4.ตามตัว
*** ทักทายคร้า ***
อินทิรานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอต้องสรุปตัวเลขและทำเงินเดือนของคนงาน ก่อนที่จะส่งให้เจ้าหน้าที่โอนเข้าบัญชีเพื่อป้องกันความผิดพลาด ประตูห้องทำงานเปิดออก ตามด้วยร่างสูงของอณินที่อยู่ในชุดนอนแขนยาวสีฟ้าเดินตรงเข้ามา หญิงสาวละสายตาจากเอกสารและจอคอมพิวเตอร์ หันมาส่งยิ้มให้พี่ชาย
“ยังไม่นอนหรืออิน” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเดินมาหยุดข้างเก้าอี้ทำงานก็ยกมือหนาลูบศีรษะน้องสาว
“ยังค่ะ ตรวจเช็กเงินเดือนของคนงานยังไม่เสร็จ พี่ณินล่ะนอนไม่หลับเหรอ” อินทิราถามขึ้น เธอสังเกตเห็นว่าเวลาพี่ชายอยู่คนเดียวจะนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แววกังวลในดวงหน้าของพี่ชายยังปรากฏให้เห็น การกลับมาของอณินเหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จนเธอเองรู้สึกกังวลใจแต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะยังไงเสียพี่ชายคงไม่เล่าให้ฟัง
อณินหลบสายตาคมของน้องสาวแล้วเดินออกมารับลมที่ระเบียงหน้าห้องทำงาน หญิงสาวเดินตามออกมายืนข้างๆ ทั้งสองมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงจันทร์สีเหลืองนวลส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า วันนี้มองไม่เห็นดาวดวงเล็กๆ เพราะถูกแสงจันทร์บดบัง
“มีอะไรไม่สบายใจเล่าสู่กันฟังบ้างก็ได้นะพี่ณิน จะได้ช่วยกัน”
เสียงน้องสาวถามขึ้นทำให้ชายหนุ่มหันมามองหน้าเนียนใสของหญิงสาว เสียงถอนหายใจยาวๆ ดังขึ้นให้ได้ยิน ทำเอาคิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“เรื่องไอลดา”
ในที่สุดพี่ชายของเธอก็ยอมเล่าเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงเขาพาไอลดาหนีมาเมืองไทยให้อินทิราฟัง เรื่องราวที่หลุดออกมาทำเอาอินทราไม่สบายใจ เพราะคนที่พี่ชายต้องต่อสู้ด้วยนั้นมีทั้งบารมีและอำนาจที่ยากจะต่อกร
“พี่เชื่อว่าชีคอัลฟาร์จาคงจะส่งคนมาเอาตัวไอลดากลับไปแน่ๆ”
“นายคนนี้ก็แปลก เขาไม่รักตัวเองแล้วยังจะเอาตัวไปอีก” เธอตำหนิผู้ชายที่ยังไม่เคยรู้จัก
“พี่เองก็ยอมไม่ได้ เพราะไอล์กำลังท้อง”
“คุณไอล์กำลังท้องหรือคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วก้มลงมองธารน้ำตกด้านล่างที่กระทบแสงจันทร์ระยิบระยับอย่างสวยงาม
“อินก็ยอมไม่ได้เหมือนกันที่ใครจะมาพรากหลานอินไป” เธอมองหน้าพี่ชายแล้วจับแขนแข็งแรงนั้น
“เราต้องช่วยกันปกป้องคุณไอล์” เธอบอกกับพี่ชายอย่างแข็งขัน แววตามุ่งมั่น
“ขอบใจมากนะอิน” อณินจับมือน้องสาวที่วางอยู่บนแขนแข็งแรงอย่างขอบคุณ
“ใครลองเข้ามาในไร่ จะได้เห็นดีกัน”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะกับภารกิจใหม่
“พี่ไปนอนก่อนเถอะ อินขอทำงานอีกสักพักก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
หลังจากที่พี่ชายเดินออกจากห้อง อินทิรายังยืนอยู่ที่เดิม สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกำลังมองหาใครสักคน
“พ่อขาแม่ขา ช่วยคุ้มครองพวกเราด้วยนะคะ”
ในห้องทำงานหรูเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ชีคอัลฟาร์จานั่งทำงานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แฟ้มกำมะหยี่ประดับอัญมณีวางซ้อนกันหลายแฟ้ม คอมพิวเตอร์รุ่นที่ทันสมัยวางเรียงรายกันสามเครื่อง แถมยังมีโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กที่ตั้งบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บนผนังก็ประดับไปด้วยภาพวาดต่างๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ใบหน้าคมเข้มละสายตาจากเอกสารมองไปที่ประตู เบนรีผลักประตูลวดลายงดงามเข้ามา
อัลฟาร์จาลุกจากโต๊ะทำงานไปนั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้พักผ่อนเมื่อเห็นเบนรีเดินเข้ามา
เบนรีส่งแฟ้มรายงานให้อัลฟาร์จา มือใหญ่เปิดแฟ้มเอกสารอ่านอย่างละเอียด ประวัติครอบครัวของอณินถือว่าใช้ได้ทีเดียว มีไร่ที่เชียงใหม่หลายพันไร่ พ่อแม่เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีน้องสาวคนหนึ่งชื่อ อินทิรา รัชชตระ อายุยี่สิบเจ็ดปี จบปริญญาโทด้านการเกษตร ตอนนี้ดูแลไร่เนื่องจากพี่ชายมาทำงานใช้ทุนรัฐบาลที่ชวาลา
เมื่ออ่านเอกสารจบ ชายหนุ่มก็หยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาดู คิ้วหนายกขึ้นอย่างสงสัย ปลายนิ้วเรียวค่อยๆ เปิดออก สิ่งที่ปรากฏคือภาพถ่ายของครอบครัวรัชชตระครบทั้งสี่คน และภาพต่อมาถึงกับทำให้หัวใจของชีคหนุ่มกะตุกอย่างช่วยไม่ได้ มันคือภาพของหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ปล่อยผมดำเงาสลวยเต็มแผ่นหลัง ดวงตากลมโต รอยยิ้มบางๆ แต้มติดที่ริมฝีปากได้รูป
ชายหนุ่มจ้องมองภาพนั้นนานจนเบนรีและราชิดหันมองสบตากันแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ
“ในรูปมีอะไรผิดปกติกระหม่อม” เบนรีถามพลางอมยิ้มอย่างรู้ใจ
“ไม่มีอะไร” ชีคหนุ่มหันมององครักษ์คนสนิท
“น้องสาวของคุณอณินสวยน่ารักมากพ่ะย่ะค่ะ” ราชิดเสริมขึ้น ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ราชิด ฉันจะให้นายไปเอาตัวสองคนนั้นกลับมารับโทษที่ชวาลา”
“ชีคครับ...” เบนรีและราชิดเรียกนายเหนือหัวพร้อมกัน
อัลฟาร์จายกมือห้าม เขารู้ว่าคนสนิทของเขาจะถามว่าอะไร เขาตัดสินใจหลายวันแล้ว ยังไงเสียเขาคงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ไอลดาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์จะต้องเข้าพิธีแต่งงานอย่างสมฐานะเจ้าหญิง แม้ว่าสุดท้ายจะต้องถูกถอดยศก็ตาม อย่างน้อยทั้งสองคนก็ไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนนอกศาสนา และยังสามารถเดินทางกลับเข้ารัฐได้ตามปกติ
“ทำตามที่เราบอก ใครขวางจัดการได้ตามสมควร ไปเตรียมตัวได้”
ราชิดน้อมกายลงคำนับก่อนเดินออกจากห้องทำงาน
ชีคอัลฟาร์จายามนี้ใบหน้าเคร่งเครียด เบนรีเห็นแล้วก็ได้แต่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ฝ่าบาทพักผ่อนบ้างหรือเปล่ากระหม่อม”
ร่างสูงพยักหน้าแต่ท่าทางบอกชัดว่าไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับเรื่องงาน พวกเขาอยากให้มีใครสักคนมาดูแลนายเหนือหัวของพวกเขาให้มีความสุขบ้าง
ประตูห้องทำงานเปิดออก จากนั้นเบนรีก็เดินมาสมทบกับราชิดที่ยืนรออยู่หน้าห้อง
“ยังไม่ไปเตรียมตัวอีกหรือราชิด” เบนรีเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“ยัง...ดูท่าทางชีคกังวลกับเรื่องนี้มาก”
ราชิดให้ความเห็น เขาไม่สบายใจที่ต้องจากไปไกล กลัวเบนรีรับมือกับคนที่ปองร้ายชีคอัลฟาร์จาไม่ได้
“เมื่อไหร่ฝ่าบาทจะพบความสุขสักทีก็ไม่รู้ ทำงานหนักแถมไม่ค่อยดูแลตัวเองอีกต่างหาก” ราชิดเปรยเสียงทุ้ม สายตามองไปยังห้องทำงานที่เพิ่งเดินออกมา
“เร็วๆ นี้แหละ เชื่อฉันสิ”
เบนรีพูดขึ้นมาลอยๆ ราชิดเห็นรอยยิ้มขบขันของเบนรีแล้วนึกตาม แล้วทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายเดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ทหารที่ยืนเฝ้าหน้าห้องมองหน้ากันอย่างงงๆ ว่าองครักษ์ทั้งสองมีเรื่องอะไรกันถึงได้มีความสุขขนาดนี้
อัลฟาร์จายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ภาพหญิงสาวถูกดึงออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วแกร่งไปตามผิวแก้มเปล่งปลั่งไปด้วยเลือดฝาด
สีหน้าสดใสแช่มชื่นแลดูมีชีวิตชีวาราวกับดอกไม้แรกแย้ม เขาหลับตาลงเหมือนจะซึมซับภาพนี้เข้าไปในความทรงจำ
“เราคงได้พบกันเร็วๆ นี้ สาวน้อย”
*** ขอบคุณคร้า ***
