คู่หมั้นในนาม (1)
แน่ล่ะว่าเรื่องนี้มิอาจปล่อยผ่าน ไป่เซียงหวินถือศักดิ์ศรีของตนเป็นที่สุด ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมืองไป่ มีหรือนางจะยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้ ถึงจะเป็นชายที่นางรักก็ตามที
“ข้าไม่ยอมนะท่านพ่อ อย่างไรเสียข้าก็จะถอนหมั้น”
ได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนั้นก็ทำไป่อีเจิงเกิดปวดหัวขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับทั้งสองข้างของตนเบาๆ เรื่องที่จางฮุ่ยเหอเป็นชายมากรักนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่อยากจะเปิดตาไว้ข้าง ปิดตาไว้ข้าง ทำเป็นมองข้ามไปเสียดีกว่า
ความเจ้าชู้ของจางฮุ่ยเหอเทียบไม่ได้เลยกับความสามารถที่เขามี คราแรกคิดวางแผนจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปก่อน รอให้บุตรสาวโตกว่านี้ อาจจะมีความคิดและอธิบายเรื่องทุกอย่างได้ง่ายขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านได้ยินที่ข้าพูดไหม ข้าบอกว่าจะถอนหมั้นไง”
ไป่อีเจิงกำลังจะอ้าปากพูด ทหารนายหนึ่งก็วิ่งปรี่เข้ามาตรงหน้า คุกเข่าคำนับคนทั้งสอง ก่อนรายงานว่าจางฮุ่ยเหอขอเข้าพบ
ไป่อีเจิงยิ้มออกมาทันที ผิดกับไป่เซียงหวินที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากพบหน้าชายผู้นั้นอีก
จางฮุ่ยเหอเดินเข้ามาด้วยท่าทีนิ่งเฉยเหมือนกับทุกที ราวกับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น แววตาไร้ความรู้สึกมองไปยังไป่อีเจิงพลางโค้งคำนับก่อนจะกล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาวันนี้อย่างตรงไปตรงมา
“ข้าน้อยต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวัง ในฐานะแม่ทัพใหญ่ข้าน้อยขอน้อมรับความผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัวและขอสัญญาจะไม่ให้เกิดเรื่องน่าอายเช่นนี้ขึ้นอีก”
เจ้าเมืองไป่มองคนตรงหน้าที่กำลังย่อตัวเพื่อคุกเข่าขอรับโทษ พลางนึกย้อนถึงวันที่เขาเลือกจางฮุ่ยเหอมาเป็นคู่ครองให้ไป่เซียงหวิน เนื่องด้วยเขามีบุตรสาวเพียงคนเดียว ในภายภาคหน้าไป่เซียงหวินก็คือผู้นำแคว้นคนใหม่ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ใหญ่หลวงในการปกครองบ้านเมืองและดูแลความเป็นอยู่ของราษฎรหลายแสนชีวิต
แม้จะอายุย่างเข้าสิบเจ็ดปี แต่ไป่เซียงหวินก็ยังชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต เล่นซน ไม่สนใจการเรียนอีกทั้งยังเอาแต่ใจตัวเอง การจะปกครองคนหมู่มากได้ต้องอาศัยทั้งแรงกาย แรงสติปัญญาและเล่ห์เหลี่ยมอยู่พอสมควร เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ภาระที่ยิ่งใหญ่นี้สมควรจะอยู่ในมือของคนที่เหมาะสมอย่างจางฮุ่ยเหอเป็นที่สุด
แม่ทัพหนุ่ม ตระกูลสูงส่ง รูปงาม ปัญญาเป็นเลิศ วรยุทธ์ก็มิเคยแพ้ผู้ใด ทั่วทั้งทิศบูรพานี้จะหาผู้ที่เพียบพร้อมแบบนี้ได้จากที่ไหนได้อีกเล่า
ติดแค่อย่างเดียว...ความเจ้าชู้
“เรื่องนี้…ข้าว่า”
ไป่อีเจิงเหลือบมองลูกสาวของตน ใบหน้าของหญิงสาวนั้นบูดบึ้ง บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
แม้ไป่เซียงหวินจะเป็นสตรีที่ไม่เอาอ้าว แต่กลับเป็นคนทะนงตัวยิ่งนัก หากเป็นเรื่องศักดิ์ศรีนั้นอย่าคิดจะได้แตะต้องโดยง่าย ประโยคที่ว่าฆ่าได้หยามไม่ได้ เป็นคติเตือนใจที่นางยกขึ้นมาเตือนตัวเองอยู่ทุกวี่วัน
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกเจ้าสองคน พวกเจ้าก็ไปตกลงกันเองเถิด แต่อย่าให้ถึงขั้นต้องเลิกรากันเลยนะ”
ไป่เซียงหวินส่ายหน้า “ไม่ท่านพ่อ ข้าไม่อยากคุยอะไรกับชายคนนี้อีกแล้ว”
ทันใดนั้นจางฮุ่ยเหอก็ลุกพรวดขึ้น กล่าวขอบคุณท่านเจ้าเมืองไป่ก่อนเอื้อมมือไปจับมือเรียวของหญิงสาว ดึงร่างเล็กให้เดินตามตนออกไปด้านนอก
ไป่เซียงหวินร้องตะโกน พยายามสะบัดมือออก แต่ยิ่งนางดิ้นรนจางฮุ่ยเหอก็ยิ่งบีบมือนางแรงขึ้น ไป่เซียงหวินร้องบอกว่าเจ็บ แต่บุรุษก็มิได้สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาลากนางไปยังกลางสวนอุทยาน
เดิมทีอุทยานแห่งนี้เป็นสถานที่โปรดของไป่เซียงหวิน นางชอบพาเขามาที่นี่ พูดคุยเพ้อเจ้อน่ารำคาญ เป็นสตรีที่หมกมุ่นอยู่ในโลกแห่งความฝันมากกว่าจะสนใจดูแลบ้านเมือง
ผู้หญิงที่ไม่รู้จักเอาการเอางานเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
หากไม่ใช่เพราะไป่เซียงหวินเป็นบุตรสาวท่านเจ้าเมืองไป่ เป็นบันไดขั้นสูงที่จะนำพาเขาไปสู่จุดที่สูงที่สุดได้ ให้ตายอย่างไรจางฮุ่ยเหอก็จะไม่มีทางชายตามองสตรีแบบนางเป็นแน่
บุรุษปล่อยมือหญิงสาว ก่อนหันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใดทดแทน”
“มิต้อง ข้าไม่อยากพบหน้าท่านอีก” ไป่เซียงหวินลูบข้อมือของตนพร้อมทำหน้าเง้างอน
“จะเป็นไปได้อย่างไร เราสองคนเป็นคู่หมั้นกันนะ”
ไป่เซียงหวินทำท่าจะเถียง แต่จางฮุ่ยเหอก็พูดขัดนาง “อย่าลืมที่ท่านเจ้าเมืองรับสั่งสิ อย่าถึงขึ้นต้องเลิกรา”
ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าการแต่งงานในครั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของเมืองฟูเฉิง ชาวเมืองต้องการคนเก่งๆ มาปกครอง ไป่เซียงหวินซึ่งเป็นลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าเมืองจึงต้องเสียสละความสุขส่วนตน
แต่ทว่าครั้งแรกที่ไป่เซียงหวินรู้ข่าวเกี่ยวกับงานหมั้น นางกลับดีใจอย่างมาก เพราะจางฮุ่ยเหอเป็นรักแรกของนาง เป็นชายหนุ่มที่สตรีทั่วทั้งแคว้นหมายปอง ไป่เซียงหวินรู้สึกว่าตนนั้นโชคดีนัก ให้สัญญาว่าจะรักและดูแลว่าที่สามีของตัวเองอย่างดีที่สุด กระทั่งเหตุการณ์เมื่อคืนนี้...
สองร่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่บนเตียง นางยังจำภาพนั้นได้ติดตา
