ลิขิตสวรรค์ (1)
ตำนานเล่าขานถึงหนึ่งรักมั่นของสตรีนาม หนิงเซียน ที่จำต้องพลัดพรากจากคนรักเพราะสงคราม พวกเขาไม่อาจได้อยู่เคียงคู่ หากแต่หญิงสาวได้ลั่นวาจาจะรักมั่นและรอคอยวันที่ทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
วันเวลาล่วงเลยจนสงครามสิ้นสุดลง หากแต่กลุ่มทหารกล้าที่ออกไปรบกลับหายสาบสูญ สตรีทั้งหลายที่เฝ้ารอการกลับมาของสามีต่างสิ้นหวังและปลงใจว่าสามีของตนคงสิ้นลมหายใจกลางสนามรบเป็นแน่ จึงต่างคนต่างแยกย้าย กลับไปชีวิตของตัวเองต่อไป
ทว่ากับไม่ใช่กับสตรีที่ยึดมั่นในรักแท้ หนิงเซียนยังคงไม่หมดหวังโดยง่าย
นางคิดว่าเส้นทางในป่าล้วนคดเคี้ยวเฉกเขาวงกต ทั้งยังมืดมิดไร้ซึ่งแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์จะส่องถึง ไม่แน่ว่าชายคนรักของนางอาจจะหลงทางอยู่ในป่าก็เป็นได้
ฉะนั้นหนิงเซียนจึงคิดประดิษฐ์โคมกระดาษขึ้นมา และจุดขึ้นในทุกวัน ไม่เว้นช่วงกลางวันหรือกลางคืน โดยหวังให้แสงไฟนี้ช่วยนำทางชายคนรักกลับมาหานาง
หลายวันหมุนเปลี่ยนล่วงเลยเป็นปี ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง ขณะหนิงเซียนในวัยกว่าหกสิบปี นั่งเอนกายอยู่หน้าลานเรือน สายตาพลันเหลือบเห็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งดูคุ้นตาก้าวเข้ามาหาตน
ใบหน้านั่นยังคงไม่เปลี่ยนจากเมื่อก่อน คมคาย สง่างามราวรูปสลัก แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่เฉกเช่นวันแรกที่พบกัน ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มละมุน
“หนิงเซียน ข้ามารับเจ้าแล้ว”
หัวใจของไป่เซียงหวินพลันหนักอึ้งทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องเล่านี้ มันช่างตราตรึงและชวนเศร้าหมองในคราวเดียว สตรีที่อุทิศตนเพื่อรอชายคนรัก ตั้งมั่นและเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาหานาง รอคอยเขาจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
แม้จะเป็นปรภพหน้า แต่ท้ายที่สุดทั้งสองก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
และนั่นก็เป็นที่มาของประเพณีลอยโคมในค่ำคืนนี้ หากสตรีที่ยังไร้คู่วาสนา ต้องการพบรักกับชายใดสักคน ก็ให้มาที่แท่นพิธีกลางพร้อมกับโคมกระดาษที่ทำขึ้นเอง จากนั้นให้เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่สุกสว่างอยู่บนแผ่นฟ้า ตั้งจิตอธิษฐานต่อเย่เซี่ยเหล่าเหริน เทพเจ้าแห่งความรัก ช่วยดลบันดาลส่งคู่แท้ ให้พวกนางได้สมหวังและพบเจอกับชายคนรัก เฉกเช่นแม่นางหนิงเซียน
“คุณหนูเจ้าคะ ลี่เหลียนว่า...”
“ข้าไม่กลับ มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรข้าก็ไม่มีวันหันหลังกลับเด็ดขาด”
ไป่เซียงหวินตอบเสียงแข็ง ขณะเงยหน้ามองไปยังฝูงชนที่เบียดเสียดกันตามท้องถนน สองมือกระชับโคมกระดาษสีขาวนวล วาดลวดลายเป็นดอกไห่ถังสีชมพูแซมแดง ตรงมุมหนึ่งมีรูปวาดนกตัวใหญ่ซึ่งเป็นรูปวาดประจำตัวของหญิงสาวเพื่อบ่งบอกความเป็นเจ้าของโคมกระดาษใบนี้
สองขาค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปยังแท่นพิธีที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำสายยาว พื้นไม้ถูกสร้างให้ยกสูง ประดับด้วยผ้าสีสันสดใสสลับกับบุปผาหลากหลายชนิดดูเพลินตา สตรีสองสามคนขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นพร้อมเผยยิ้มอย่างเขินอาย
สองมือยกโคมของตนขึ้น แววตาชายตามองไปยังบุรุษที่ตนสนใจ ครั้นได้สบตากัน แล้วเห็นเขาหยุดยืนดู พวกนางจึงค่อยปล่อยโคมในมือให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศีรษะของตนเล็กน้อย
โคมที่ถูกปล่อยจึงยังลอยไม่สูงมากนัก ฉะนั้นหากบุรุษมีใจแก่สตรีแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอื้อมมือเก็บโคมลอยนั้น
หรือพูดอีกนัย โคมลอยก็เปรียบดั่งสารรัก ที่ส่งตรงจากหญิงสาวที่มีใจเสน่ห์หาในตัวบุรุษ อยากบอกถึงความในใจของตัวเอง หากแต่เพราะแสดงออกมากไม่ได้ และเขินอายเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย จึงใช้วิธีนี้เป็นการบอกทางอ้อม
หากบุรุษมีใจตรงกับนาง ก็เพียงแค่แสดงเจตจำนง แต่หากไม่ ก็มิจำเป็นต้องหยุดดูและเดินผ่านไปได้เลย เมื่อทำเช่นนี้สตรีจะได้ไม่รู้สึกเสียหน้าว่าถูกปฏิเสธ เพราะเป็นสารลับที่รู้กันระหว่างสองคู่ชายหญิงเท่านั้น
ทั้งนี้ยังสามารถใช้เป็นข้ออ้างในบางเรื่อง อาทิ การถูกกีดกั้นจากทางบ้าน ฐานะหรือการศึกษาที่ต่างกันเกินไปจึงทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับ
ความเชื่อที่ว่าโคมลอยเป็นดั่งด้ายแดงที่เชื่อมระหว่างหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเอาไว้ มีพลังที่รุนแรงเกินต้านทาน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝืนชะตาลิขิต หากไม่อยากให้ตระกูลของตนต้องคำสาปร้าย ก็ต้องยอมให้ทั้งสองได้ครองคู่และแต่งงานกันตามความต้องการจากเบื้องบน
เสียงโห่ร้องและตบมือดังขึ้นทุกครั้งที่มีบุรุษเอื้อมมือขึ้นหมายคว้าโคมของหญิงสาว ความชื่นมื่นและกลิ่นอายความรักตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
ไป่เซียงหวินสูดลมหายใจลึกก่อนหันมามองลี่เหลียนด้วยรอยยิ้มที่จะดีใจก็ไม่ใช่จะเศร้าก็ไม่เชิง นางเริ่มสับสนในตัวเอง และไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ถูกต้องหรือไม่
กระทั่งหวนนึกถึงคำดูหมิ่นของจางฮุ่ยเหอ ความโกรธพลันปะทุขึ้นอีกครั้ง แม้นางจะยืนกรานขอถอนหมั้นกับเขา หากแต่ทั้งบิดาและจางฮุ่ยเหอหาได้ยินยอมทำตามที่นางเรียกร้องแต่อย่างใด
นี่เป็นวิธีเดียวที่จะยุติความสัมพันธ์ของนางกับจางฮุ่ยเหอได้
ไป่เซียงหวินค่อยๆ ก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงหน้าแท่นพิธีแล้ว ใจดวงน้อยเต้นเร็วกระหน่ำ สองมือเล็กสั่นเทา หากแต่ยังคงไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ลี่เหลียนไม่กล้ากล่าวคัดค้านอีกจึงเพียงก้าวมาข้างหน้าและช่วยประคองไป่เซียงหวินขึ้นไปยังแท่นพิธีกลาง
หญิงงามค่อยปลดผ้าที่ปิดบังใบหน้าส่วนล่างของตนออก เผยให้เห็นความงามอันบริสุทธิ์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คนเบื้องล่าง ใบหน้าถูกแต่งเติมสีสันเล็กน้อย ผมที่ปกติจะมัดเพียงครึ่งถูกรวบเป็นมวยสูงประดับอัญมณีหลากสีและปิ่นปักผมดูหรูหรา
