ตอนที่ 1 ชีวิตใหม่ที่อ่อนแอ
'จื่อเหยา ถึงเจ้าจะเป็นบุตรสาวสายตรงที่เกิดจากฮูหยินเอกของตระกูล แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะมีความเหมาะสมกับองค์รัชทายาท
ดังนั้นการที่องค์รัชทายาทระบุว่าต้องการหมั้นหมายกับหลินเสี่ยวเซวียนนั้นนับว่าสมควรแล้ว
เสี่ยวเซวียนเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งที่เพียบพร้อมทุกอย่างความรู้ความสามารถ ทั้งฉลาดหลักแหลม เจ้ามีอันใดเทียบนางได้
เจ้ามันก็เป็นเพียงคนไร้ค่า เป็นตัวอัปมงคลเกิดมามารดาก็สิ้นใจตาย โตมาก็โง่เขลาหยาบคาย ทำตัวไร้ยางอาย เช่นนี้เจ้ายังคิดว่าองค์รัชทายาทจะมาหมั้นหมายกับเจ้าอย่างนั้นหรือ?
มาลากตัวนางออกไป เอาไว้อารามบนภูเขานู่น หากนางยังไม่สำนึกก็อย่าได้ให้นางเข้ามาเหยียบที่จวนตระกูลหลินอีกเป็นอันขาด!"
"ท่านพ่อ ให้น้องรองไปอยู่บนอารามห่างไกลเช่นนั้นตัวคนเดียวจะไม่ลำบากแย่เลยหรือ ข้าว่า.."
"เจ้าเป็นพี่ชายคนโต เจ้าคิดว่าหลายปีมานี้การกระทำของนางยังเหมาะสมที่จะเป็นคุณหนูรองของตระกูลหลินอีกหรือ?
วางใจเถอะท่านพ่อของเจ้าเพียงแค่ต้องการดัดนิสัยนางเท่านั้น หากนางสำนึกย่อมกลับมาที่จวนได้
อย่างมากนางก็เพียงแค่น้อยใจ ถึงอย่างไรท่านพ่อของเจ้าก็จิตใจดีขนาดนี้ แม่รู้ว่าไม่มีทางที่ท่านพ่อของเจ้าจะถือสานางแน่นอน วางใจเถอะนะ อะไรที่สมควรทำท่านพ่อเจ้าย่อมรู้ดี"
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ฟังท่านพ่อกับท่านแม่เถอะเจ้าค่ะ น้องรองต้องได้รับการอบรมสั่งสอน หากน้องยินยอมที่จะเข้าศึกษาที่สถานศึกษาโหยวหนานน้องเองก็ยินดีที่จะสอนน้องเกี่ยวกับการศึกษาเหล่านั้นก่อนที่จะเข้าเรียนเพื่อเป็นการไม่ให้สกุลหลินขายหน้าได้
กลอน กวี อักษร พิณ ศิลปะต่างๆ หากน้องรองพร้อมเสี่ยวเซวียนก็ยินดีเจ้าค่ะ"
ภายในความเลือนรางบริเวณห้องโถงอันหรูหรามากมายไปด้วยเงาของคนเต็มไปหมดบวกกับคำพูดที่ดังออกมาตีกันยุ่งเหยิงในโสตรประสาทของหญิงสาวเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานหลินจื่อเหยาถึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาขนตางอนยาวของนางขยับไหว เมื่อลืมตาขึ้น
ภาพที่ปรากฎอยู่ในสายตาเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมสภาพทรุดโทรมแต่ก็ยังนับว่าสะอาดสะอ้านดี
ผ้าม่านโปร่งริมหน้าต่างโบกสะบัดตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามา ทำให้หลินจื่อเหยารู้สึกได้ถึงกลิ่นต้นไม้ ใบหญ้าและยังมีกลิ่นสมุนไพรจางๆ ลอยมากับสายลมอีกด้วย
“โอ้.. คุณหนูรองตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?" น้ำเสียงประชดประชันเสียงหนึ่งลอยมาทางเหนือศีรษะ หลินจื่อเหยาขยับกายกำลังจะเงยหน้ามองดู แต่ยังไม่ทันได้มองเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก
“ข้าก็หลงคิดว่าท่านตายไปแล้วเสียอีก เอ๊ะ..คุณหนูรองอย่าพึ่งขยับร่างกายนะเจ้าคะ ท่านจะขยับทำไมกันหากเข็มเคลื่อนคนโง่เขลาเช่นท่านคงได้ตายจริงๆ นะเจ้าคะ" หญิงสาวคนนั้นกล่าวพลางยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกแรงกดหลินจื่อเหยาเอาไว้ มือที่กดลงมาได้บีบแผลของนางแรงขึ้นอย่างตั้งใจ
แม้แรงที่กดบาดแผลจะมากเพียงใดแต่ทว่าสีหน้าของเด็กสาวกลับไม่แสดงความรู้สึกเจ็บเลยสักนิด หลินจื่อเหยาขยับกายพลิกข้อมือขึ้น จับมือข้างที่กดแผลของนางเอาไว้แน่นแล้วบิดข้อมือกดไว้บนชั้นวางตรงหัวเตียง
หญิงสาวคนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาทันที “อ๊า ..คุณหนูรองนี่ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ!ปล่อยข้านะ คุณหนูรอง อ๊า...ช่วยด้วย ช่วยด้วยช่วยข้าด้วยคุณหนูรองเป็นบ้าไปแล้วนางจะฆ่าคนแล้ว..."
หญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในขณะที่หลินจื่อเหยากำลังออกแรงอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านนอกประตู
“เสี่ยวเหยาหยุดนะ!” เมื่อสิ้นเสียงภายนอกประตูห้องก็ได้มีหญิงสาวนางหนึ่ง กำลังยืนจ้องมองเข้ามาข้างในด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่านางนั้นกำลังตกใจเป็นอย่างมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวได้สติกลับมาก็รีบเดินเข้ามาด้านในห้องหยุดอยู่ด้านข้างของหลินจื่อเหยาพร้อมกับเอ่ย
“เสี่ยวเหยาเจ้าปล่อยมือก่อนเถอะนี่คือจิ่วจิงบ่าวรับใช้ข้างกายของเจ้าเอง นางไม่ได้จะมาทำร้ายเจ้า"
หลินจื่อเหยาหันหน้าไปมองหญิงสาวผู้ที่เข้ามาใหม่ ใบหน้าซีดเซียวที่ถึงขั้นไม่มีเลือดแม้แต่น้อยของนางก็ขมวดคิ้วขึ้น ถึงแม้ว่าร่างกายของหลินจื่อเหยาร่างนี้จะดูขี้โรค ไร้ความสดชื่น แต่เมื่อสังเกตให้ดีกลับงดงามได้รูป นัยน์ตาหงส์ชวนมองที่กลอกไปมาเล็กน้อยเกิดประกายอ่อนๆ วูบไหว
หลับตาและลืมตาสลับกันไป
มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่ทำให้คนเหม่อลอย
ดวงตาของหญิงสาวผู้นั้นนั้นวูบไหวถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวเหยา ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เด็กสาวไม่ตอบ แต่กลับปล่อยมือออกแล้วล้มตัวลงนอนเช่นเดิม บ่าวรับใช้นวดข้อมือพลางถอยหลังพูดต่อว่า
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูรองนางต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เจ้าค่ะ บ่าวยังไม่ได้ทำอะไรเลยจู่ๆ คุณหนูรองก็จะฆ่าบ่าวเจ้าค่ะ...”
หลินจื่อเหยาเงยหน้า ดวงตาหงส์เรียวยาวยังเจือไปด้วยประกายความชุ่มชื้น
น้ำเสียงของนางแหบแห้งแบบที่คนพึ่งตื่นนอนเจือไปด้วยความเย็นชา “ขอโทษที เพิ่งตื่น ข้าคิดว่ามีหมากัด”
“ฟื้นแล้วหรือ? ...”
ในขณะนั้นเองก็ได้มีชายชราในชุดนักพรตเดินเข้ามา เขาตรงเข้ามาที่หลินจื่อเหยาดึงเข็มที่ปักอยู่ตรงจุดต่างๆ ออกมาแล้วพูดอธิบายว่า
"ร่างกายของคุณหนูรองหลินต้องการการพักผ่อน และต้องบำรุงให้มากถึงจะดี สองสามวันนี้ยังไม่ต้องออกไปต้องลมเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้"
กล่าวจบชายชราก็เดินถอยหลังออกไป แต่ก่อนออกไปเขาก็หันไปทางจิ่วจิงสาวรับใช้
"เจ้าตามข้าออกมา ไปรับน้ำแกงบำรุงให้นาง.."
"เจ้าค่ะ" จิ่วจิงเดินตามชายชราออกไป หลินเสี่ยวเซวียนมองหลินจื่อเหยาด้วยสายตาที่รู้สึกผิด
“เสี่ยวเหยา ถ้าจะโทษเจ้าต้องโทษพี่ พี่ขอโทษนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ท่านพ่อคงไม่ส่งเจ้าออกมาอยู่ที่ห่างไกลกันดารเช่นนี้แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลนะ พี่ใหญ่กลับไปจะไปช่วยกล่าวกับท่านพ่อ ให้ท่านพ่อส่งคนมารับเจ้ากลับจวน.."
"จะได้อย่างไรเจ้าคะคุณหนูใหญ่ ท่านหน่ะใจดีกับคุณหนูรองมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ หากคุณท่านผู้เฒ่าตระกูลหลินทราบว่าคุณหนูรองทำร้ายคุณหนูใหญ่เพียงแค่ไม่พอใจที่ไม่ถูกองค์รัชทายาทหมั้นหมาย นั่นก็เพียงพอที่จะสั่งโบยคุณหนูรองจนตายได้
นี่ยังถือว่านายท่านและฮูหยินนั้นเมตตาคุณหนูรองมากแล้วคุณหนูใหญ่ยังจะช่วยอะไรอีก.."
หญิงสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของหลินเสี่ยวเซวียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ
"ใช่เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ นี่ก็ไม่เช้าแล้วคุณหนูใหญ่รีบกลับจวนเถอะเจ้าค่ะ ปล่อยนางไว้นี่แหล่ะเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ทั้งสูงส่ง สง่างาม พูดกับนางไปก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะทำให้คุณหนูแปดเปื้อนนะเจ้าคะ กลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
หญิงสาวถอนหายใจ “คุณหนูใหญ่ สูงส่งสง่างาม คุณหนูรองนั้นโง่เขลา อ่อนแอและโอหังถึงเพียงนี้จะเทียบกับคุณหนูใหญ่เสี่ยวเซวียนของเราได้ยังไง"
"เทียบไม่ได้" คราวนี้บ่าวรับใช้ของหลินเสี่ยวเซวียนต่างก็หัวเราะออกมายิ้มออกมา
" คุณหนูใหญ่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง ความสามารถล้นหลาม เป็นสตรีที่เหล่าคุณชายทั้งหลายต่างชื่นชมแต่ดูคุณหนูรองสิ เหมือนหมาป่าตาขาวจริงๆ คุณท่านอุตส่าห์ใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างเหล่าอาจารย์ที่ชื่อเสียงโด่งดังมาสอนสั่งแต่กลับได้อันดับสองนับจากข้างท้าย น่าขายหน้าจริงๆ”
หญิงสาวหน้านิ่ง แต่ในแววตานั้นบ่งบอกถึงความได้ใจ คล้ายกับจะบอกบ่าวรับใช้เหล่านั้นว่าพวกเจ้าพูดอีกสิข้าชอบ
แต่สุดท้ายก็ยังแสร้งทำหน้าเศร้าสร้อยน่าสงสาร “พวกเจ้าอย่าพูดแบบนี้สิ นี่คุณหนูรองที่เป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลนะ หากผู้ใดได้ยินเข้าจะไม่ดี ต่อให้นางไม่มีอะไรดีเลย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของตระกูลหลิน เป็นน้องสาวของข้า.."
บทสนทนาของทั้งทั้งหมดที่พูดคุยกันต่างก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหลินจื่อเหยาในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย
นางตวัดสายตาขึ้นมองหญิงสาวอย่างสบายๆ ภายในสมองก็ปรากฏชื่อๆ หนึ่ง
หลินเสี่ยวเซวียน พี่สาวต่างมารดาของนางปีนี้อายุสิบหกปี เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหลินหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองอู่เฉิง และยังเป็นว่าที่คู่หมั้นหมาดๆ ขององค์รัชทายาทผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย
เนื่องจากทั้งสองเป็นหญิงงาม ชายงามอันดับหนึ่งทั้งคู่จึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่หลายวันก่อนในวันที่ในวังมีประกาศราชโองการลงมาให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหลินหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทนั้น
หลินจื่อเหยาก็โวยวายไม่พอใจถึงขนาดวางแผนผลักคุณหนูใหญ่หลินเสี่ยวเซวียนลงน้ำ สลบไปหลายวัน ดังนั้นนางจึงถูกนายท่านตระกูลหลินลงโทษตบคุณหนูรองผู้นี้เต็มแรงทั้งยังสั่งโบยนางอีก
จากนั้นก็สั่งล่ามนางเอาไว้ท้ายจวน งดข้าว ให้น้ำดื่มวันละครั้ง ตากแดดตากลมจนกว่าคุณหนูใหญ่หลินเสี่ยวเซวียนจะฟื้น ผ่านไปเจ็ดแปดวันหลังจากหลินเสี่ยวเซวียนฟื้นแล้ว พวกเขาก็ยังเนรเทศนางออกมาอยู่อารามที่ห่างไกลผู้คนบนเขาสูงเพื่อให้สำนึกอีกด้วย
หลินจื่อเหยามองข้อมือเรียวเล็กของตัวเองที่มีรอยเชือกรัดจนเกิดแผลเริ่มเน่านางก็ขมวดคิ้ว
นี่คงกะจะให้นางตายไปเลยสินะ ไม่สิเจ้าของร่างก็ได้ตายไปแล้วไง สตรีร้ายกาจอะไรการเลี้ยงดูดีแค่ไหน ผอมแห้งเช่นนี้ แม้แต่เส้นเลือดก็ยังสามารถมองเห็นได้
สีหน้าของนางปรากฎความเหนื่อยหน่าย
เธอตายจากโลกบำเพ็ญเพียรแล้วก็ตายจากโลกมนุษย์มาสองครั้ง แต่กลับได้หวนกลับมายังโลกมนุษย์ที่ย้อนยุคสมัยมาอีก
ชีวิตที่หลับใหลได้เกิดใหม่ เวียนว่ายของนางนั้นรู้สึกถึงความลำบากของร่างนี้เข้าแล้ว ตอนนี้จิตสำนึกและความทรงจำของเจ้าของร่างได้หลั่งไหลเข้ามาจนหมดสิ้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว
......
