ตอนที่ 5
มีนนภัสฟังแล้วก็ให้รู้สึกปวดหัวตึ๊บขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันเธอก็มองเห็นแต่ความวุ่นวายเดือดร้อนที่ไม่มีวันจบสิ้นของคนสองหมู่บ้านนี้ ยังดีอยู่แค่ว่าเดี๋ยวนี้คนสองหมู่บ้านไม่เที่ยวเข่นฆ่ากันอย่างสมัยก่อน เพราะเริ่มรู้จักที่จะเกรงกฎหมายบ้านเมือง ผิดกับยี่สิบ สามสิบปีก่อนที่กฎหมายบ้านเมืองยังเอื้อมมือเข้ามาไม่ถึง
ถึงกระนั้น ความเคารพที่มีต่อกฎหมายยังคงดำเนินไปอย่างครึ่งๆ กลางๆ
ทางเจ้าหน้าที่ส่วนกลางก็คงระอาใจกับคนทั้งสองหมู่บ้าน จนไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว
จะเข้ามาจัดการก็เฉพาะเกิดเรื่องใหญ่ อย่างฆ่าแกงถึงแก่ชีวิตเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ค่อยจะมีให้เห็น อย่างมากก็แค่ยกพวกตีกัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนสองหมู่บ้าน
“ทางพญาลือเขามีปัญหาอะไรล่ะลุง ในเมื่อทางส่งน้ำที่ว่านี่มันก็ตัดผ่านเขตป่าสงวนแท้ๆ หรือคนพญาลือคิดว่าป่านั้นเป็นของเขา”
“ไม่รู้สิครับ เรื่องรายละเอียดอะไรนี่คุณปลาคงต้องกลับไปถามเอากับผู้ใหญ่กรพี่ชายคุณเอาเอง”
“แล้วเรื่องผู้หญิงที่พี่ปูไปเอาตัวมานี่ล่ะลุง”
“อ๋อ...คุณพิจิตรา”
“ชื่อเพราะดีนี่ ท่าจะไม่ใช่คนพญาลือ”
“ไม่ใช่หรอกครับ อย่างมากก็คงก็มีเลือดพญาลือแค่ครึ่งเดียว คือคุณพิจิตรานี่เป็นลูกของน้องชายต่างแม่ของนายบ้านคนเก่ากับผู้หญิงเมืองกรุง”
“งั้นก็มีศักดิ์เป็นน้องสาวห่างๆ ของนาย...ชื่ออะไรนะลุง นายบ้านคนปัจจุบันของพญาลือน่ะ”
“เสือครับ”
“นั่นแหละ แล้วเขาไม่กลัวว่าลูกที่เกิดมาจะปัญญาอ่อนหรือยังไง ถึงได้คิดจะแต่งงานกันเองในหมู่พี่น้องญาติสนิท”
“เอ๋...อันนี้ผมไม่รู้แฮะ”
มีนนภัสถอนใจขณะที่รถเครื่องทะยานไปข้างหน้า มีแสงสว่างจากไฟหน้าเพียงริบหรี่เท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นทางไม่ให้รถสะดุดอะไรเข้า
กลิ่นหญ้าสองข้างทาง รวมถึงกลิ่นไอของดอกไม้ป่า ควรทำให้เธอรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง แต่มีนนภัสกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ถึงจะยังไม่รู้เรื่องราวอย่างละเอียด เธอก็มองเห็นปัญหาใหญ่ของชาวบ้านที่อยู่ภายใต้การปกครองของพี่ชายจ่อจมูก
เธอไม่เคยเข้าใจไม่ว่าที่ผ่านมาหรือปัจจุบัน เกี่ยวกับพี่ชายคนเดียวของเธอ
ไม่เข้าใจว่าทำไมคนมีการศึกษาจบปริญญา เหตุใดยังทำตัวเป็นคนหูหนาตาเถื่อน ไม่ยอมปรับปรุงความผิดพลาดในอดีตด้วยสติปัญญา ด้วยการรักษาธรรมเนียมการแก้แค้นกันไปมาด้วยวิธีไม่เข้าท่าอย่างที่บรรพบุรุษสืบสานกันมา
“เฮ้ย!”
เสียงร้องลั่นของนายมาก ทำให้มีนนภัสสะดุ้ง พร้อมกันนั้นรถเครื่องที่วิ่งด้วยความเร็วไม่มากนักเลื้อยส่ายน้อยๆ ก่อนเสียหลักไถลพรืดลงขอบถนนลาดเอียงซึ่งขนาบด้วยคูลึกพอสมควร ดีที่ขณะนี้ไม่มีน้ำขังมีแต่เพียงหญ้าเขียวๆ ขึ้นอยู่
มีนนภัสยังงงๆ อยู่ขณะพยายามยันตัวลุกขึ้น เมื่อมีแสงไฟสาดจับลงมาจากถนน
นายมากครางหงิงตามด้วยเสียงสบถหยาบๆ คายๆ อย่างหัวเสีย
“ใครวะมันบังอาจ!”
คำพูดเชิงบ่นนี้ ทำให้สติของมีนนภัสเริ่มกลับมา
เธอรู้ในวินาทีนี้เอง ที่รถเสียหลักพุ่งลงมาล้มเค้เก้อยู่ในคูนี้ ก็เพราะนายมากได้หักหลบสิ่งกีดขวางที่ดูเป็นกลุ่มทะมึน
“ลุงมากเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า”
พอได้สติ มีนนภัสห่วงชายสูงวัยก่อนอื่น
“ไม่ครับคุณปลา ผมไม่เป็นอะไร เจ็บใจไอ้พวกบ้านั่นมากกว่า มัน...”
เสียงนายมากถูกกลืนลงคอ เมื่อแสงไฟจ้าสาดจับมายังแก จนแกต้องรีบยกแขนขึ้นบังตาเอาไว้
“วะ! ใครวะ?” ชายสูงวัยถามเสียงนักเลงเต็มที่
ไม่มีเสียงตอบ แต่มีเสียงเดินสวบสาบลงมาตามความลาดชันของไหล่ถนน
นายมากและมีนนภัสมองไม่เห็นหน้าของผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหา เพราะยังถูกไฟฉายกระบอกใหญ่ส่องจับอยู่ที่ใบหน้า ในลักษณะถูกบังคับให้มองย้อนแสง
“ไม่เจ็บนะลุงมาก”
มีเสียงถามขันๆ มาจากคนที่เข้ามา
“เจ็บโว้ย! แต่เจ็บใจหรอกนะ พวกแกเป็นใครวะ รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร แล้วนี่ใครล่ะ?”
“ขอโทษทีนะลุง แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ต้องทำให้ลุงเจ็บใจมากกว่าเจ็บตัว ก็ลุงอยากออกมาขับรถกินลมชมวิวมืดๆ ค่ำๆ ทำไมล่ะ”
คนพูดยังพูดกลั้วหัวเราะ
