ตอนที่เจ็ด ปกป้องสาวงาม
ตอนที่เจ็ด
ปกป้องสาวงาม
ข่งซีห่าวเดินล่องลอยกลับจากการเข้าเฝ้าองค์หญิงจ้าวเฟยเฟิ่งด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เขาไม่เคยคิดเสนอตัวเป็นหนึ่งในพระสวามีของลูกพี่ลูกน้อง ด้วยคิดเพียงว่าตนเองไม่คู่ควร อีกทั้งยังรู้สึกผิดจากการที่ไม่เคยปกป้องสองแม่ลูกจนอาหญิงต้องสิ้นชีวิตลง
แต่เมื่อหญิงซึ่งเปรียบเสมือนน้องสาวถูกรังแก เขาย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย
ยิ่งนางซบหน้าออดอ้อน กลิ่นกายอันหอมกรุ่น ผมสลวยดุจเส้นไหม ผิวกายขาวเนียนละเอียด และใบหน้างดงามซึ่งเงยอ้อนจนมองเห็นชัดเจนกระทั่งขนตางอนยาว และปากแดงอิ่ม
นางช่างดูอ่อนหวาน น่ารัก จนเขาอยากโอบกอดเอาไว้เพื่อปกป้องให้พ้นภัย นั่นทำให้ใจที่ไม่เคยคิดเกินเลยกลับเต้นแรงด้วยเขาเกิดความคิดช่วงชิงตำแหน่งพระสวามีเสียแล้ว แต่มิใช่เพื่ออำนาจวาสนาในการเป็นฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือปวงชน
เขาเพียงอยากปกป้องสาวงามและช่วยให้นางได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาเท่านั้น
เมื่อเจรจากับข่งซีห่าวได้สำเร็จแล้ว จ้าวเฟยเฟิ่งจึงเข้าหาชายคนต่อไปนั่นก็คือ ไป๋ชุนกัง บุตรชายของหัวหน้าหมอหลวง ชายหนุ่มคนนี้มีจิตใจดีและไม่ละโมบสมกับเกิดในตระกูลหมอผู้รักษาชีวิตคน เขาน่าจะไม่อยากถูกเสนอชื่อ แต่ด้วยอยู่ในวัยเหมาะสมและมีหน้าตาหล่อเหลา ขุนนางซึ่งไม่มีทายาทจึงยกชื่อเขาขึ้นมาด้วยอยากได้หุ่นเชิดอันว่าง่าย
“ท่านหมอไป๋ ข้าคิดวิธีช่วยเหลือคนป่วยที่อำเภอเมิ่งได้สองสามวิธี ท่านลองดูว่ามีวิธีใดบ้างที่สามารถทำได้โดยเร็ว”
จ้าวเฟยเฟิ่งยกเรื่องงานขึ้นมาคุยก่อนเพื่อเปิดทาง
“องค์หญิงทรงพระปรีชายิ่งไม่กี่วันก็คิดวิธีที่ดีออกมาได้แล้ว” ไป๋ชุนกังกล่าวชมตามมารยาทขณะเดินเข้าใกล้เพื่อดูตัวอักษรบนหนังสือที่กางอยู่โดยมีองค์หญิงน้อยยืนด้านข้าง
จ้าวเฟยเฟิ่งรอจนเขาอ่านใกล้จบจึงแสร้งยืนซวนเซก่อนจะเอนล้มไปทางชายหนุ่มซึ่งรีบกางแขนออกรับร่างบางแล้วอุ้มประคองพาไปนอนที่ตั่งอย่างรวดเร็ว
ไป๋ชุนกังเป็นหมอหลวงอยู่แล้วจึงลงมือตรวจองค์หญิงน้อยอย่างห่วงใย
“ช่วงนี้องค์หญิงพักผ่อนน้อย พระวรกายอ่อนเพลีย อีกทั้งคงคิดกังวลมากไปจึงทำให้ล้มลงอย่างกะทันหัน กระหม่อมจะเร่งจัดยาบำรุงให้ ช่วงนี้ขอให้องค์หญิงพักผ่อนให้มาก อย่าให้ผู้ใดรบกวน” หมอไป๋หันมาเอ่ยบอกขันทีอาวุโสผู้ดูแล ขณะกำลังจะลุกขึ้นมือบางก็เอื้อมมาจับข้อมือเอาไว้
“อย่าได้กระโตกกระตากไป ข้าไม่อยากให้พวกเขาหาเหตุมาบีบคั้นให้เร่งคัดเลือกสวามีอีก” เสียงอ่อนแรงเอ่ยออกมาจนไป๋ชุนกังรู้สึกสงสารอย่างสุดใจ
“ขอองค์หญิงอย่าทรงกังวล กระหม่อมจะไม่เปิดปากบอกผู้ใด”
“แต่พวกเขาอาจระแคะระคาย ช่วงนี้ท่านหมอไป๋ยกเรื่องการปรึกษาหารืองานมาอ้างเพื่อเข้ามาดูแลข้าด้วยตนเองได้หรือไม่”
“ได้ กระหม่อมจะดูแลองค์หญิงด้วยตนเอง”
องค์หญิงน้อยแสร้งทำท่าจะลุกขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนจนชายหนุ่มต้องพุ่งเข้าประคอง
“ขอบคุณท่านหมอไป๋” หญิงสาวซบลงบนไหล่หนาคล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรงจะทรงตัว ทำให้หมอหนุ่มหน้าแดงแต่กลับไม่ขยับตัวหรือวางร่างบางลงแต่อย่างใด
หญิงสาวปล่อยร่างซบอยู่ครู่หนึ่งจนเห็นว่าเพียงพอแล้วจึงยกหัวพิงพนักเตียงแล้วเอ่ยต่อคล้ายพร่ำรำพัน
“พวกเขาเอาแต่จะให้ข้าหาสวามี หากได้คนดีที่ดูแลข้าได้เช่นท่านหมอไป๋มีหรือที่ข้าจะไม่อยากได้ แต่หมอไป๋ย่อมไม่อยากเป็นสวามีข้า ชายผู้ต้องโดนกดดันและถูกเชิดเป็นตุ๊กตาให้ต้องรับคำสั่งจากขุนนาง ชีวิตเช่นนั้นจะมีความสุขได้อย่างไร”
ไม่ ข้าอยากเป็น ให้ข้าได้ดูแลองค์หญิงเถอะ
หมอไป๋ชุนกังรีบขัดขึ้นในใจ แต่เบื้องหน้ายังไม่กล้าเอ่ยคำด้วยไม่แน่ใจว่าองค์หญิงคิดเช่นนั้นจริงหรือเพียงแค่พร่ำเพ้อ
ความรู้สึกอยากปกป้องหญิงงามถูกปลุกขึ้นโดยทันที ผนวกกับความอยากดูแลรักษาหญิงสาวอ่อนแอ บอบบางผู้นี้ ส่งให้ไป๋ชุนกังอยากเป็นพระสวามีขององค์หญิงน้อยอย่างที่ไม่เคยคิดฝัน
“เพียงขอให้ท่านหมอไป๋แวะเวียนมาดูแลข้าทุกสามสี่วันเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ไป๋ชุนกังเดินล่องลอยออกไปจากตำหนักอีกคนท่ามกลางสายตาของสองนางกำนัลซึ่งได้แต่มองสบตากันอย่างไม่เข้าใจ
องค์หญิงกำลังจะทำสิ่งใดกันแน่
หลังจากนั้นก็เป็นลำดับของหลี่จิ่นติ้ง เจ้ากรมอาวุธผู้นี้มีอุปนิสัยหนักแน่นสมกับเป็นบุตรชายของเสนาบดีกลาโหม จ้าวเฟยเฟิ่งคิดหาวิธีล่อหลอกเขาอยู่หลายวัน จนมาลงเอยที่วันนี้
“กระหม่อมนำอาวุธที่องค์หญิงวาดภาพคราวที่แล้วมาให้ได้ชมดูว่าถูกต้องตามแบบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไหน ขอข้าดูใกล้ๆหน่อย”
ชายหนุ่มนำมีดสั้นเล็กบางใส่ถาดมาวางตรงหน้าองค์หญิงน้อยพลางถอยออกห่างอย่างรู้มารยาท
“อืม... พอใช้ได้ แต่หากบางได้อีกหน่อยจะใช้งานได้ง่ายกว่านี้”
“มีดทั้งเล็กทั้งบางเพียงนี้ องค์หญิงจะใช้การใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ในการศึกมีเพียงอาวุธหนาหนักเข้าโรมรันฟันแทงกันตรงๆ หรือไม่ก็ธนูเหล็กกล้าซึ่งต้องใช้แรงมากในการเหนี่ยว ข้าจึงคิดว่าหากมีอาวุธเล็กบางใช้โจมตีจุดตายได้โดยไม่ต้องประชิดตัว อาจช่วยในการทำร้ายข้าศึกได้มากและไม่เปลืองแรงด้วย”
ความจริงฟากฟ้าเพียงไม่รู้วิธีทำอาวุธหนักเท่านั้น เธอไม่เคยถ่ายทำละครบู๊ล้างผลาญระเบิดภูเขาเผากระท่อมหรือแนวต่อสู้ทำลายล้าง จึงไม่รู้ว่าอาวุธที่ใช้ในการรบควรเป็นอย่างไร เคยมีละครเรื่องเดียวเท่านั้นที่เคยช่วยจัดเตรียมซึ่งเป็นแนวสายลับ จึงลองเอาอาวุธพวกนั้นมาลองใช้ดู
หลี่จิ่นติ้งหรือจะกล้าขัดความคิดองค์หญิงน้อย เขาได้แต่พยักหน้ายอมรับและเอ่ยชมเท่านั้น
“ท่านหลี่รู้หรือไม่ว่าอาวุธนี้ใช้อย่างไร”
“ขอองค์หญิงโปรดชี้แนะ”
“เช่นนั้นเข้ามาใกล้ข้าหน่อย”
องค์หญิงหยิบมีดบางขึ้นมาพลางจับมือหนาของชายหนุ่มมากุมด้ามมีดไว้แล้ววางมือบางทับลงไปอีกที
“เพียงจับให้มั่น สะบัดให้เร็ว เล็งจุดตาย ก็ได้แล้ว”
หลี่จิ่นติ้งใบหน้าแดงก่ำจนเห็นได้แม้เขาจะมีผิวคล้ำกร้านแดด
ยิ่งยามองค์หญิงขยับร่างบางไปมาพลางโยกมือที่จับกุมตวัดซ้ายขวา เจ้ากรมหลี่ถึงกับร่างกายค้างแข็งไม่กล้าขัดขืนได้แต่โยกร่างตามไปโดยดี
“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่” เสียงหวานใสเอ่ยถามพลางปล่อยมือออก
“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่จิ่นติ้งก้มมองตามมือบางด้วยความเสียดาย
“ข้าอยากได้กระบี่อ่อนไว้ป้องกันตนเองด้วย ท่านเจ้ากรมหลี่จะจัดทำให้ข้าได้หรือไม่”
“ย่อมได้ พ่ะย่ะค่ะ”
“ภาพร่างอยู่ที่นี่ เข้ามาใกล้ๆสิ ข้าจะอธิบายให้ฟัง”
