ปฐมบท
เมืองฟูเฉิง เป็นเมืองที่ใหญ่และรุ่งโรจน์ที่สุดในทิศบูรพา มั่งคั่งไปด้วยเหมืองแร่ ทองคำ และถ่านหิน เป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองที่มีทางออกสู่ทะเลในการติดต่อค้าขายกับเมืองอื่นที่อยู่ห่างไกล มีเรือสำเภามาเทียบท่าไม่เว้นวัน สร้างผลกำไรและยกระดับชีวิตของผู้คนในเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี แทบจะเรียกได้ว่ามีอันจะกินกันทั่วหน้า อีกทั้งเมืองฟูเฉิงยังเป็นเพียงเมืองเดียวในที่นี้ที่ได้รับสิทธิ์พิเศษในการคุ้มครองและยกเว้นการสงครามใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
กล่าวโดยง่ายคือ เมืองโดยรอบห้ามรุกรานหรือยกทัพมายึดเมืองฟูเฉิงโดยเด็ดขาด หรือกระทั่งมีการบุกรุกจากเมืองในแถบมหาสมุทรอื่น เมืองที่อยู่โดยรอบก็จำต้องส่งกำลังทหารและเสบียงมาช่วยทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้ เมืองฟูเฉิงจึงจัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางของทุกเมืองในทิศบูรพา เป็นเมืองที่สำคัญและห้ามใครแตะต้องโดยเด็ดขาด
แต่ถึงผู้คนในเมืองฟูเฉิงจะร่ำรวยหรือสุขสบายเพียงใด พวกเขาก็ไม่คิดจะนั่งกินนอนกิน ผู้คนที่นี่ขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ไม่เกียจคร้าน บ่อยครั้งที่มีการจัดงานรื่นเริงแต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเลยที่เที่ยวเล่นจนเสียการเสียงาน หรือถ้ามีก็เป็นส่วนน้อยเพียงหยิบมือ
เพลานี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะพลบค่ำแล้ว เหล่าผู้คนก็ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น เตรียมพร้อมสำหรับงานเทศกาลประจำปีที่จะมาถึง
“สวยจังเลย ปีนี้เทศกาลซีฮันของเมืองเราดูยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ปีที่ข้าเคยเห็นมาเลย”
ไป่เซียงหวินกล่าวด้วยความตื่นเต้น เทศกาลซีฮันเป็นเสมือนสัญญาลักษณ์ของเมืองฟูเฉิง เป็นงานที่จะจัดขึ้นปีละครั้งเพื่อบูชาฟ้าดินและขอบคุณสายน้ำผืนป่าที่ให้พวกเขาเหล่าชาวเมืองได้พักพิงอาศัย
หลังจากมีพิธีกรรมเล็กน้อย เหล่าผู้คนก็จะร่วมเฉลิมฉลอง ดื่มกิน ร้องเพลงเต้นรำตลอดสามวันสามคืน กระทั่งอาจมีผู้คนจากเมืองที่อยู่ข้างเคียงเดินทางมาร่วมยินดีปรีดาด้วยเช่นกัน
“พอใจแล้วใช่ไหมเจ้าคะคุณหนู อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันงาน นี่ก็ดึกแล้วด้วย เรากลับกันดีกว่า” สาวใช้ร้องบอกนายของตน
“ไม่เอาหรอก ได้ออกมาทั้งที ข้าอยากเดินเล่นต่อ”
“ไว้ค่อยมาตอนมีงานเทศกาลก็ได้ ตอนนี้กลับกันเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้พยายามอ้อนวอนอีกครั้ง “ถ้าท่านเจ้าเมืองรู้ มีหวัง...”
แต่ไป่เซียงหวินก็หาได้สนใจฟังคำท้วงติงของสาวใช้แต่อย่างใด นางยังคงวิ่งไปทั่ว ตื่นตาตื่นใจกับบรรดาเพิงขายของหลากหลายอย่าง โรงเตี๊ยมที่กำลังประดับโคมไฟสีแดงและกระดาษหลากสีสัน ซุกซนตามประสาหญิงสาววัยแรกแย้ม
กลิ่นหอมของซาลาเปาและกลิ่นไหม้ของลูกเกาลัดแตะจมูกไป่เซียงหวินเข้าอย่างจัง นางหันไปทำสายตาออดอ้อนกับสาวใช้ที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบตามมา
“ลี่เหลียน ข้าหิว”
ว่าแล้วนางก็กระโดดเข้าไปคว้าซาลาเปาตรงหน้าทันที “คุณลุง ข้าขออีกสอง... ไม่ๆ เอาสามชิ้นเลย”
“คุณหนูจะซื้อไปทำไมเยอะแยะเจ้าคะ”
“ก็ข้าชอบ ข้าจะเหมาหมดเลยก็ย่อมได้”
เอากับนางสิ... ด้วยความที่ไป่เซียงหวินเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมืองไป่อีเจิง นางจึงถูกเลี้ยงดูมาราวไข่ในหิน ตามใจทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่นางอยากได้แล้วไม่เคยได้
“เดินชมเมืองแล้ว ซื้อซาลาเปาแล้ว งั้นเรากลับ...”
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ จวนของฮุ่ยเหออยู่แถวนี้ใช่หรือไม่ ข้าว่า...ข้าเอาซาลาเปาไปฝากเขาดีกว่า”
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู สตรีไปหาบุรุษยามค่ำคืนได้อย่างไร ไม่สมควรเจ้าค่ะ”
“ไม่เห็นเป็นไร เพราะยังไงข้ากับฮุ่ยเหอก็เป็นคู่หมั้นกัน ไม่ช้าเร็วก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควร คุณหนูเป็นถึงลูกสาวท่านเจ้าเมือง ไปหาผู้ชายถึงจวนตอนมืดค่ำ...”
กล่าวยังไม่ทันจบ ไป่เซียงหวินก็หันหลังวิ่งตรงไปที่จวนของจางฮุ่ยเหอทันที สาวใช้อย่างลี่เหลียนได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ เหนื่อยใจในความดื้อรั้นของไป่เซียงหวินยิ่งนัก ก่อนจะขยับเท้าวิ่งตามไปอย่างเสียไม่ได้
จางฮุ่ยเหอหรือเป็นที่รู้จักในชื่อแม่ทัพจางผู้เลื่องชื่อและชำนาญการในการรบ ถึงแม้จะยังไม่เคยทำสงครามกับเมืองใดเลย แต่ฝีมือในการใช้กระบี่นั่นนับว่าได้รับการยอมรับจากหลายๆ เมือง และสกุลจางเองก็นับว่าสูงส่ง มีเกียรติยศที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นต่อรุ่น สืบเชื้อสายแม่ทัพที่เก่งกาจและมีฝีมือที่สุดของเมืองฟูเฉิง
แม่ทัพจาง จึงเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่เหมาะสมจะแต่งงานกับไป่เซียงหวิน ช่วยประคับประคองให้นางสามารถดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองฟูเฉิงสืบต่อไป
ไป่เซียงหวินวิ่งมาหยุดที่หน้าประตูใหญ่ซึ่งมีทหารสองนายยืนทำหน้าที่เฝ้าเวรยามอยู่
“นี่พวกเจ้าสองคน เปิดประตูสิ”
ทหารทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะเพ่งมองสตรีตรงหน้า “แม่นาง รู้ไหมว่านี่กี่โมงยามแล้ว จะมารบกวนท่านแม่ทัพจางด้วยเรื่องใด”
“กล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนข้า!! บอกให้เปิดก็เปิดสิ”
ลี่เหลียนที่เพิ่งจะวิ่งตามมาทันรีบเขามาปรามไป่เซียงหวิน “คุณหนูร้องตะโกนทำไมเจ้าคะ ต่อหน้าทหารยามอีก”
“ก็ข้าสั่งให้เปิดประตู!” ไป่เซียงหวินตะโกนอีกครั้ง “ไม่รู้หรือไงว่าข้าเป็นใคร ข้าไป่เซียงหวิน บุตรสาวท่านเจ้าเมืองไป่อีเจิง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารสองนายก็ถึงกลับหน้าถอดสี กิติศักดิ์ความร้ายกาจเอาแต่ใจของสตรีนามไป่เซียงหวินเลื่องลือไปทั่วทั้งเมือง
ใครๆ ต่างก็รู้ว่านางนั่นน่าชิงชังแค่ไหน ไม่เอาการเรียน เกียจคร้าน เอาแต่ใจจนเคยตัว ทางที่ดีอยู่ห่างๆ นางไว้จะเป็นการดีกับชีวิตมากที่สุด
“ว่าไง จะเปิดหรือไม่”
ทหารยามรู้ดีว่าการขัดใจสตรีผู้นี้ไม่น่าส่งผลดีต่อพวกเขาในภายหน้า จึงจำใจเปิดประตูให้นางเข้าไป
จวนแม่ทัพจางฮุ่ยเหอ เป็นจวนที่ใหญ่รองจากท่านเจ้าเมืองไป่ ห้อมล้อมไปด้วยสวนหิน บ่อน้ำกว้างและเรือนน้อยใหญ่อีกหลายสิบหลัง
“ลี่เหลียน เจ้าว่า...ฮุ่ยเหอของข้าจะพักอยู่เรือนไหน”
แม้จะเป็นคู่หมั้นกัน แต่ไม่บ่อยนักที่ไป่เซียงหวินจะได้มาเยือนที่จวนแห่งนี้ ถ้าไม่เพราะถูกเชิญมาก็แอบเข้ามาดังเช่นวันนี้
“ข้าว่าจะไปดูเรือนใหญ่ตรงนู้นดีกว่า”
“ไม่ดีมั่งคุณหนู เข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาล อีกอย่างท่านแม่ทัพก็ยังไม่ได้อนุญาต...”
“แล้วทำไมข้าต้องให้เขาอนุญาตด้วย”
จริงอยู่ที่ฮุ่ยเหอรักความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบให้เข้ามาวุ่นวายหรือสร้างความไม่พอใจแก่เขา แต่ข้าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล อีกหน่อยก็จะตบแต่งภรรยา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาคงไม่ถือสาข้าหรอก
เมื่อคิดได้ดังนั้น ไป่เซียงหวินก็วิ่งไปยังเรือนที่หมายตาไว้ เปิดห้องนู้นเข้าห้องนี้ พอไม่เจอจางฮุ่ยเหอก็วิ่งไปยังเรือนหลังถัดไปอยู่อีกหลายรอบ จนเจ้าตัวเริ่มเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับบันไดหินอ่อนใกล้ๆ
“บางทีท่านแม่ทัพอาจจะไม่อยู่จวน... เรากลับกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ก็ไม่สายนะเจ้าค่ะ”
ไป่เซียงหวินทำหน้าเศร้า แต่ก็ไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ ใจจริงก็แค่อยากมอบซาลาเปาที่เขาชอบให้เท่านั้น อยากเห็นรอยยิ้มของจางฮุ่ยเหอ เพราะตั้งแต่หมั้นกัน จางฮุ่ยเหอก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือพูดดีๆ ด้วยสักครั้ง ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองไป่ ก็อย่าหวังว่าเขาจะยอมเปิดปากเสวนาก่อน
ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ฮุ่ยเหอไม่ชอบใจ แต่ข้าคนนี้จะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจเขาให้ได้!!
ทว่ายังไม่ทันที่ไป่เซียงหวินจะลุกขึ้น นางก็สังเกตเห็นแสงไฟจากเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม ไป่เซียงหวินยิ้มดีใจ จางฮุ่ยเหอต้องอยู่ในเรือนหลังนั่นเป็นแน่ พลางรีบออกวิ่งไปทันที นางเลื่อนบานประตูออก แต่แล้วกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง คล้ายเสียงของคนที่กำลังครางอื้ออึง
“อื้อ อื้อ อื้อ”
เสียงเริ่มชัดและดังมากขึ้น เมื่อไป่เซียงหวินเดินเข้าไปภายในห้อง ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นทำนางใจสลาย ชายที่รักและสตรีแปลกหน้ากำลังร่วมรักกันอย่างดูดดื่ม ไป่เซียงหวินไม่แม้แต่จะขยับตัว นางปล่อยซาลาเปาในมือร่วงหล่น ทำให้ทั้งสองที่กำลังมีสัมพันธ์หยุดชะงัก จางฮุ่ยเหอมีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองไป่เซียงหวินสลับกับก้อนแป้งกลมที่ตกอยู่บนพื้น พลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ถ้าจะมาทำไมไม่บอกก่อน มาจวนข้าดึกดื่น ช่างไร้มารยาทเสียจริง”
ไป่เซียงหวินตกตะลึงกับท่าทีเฉยชาของบุรุษ สองมือกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ไหล่ทั้งสองสั่นระริกพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้างาม
นี่หรือ...คือคำพูดที่ท่านควรพูดกับข้า คู่หมั้นผู้ซึ่งท่านกำลังนอกใจ?!
