ข้าก็ยังเป็นหลินจื่อเหยานี่ แต่อาจจะไม่ใช่คนโง่งมที่ใครๆ จะมารังแกได้อีกต่อไปก็เท่านั้นเอง.."
กล่าวจบหลินจื่อเหยาก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดมองจิ่วจิงที่นอนตัวงออยู่ที่พื้น ยกเท้าเตะนางไปอีกหนึ่งที นางไม่สนใจว่าหลินเสี่ยวเซวียนจะมีสีหน้าอย่างไร ก็เดินออกจากห้องพักไปอย่างไม่หันกลับมามอง
หลินเสี่ยวเซวียนกัดริมฝีปากแววตาหม่นลงนางครุ่นคิด
"คุณหนูใหญ่เจ้าคะ วันนี้คุณหนูรองเป็นอะไรไปปกตินางจะเชื่อฟังคุณใหญ่ที่สุดแต่วันนี้...."
ดวงตาของหลินเสี่ยวเซวียนสั่นไหว ใบหน้าของนางซีดขาว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดขยะอย่างหลินจื่อเหยาถึงได้มีความกล้าที่จะตอบโต้นางเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเชื่อฟังนางมาตลอดหรอกหรือ คิ้วสวยของหลินเสี่ยวเซวียนขมวดเข้าหากัน
ใบหน้าเย่อหยิ่งสวยงามของนางยกสูงขึ้น "กลับจวนกันเถอะ เรื่องในวันนี้พวกเจ้าก็นำไปซุบซิบให้มากเสียหน่อยหล่ะ "
"ทราบแล้วเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ " เหล่าสาวใช้ที่เหลือขานรับอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็พยุงจิ่วจิงออกจากห้องตามกันออกไปที่รถม้าทันที
หลินจื่อเหยา เจ้ากล้าต่อต้านข้า ข้าก็จะให้เจ้ารู้ว่าการต่อต้านข้านั้นมันจะจบลงอย่างไร ใบหน้าเย่อหยิ่งของหลินเสี่ยวเซวียนผุดยิ้มร้ายออกมา ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมุมนี้ของนางเลยสักคน เพราะฉาบหน้าของนางคือสตรีอันดับหนึ่งคู่หมั้นที่เหมาะสมขององค์รัชทายาท
บ่ายคล้อยที่ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ขาวโพลนไปถ้วนทั่วเมืองอู่เฉิง ในกลางฤดูหนาวก็ไม่มีทางได้เห็นหิมะ แต่ปีนี้วันหนึ่งในปลายเดือนมกราคมกลับมีหิมะโปรยปรายกลางท้องฟ้าที่กำลังเข้าสู่ยามราตรีที่อากาศหนาวเย็น
เวลานี้บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา บรรยากาศครึกครื้นเป็นพิเศษ เด็กสาวสวมอาภรณ์สีดำรวบผมไว้ด้านหลังปักปิ่นอย่างเรียบง่าย ร่างกายดูบอบบางเธอสะพายกระเป๋าปักใบเล็กๆ หากจ้องดูดีดีกระเป๋าใบนั้นปักด้วยดิ้นสีทองเป็นดอกลั่วฮวาสีค่อนข้างซีดพอๆ กับใบหน้าของเจ้าของ
นางเดินไปอย่างช้าๆ ดูไม่เข้ากันกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ใบหน้าของนางซีดเซียว แต่กลับไม่สูญเสียความงามไป บางช่วงมีแสงไฟจากการจุดโคมและพลุพาดผ่านใบหน้าของนาง ประหนึ่งดวงดาวที่เล็กละเอียดค่อยๆ กระจัดกระจายออกไป
ไกลออกไปบริเวณร้านน้ำชาชั้นสองฝั่งตรงข้าม “เอ๋ องค์ชายห้าเจ้าดูนั่นสิ” สายตาของซุนยวี่เหอจับจ้องพร้อมกับสะกิดคนข้างๆ “เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าเห็นผู้ใด”
“หืม?” องค์ชายห้าท่าทางเอื่อยเฉื่อยเอ่ย “เจ้าพบคนรักเก่าเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
เขาเอียงตัวพิงเก้าอี้ รูปร่างสูงยาว ท่าทางเหนื่อยหน่าย ให้ความรู้สึกเหมือนไม่เอาไหนนิ้วมือเรียวยาวดุจกิ่งเหมยกำลังเล่นแหวนปานจื่อ มือนั้นกลับขาวนวลเสียยิ่งกว่าหยกเสียอีก
ซุนยวี่เหอหันกลับไป ควันจางๆจากเตาน้ำชาบดบังใบหน้าของเขา แต่ไม่อาจกลบหน้าตาอันคมคาย กลับยิ่งดูสะดุดตาเสียด้วยซ้ำชายหนุ่มมีดวงตาดอกท้อที่เจือด้วยรอยยิ้ม โค้งมนเล็กน้อย ไม่ว่ามองใครก็คล้ายกับมีเยื่อใย ชวนให้หลงใหล เย้ายวนสะกดใจซาตานผู้มาพร้อมกับแรงดึงดูดมหาศาลชัดๆ ซุนยวี่เหอคิดในใจ
มิน่าเล่าเหล่าบรรดาสตรีทั่วเมืองอู่เฉิงต่างก็เพ้อฝันถึงองค์ชายผู้นี้กันทั่วทั้งเมือง ขนาดเขาที่เป็นชายด้วยกันเห็นแล้วยังอยากคุกเข่าเลย
“คนรักเก่าอะไรเล่า ข้าไม่เคยคบค้ากับสตรีนางใดเจ้าก็รู้ แต่ที่ข้าเห็นนั้น นู่นเจ้าดูสิ นั่นเป็นบุตรสาวคนรองสกุลหลินที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นั่นต่างหาก”
ชายหนุ่มขานรับอย่างไม่สนใจ มือขวาของเขายกขึ้นมาเท้าคางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าหรือกรอบหน้าล้วนอยู่ในจุดที่สมบูรณ์ สง่างาม เหล่าสตรีมากน้อยที่เข้ามาในร้านน้ำชาต่างก็พากันหัวใจสั่นไหว
ซุนยวี่เหอเห็นว่าเขาไม่สนใจใคร่มองครั้นแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“องค์ชายห้าเจ้าออกท่องยุทธภพมาเนิ่นนานหลายปี กว่าจะกลับมาที่เมืองหลวงคงไม่รู้ว่าบุตรสาวคนรองของสกุลหลินนั้นไร้ยางอายเพียงใด
เพื่อได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาทแล้วนางถึงกับลงมือทำร้ายพี่สาวของตนเอง คุณหนูใหญ่หลิน หลินเสี่ยวเซวียนเชียวหล่ะ"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดก็มีท่าทีตอบสนอง “องค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ”
"ใช่" ซุนยวี่เหอทำเสียงจิ๊ “นางช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ”
..
