ตอนที่ 3
ปัง ปัง ปัง!
เสียงทุบประตูห้องดังติดๆ กันหลายครั้งทำเอาหญิงสาวสะดุ้งจากภวังค์ความคิด ซึ่งบุคคลที่ทำแบบนี้ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“คุณฟรานซิส” ทันทีที่ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เจ้าของร่างกำยำที่ยังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยนักยืนจังก้าจ้องกลับมาด้วยใบหน้าทมึงทึงราวกับโกรธเกลียดกันมาเป็นสิบๆ ชาติ
“เธอโทรไปฟ้องอะไรแม่?” ผู้มาเยือนตะคอกถามเสียงเข้มจนร่างบางถึงกับสะดุ้ง ต่อมาวงหน้าสวยก็ฉายความงุนงงไม่เข้าใจในคำถามว่ากำลังหมายถึงอะไรกันแน่
“ฟ้องอะไรคะ ปาล์มไม่เข้าใจ”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กชอบโกหก! ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร แม่จะรู้ได้ยังไงว่าฉันพาใครมาที่บ้าน หรือหึงฉันมากถึงขนาดต้องรีบแจ้นโทรไปฟ้องแม่ ฮะ!”
ฟรานซิสพูดต่อด้วยความโมโห เขาต้องการให้เจ้าหล่อนแสดงความหึงหวงออกมาต่อหน้า ไม่ใช่โทรไปฟ้องมารดาซึ่งตอนนี้ไปพักผ่อนอยู่ที่ต่างจังหวัด
“คุณฟรานซิสพูดเรื่องอะไรคะ วันนี้ปาล์มยังไม่ได้โทรหาคุณแม่เลยนะคะ”
“ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะใคร แม่ถามว่าฉันรังแกอะไรเธอไหม หรือเล่าเรื่องเมื่อคืนให้แม่ฟัง” มือหนาดันประตูเอาไว้เมื่อเห็นว่าคนทำความผิดพยามจะปิดประตูหนี
“ปาล์มไม่ทราบค่ะ บางทีคุณแม่อาจจะมีตาทิพย์ก็ได้ค่ะ” คนถูกยัดเยียดความผิดตอบกลับไปเสียงเรียบ ในเมื่อพูดอะไรรังแต่จะกลายเป็นคำแก้ตัว
“อย่ามายอกย้อนนะ เดี๋ยวได้เห็นดีกัน” สิ้นเสียงคนเอาแต่ใจก็เดินกลับลงไปท่ามกลางสีหน้าที่ยังข้องใจไม่หาย จู่ๆ ก็ขึ้นมาหาเรื่องแล้วก็เดินลงไป ผู้ชายอะไรอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งกว่าคนวัยทอง
“เธอกลับไปก่อน วันนี้ฉันหมดอารมณ์แล้ว” หลังจากรับโทรศัพท์มารดาบวกกับอาการอยากยั่วอารมณ์ให้น้องสาวนอกสายเลือดหึงแต่กลับประสบความล้มเหลว เจ้าตัวก็ไล่คู่นอนที่กำลังส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้กลับกระทันหัน
“อะ...เอ่อ แต่ดาวเพิ่งมาถึงเองนะคะ อีกอย่างเราก็” รรินดาลุกพรวด งุนงงกับคำสั่งดังกล่าว
“ถ้าพูดแค่นี้ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก” คำสั่งเฉียบขาดตามมาอีกครั้งทำให้คนกลัวถูกตัดสัมพันธ์ต้องรีบทำตามแต่โดยดี อดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียนั้นเป็นเพราะถูกมารดาโทรมาขัดจังหวะหรือนังเด็กหน้าหวานนั่นกันแน่!
เวลา 08.00 หญิงสาวในชุดนักศึกษาสวมผ้ากันเปื้อนคุ้นตาก้าวออกมาจากห้องครัว ปทิตตารีบวางอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรคฟาสท์แบบง่ายๆ ลงบนโต๊ะ
“วันนี้มีเรียนเช้าหรือไง” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว
“ค่ะ”
“แล้วสอบปลายภาคเมื่อไหร่” ฟรานซิสยังคงถามต่อในขณะที่สายตายังไม่ละไปจากสมาร์ตโฟนตรงหน้าจนคนฟังอดแปลกใจไม่ได้ว่าอีกฝ่ายสนใจถามเรื่องราวของเธอหรือว่าอย่างอื่นกันแน่
“ประมาณปลายๆ เดือนค่ะ ระหว่างนี้ปาล์มก็ทบทวนหนังสือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ” ความตั้งใจและความฝันว่าจะเรียนให้สูงๆบอกด้วยรอยยิ้ม
“อืม คิดว่าจะเรียนถึงไหน”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ ใจจริงปาล์มอยากเรียนต่อให้ถึงปริญญาโท แต่คงรอให้จบปริญญาตรีก่อน แล้วแต่คุณแม่ สำหรับปาล์มยังไงก็ได้ค่ะ”
เป็นคำตอบที่ตอบกลับไปอย่างใจคิด นับตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาภายในบ้านหลังนี้ก็สัญญากับตนเองไว้แล้วว่าชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับคุณหญิงธนาภาที่ได้ชื่อว่าเป็นประมุขใหญ่ของบ้านในเวลานี้
“แล้วมีคนมาจีบหรือเปล่า” ผู้มีสถานะเป็นพี่ชายถามต่อไปเรื่อย มือหนาเอื้อมมาหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบทั้งๆ ที่ในใจกำลังพลุ้งพล่านและรู้สึกหวงแหนน้องสาวน้องไส้ที่ตั้งแง่รังเกียจอยู่ตลอดเวลา
ในห้วงความคิดกำลังประมวลผลว่าหากเธอเรียนจบถึงปริญญาโทอายุก็คงจะประมาณ 24 ส่วนตนก็อายุปาเข้าไป 40 แล้ว ซึ่งคงไม่ดีแน่ๆ ยิ่งคิดใบหน้าคมเข้มเริ่มเคร่งขรึมขึ้น
“มะ...ไม่มีค่ะ” คำถามต่อมาทำเอาอึ้งอยู่นานแต่ก็ตัดสินใจตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร
“ก็ดี เธอควรจะเรียนให้จบซะก่อน อย่าทำให้แม่ฉันต้องผิดหวัง”
คำพูดดังกล่าวทำเอาคนฟังแอบค่อนขอดอยู่ในใจ คนที่จะทำให้คุณแม่ผิดหวังคงเป็นเขาเสียมากกว่า
“ค่ะ ปาล์มขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ” ปทิตตารีบตัดบทเพราะไม่อยากถูกหาเรื่องไปมากกว่านี้
“เดี๋ยวไปส่ง เธอจะได้ไม่ต้องขับรถไปเอง”
“ปาล์มไม่รบกวนคุณฟรานซิสหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าปาล์มจะนำเงินของคุณมาผลาญเล่น เพราะเงินค่าน้ำมันเป็นเงินเก็บจากค่าขนมที่คุณแม่ให้ค่ะ” เจ้าหล่อนแจกแจงรายละเอียดชนิดที่คนฟังแทบจะสำลักกับชิ้นไส้กรอกที่เพิ่งหย่อนเข้าไปเมื่อไม่กี่นาที
ฮึ...ตัวแสบ คิดจะเอาคืนกันสินะ
“ตามสบาย ลืมไปว่าเธอขับรถเก่งแล้วนี่” ถ้อยคำประชดประชันถูกพ่นกลับไปอีกระลอก ครั้งนี้เธอพยายามไม่ใส่ใจและทำให้เป็นเรื่องเคยชินมากกว่าจะคิดให้ปวดหัว
“ถ้างั้นปาล์มไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” สองมือเรียวยกขึ้นกระพุ่มไหว้คนตรงหน้าท่ามกลางอาการขัดใจ จะคอยดูว่าจะปีกกล้าขาแข็งไปได้สักกี่น้ำ เมื่ออะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปยังรถยนต์คันหรูที่ลูกน้องคนสนิทมาจอดรอทุกวันเพื่อไปทำหน้าที่ประธานบริหารเช่นกัน
