บทที่ 5 ความทรงจำ
บทที่ 5 ความทรงจำ
เรื่องราวทั้งหมดของจางอวิ๋นหลิงเริ่มไหลเวียนเข้ามาผ่านความทรงจำ ทั้งสองเคยเป็นคู่รักที่แสนรักใคร่ทำราวกับว่าจะไม่มีทางเลิกลากันได้ ครั้นเมื่อที่จางอวิ๋นหลิงแอบท่านพ่อออกมาเที่ยวเล่นที่แคว้นหยางอันได้พบเข้ากับบุรุษรูปงามที่ช่วยเหลือนางจากโจรลักขโมย ยามนั้นไท่หยางมิได้แต่งตัวและบอกถึงตัวตนของเขา ทั้งสองปลูกดอกรักด้วยกันจนเติบโต อวิ๋นหลิงเองก็มิกล้าแม้จะบอกถึงตัวตนของนางว่านางมิใช่คนแคว้นนี้กลัวเขาจะชิงชังรังเกียจ แอบมาหานัดพบกันอยู่บ่อยครั้งจนไท่หยางพูดเรื่องแต่งงานกับนาง ถามถึงตระกูลของนางว่าเป็นบุตรสาวเรือนใดเมื่อไหร่ที่เขากลับมาจากการทำงานในครั้งนี้เขาจะให้ท่านพ่อท่านแม่ไปสู่ขอนางที่เรือน แต่อวิ๋นหลิงมิได้เอ่ยความจริงโป้ปดเขาไปเพื่อให้เขาไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง ๆ แม้จะรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
แต่ทว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างใจหวัง เมื่อครั้นนั้นเกิดสงครามต่อสู้กันระหว่างแคว้นทำให้อวิ๋นหลิงไม่ได้ออกมาจากเรือนเลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไท่หยางคือแม่ทัพที่สู้รบกับท่านพ่อของนาง จนเรื่องมาถึงตอนนี้วิณญาณของหญิงสาวที่เข้ามาอยู่ในร่างรับรู้และรู้สึกถึงความเจ็บปวดของอวิ๋นหลิงทั้งหมดหากจะให้พูดเสมือนเป็นคน ๆ เดียวกันด้วยซ้ำ
“เพราะครานั้นข้ามิรู้ว่าท่านคือแม่ทัพฝ่ายศัตรูต่างหากจึงคิดเผลอใจ ตอนนี้ข้ามีเพียงความโกรธเกลียดไม่อยากแม้แต่จะมองใบหน้าของท่านด้วยซ้ำ” เมื่อรู้สึกความเจ็บปวดของอวิ๋นหลิงที่เสียบิดา ท่านพ่อของนางตายด้วยน้ำมือของเขานางเห็นความเหี้ยมโหดทุกอย่างผ่านดวงตาทั้งสองข้าง ราวกับชีวิตชาติที่แล้วที่นางต้องเสียพ่อให้แก่ความโง่เขราเพราะคำว่ารักโชคชะตาชีวิตของนางตอนนี้ก็มิต่าง นางต้องมาเสียบิดาให้คนที่เคยพร่ำรักนางหนักหนา หัวใจของนางบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออกน้ำตาเริ่มคลอพร้อมไหลอาบแก้มนวล
“ดี ในเมื่อเจ้าเกลียดข้า ข้าจะทำให้เจ้าเกลียดข้ามากกว่าเดิมเพราะข้าเองก็เกลียดคนตระกูลเจ้าเช่นเดียวกันที่มาพรากท่านแม่ไปจากข้า ”
ไท่หยางเมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าตอนนี้เขาแทบสติแตก ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราดยื่นมือใหญ่บีบคอของนางจนร่างบางต้องยกมือขึ้นปัดป้อง
เขาดันกายของนางไปที่เตียงนอนหนานุ่มทุ่มร่างบางลงบนเตียงอย่างไร้ความปราณี รอยแดงเริ่มปรากฏขึ้นที่ลำคอของนางจากมือของเขาเมื่อครู่ ร่างบางพยายามดิ้นหนี้เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เขาต้องการทำสิ่งใด
“ปล่อยข้านะ หากท่านเกลียดข้านักลงโทษเช่นนักโทษผู้อื่นสิมิใช่เช่นนี้ ข้าไม่ต้องการ” ยามนั้นไท่หยางขึ้นคร่อมร่างบางใช้มือทั้งสองข้างกดแขนของนางเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน ก้มลงซอกไซ้คอระหงของนางพลางกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าคือเชลยของข้าและต้องปรนนิบัติข้า เมื่อครู่เป็นเพราะเจ้าทำให้ข้าอารมณ์เสียจนขับไล่หญิงคณิกาออกไปดังนั้นคืนนี้เจ้าต้องทำหน้าที่แทนหญิงคณิกา เจ้านะโชคดีที่ข้าให้เจ้าปรนนิบัติข้าเพียงผู้เดียวไม่เหมือนท่านแม่ของข้าที่ต้องทนทุกข์ทรมานถูกทหารในจวนของพ่อเจ้าเหยียดหยาม ข่มขืนทั้งกองทัพเพื่อสนองตัณหา หรือข้าจะทำเช่นนั้นกับเจ้าเมื่อหมดสนุกกับเจ้าแล้วให้เหมือนที่ท่านแม่ของข้าต้องพบเจอจะได้รู้เสียบ้างว่าช่วงเวลานั้นเจ็บปวดเพียงใด” ร่างเล็กดวงตาสั่นคลอนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ก็คงไม่แปลกที่เขาต้องการแก้แค้นให้ท่านแม่ ยามนี้นางมิอาจจะดิ้นต่อแรงของเขา ดวงตาเหม่อลอยกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซึมออกมา เมื่ออีกฝ่ายซุกใบหน้าลงที่ซอกคอเพื่อทำสิ่งที่เขาต้องการ นางทั้งสะอิดสะเอียนทั้งเจ็บปวดยากจะบรรยาย
แต่ทว่าจู่ ๆ เขากลับหยุดการกระทำนั้นลงเพราะเขาต้องการเห็นนางร้องไห้ ทำไมทุกสิ่งที่เขาทำกลับไม่ส่งผลกับนางเลย? ความโกรธแค้นและความสับสนผสมปนกันในใจของเขาจนสุดท้าย เขาก็พ่นคำสั่งออกมาเสียงกร้าว
"ไปเสียที!ข้าไม่ต้องการสตรีที่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้เช่นเจ้า!"
คำสั่งนั้นเหมือนพายุที่พัดผ่านชีวิตของจางอวิ๋นหลิง นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเจ็บปวด ร่างบางรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ โดยที่ไม่มีการร้องขอหรือการต่อต้านใดๆ แม้แต่คำพูดเดียว
แม่ทัพหลิวไท่หยางยืนมองร่างของนางที่หายไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอกเล่า เขากลับไม่รู้สึกสะใจอย่างที่คิดไว้ กลับกลายเป็นความรู้สึกบางอย่างที่คอยเกาะกินหัวใจเขาอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมความเฉยชาและความว่างเปล่าของนางถึงทำให้เขารู้สึกเช่นนี้
จางอวิ๋นหลิงกลับมาที่ห้องหลังจากการเผชิญหน้ากับไท่หยาง ความรู้สึกในหัวใจของนางเต็มไปด้วยความแปรปรวนที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ความเจ็บปวดจากการกระทำของเขายังคงตามติดอยู่ในทุกๆ การเคลื่อนไหวของนาง ความมืดมิดของชีวิตที่ไม่มีทางหนีรอดในทุกย่างก้าว
‘ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินทำไมข้าต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ แค่ชีวิตเดียวไม่พอหรือ ข้าทำอันใดไว้โชคชะตาถึงลงโทษข้าแบบนี้กัน ’ ร่างบางสะอื้นไห้ออกมาด้วยความเจ็บร้าวที่ทรวงอก ราวกับว่าเรื่องที่นางเคยพบเจอมาแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าจะตายไปกี่อีกครั้งหรือเกิดใหม่อีกกี่ภพกี่ชาตินางต้องวนเวียนกับความเจ็บปวดเช่นนี้ตลอดไปเช่นดั่งถูกสาป
ไป๋หนิงซินยังคงนอนไม่หลับเฝ้ารอนางกลับห้องเมื่อเห็นเงาตะครุม ๆ เดินกลับมาอย่างอิดโรยนางรีบเดินไปหาด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ทัพเรียกเจ้าไปทำไม เอ๊ะเจ้าร้องไห้หรือ? เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
“ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ ข้าอยากหลับไปและไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย อึก อึก” ยามนั้นจิตใจของนางยากจะรับไหวร่ำไห้ต่อหน้าไป๋หนิงซินอย่างไม่อาย การตายเท่านั้นที่จะปลดปล่อยนางจากเขาได้แล้วเช่นนี้นางจะทำอย่างไรต่อไปได้เล่า
ไป๋หนิงซินตกใจเล็กน้อยค่อย ๆ กอดนางเพื่อปลอบประโลมและพานางเข้าไปในห้อง เมื่อน้ำตาเริ่มแห้งเหือดนางได้เล่าให้ไป๋หนิงซินฟังถึงความสัมพันธ์ของนางกับแม่ทัพ ยิ่งไป๋หนิงซินได้ยิน นางยิ่งสงสารทั้งสองจับใจ มิหน้าท่านแม่ทัพถึงไม่ฆ่านางทิ้งแม้จะออกปากลงโทษแต่ก็ยังมอบยามาให้นางได้กิน อีกทั้งให้นางเฝ้าดูแลจางอวิ๋นหลิงให้เป็นอย่างดี เขาคงรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นใจต่อนางสินะ
“ข้าเห็นใจเจ้าเหลือเกิน แต่ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านแม่ทัพทำเช่นนี้ก็ดูไม่ได้ใจร้ายเท่าไหร่นักเขายังคงมีความเมตตาอยู่บ้างและยังมีความรักต่อเจ้ามิเช่นนั้นคงบั่นคอเจ้าตั้งแต่อยู่อยู่ที่แคว้นหนานไฮ้แล้ว ข้ามิรู้จะปลอบเจ้าเช่นไรดี ข้าจะอยู่เงียบ ๆ ให้เจ้าได้อยู่เพียงลำพังก็แล้วกัน” ไป๋หนิงซินขยับกายคลานไปนอนที่นอนตนเอง เพราะรู้ดีตอนนี้อวิ๋นหลิงนางคงต้องการเวลา
‘สวรรค์ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ต้องการให้ข้าเจ็บปวดเท่าไหร่ถึงจะสาแก่ใจท่าน ตอนนี้ข้าแตกสลายไปหมดแล้วยิ่งความทรงจำของอวิ๋นหลิงไหลเวียนเข้ามาในความทรงจำทำให้ข้าแทบเสียสติ ความตายเท่านั้นที่ข้าคู่ควร ใช่ข้าจะต้องหาทางหนีจากเขาให้ได้และทำให้เขาหมดความแค้นในสิ่งที่ท่านแม่เขาต้องพบเจอ คือการตายของข้า ’ แววตาหมองหมนจ้องมองดวงดวงจันทราบนฟากฟ้า นางอยากละทิ้งความขื่นขมและจ่มดิ่งความมืดมิดไม่อยากรับรู้อันใดทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความแค้นต่อตระกูลหรือความรักที่เจ็บปวดของทั้งสอง
