บทที่ 2-1 ไม่หย่าก็เรื่องของคุณ
เมธาวีวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับต้องเอ่ยปากถาม ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งรอมาหลายชั่วโมงแล้วไปคุยกันต่อในรถ
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณวี” โชค ทนายความหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับเมธาวีเอ่ยถาม
เขาเป็นรุ่นพี่ของเมธาวีหลายปี และได้รับมอบหมายจากนางปรานีให้ช่วยมาดูแลจัดการปัญหาบางอย่างของหญิงสาว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการหย่าวันนี้
“คุณย่าโทร.มาบอกว่าเขาเปลี่ยนใจไม่หย่า” เมธาวีถอนหายใจเบาๆ ด้วยความกลัดกลุ้ม
“ก็ดีแล้วนี่ครับ คุณพรตอาจจะเปลี่ยนใจอยากทำอะไรให้ถูกต้องก็ได้” โชครู้เช่นนั้นแล้วก็เบาใจไม่น้อย
เขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเมธาวี แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้าตัว อีกทั้งเจ้านายของโชค ‘คุณท่านปรานี’ ก็รับฟังเหตุผลและยินยอมในการตัดสินใจนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
หน้าที่ของโชคในวันนี้คือการมาทำหน้าที่พยานการหย่าให้เสร็จสมบูรณ์ และส่งเมธาวีกลับบ้านที่อยุธยาให้เรียบร้อย จากนั้นกลับไปรายงานผลทุกอย่างให้คุณท่านทราบ ก่อนจะรอรับคำสั่งอื่นต่อไป
“ครับ คุณท่าน” เสียงโทรศัพท์ของโชคดังขึ้น ทนายหนุ่มกดรับสายด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร
“ได้ครับ ครับ” แล้วโชคก็วางสายลงก่อนจะหันมาบอกเมธาวีว่า
“คุณท่านให้พาคุณวีกลับไปบ้านเพื่อคุยกับคุณพรต”
“ไม่ วีจะกลับอยุธยา” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อย สายตามองออกไปนอกรถคล้ายกับบอกให้รู้ว่ากำลังต่อต้าน
“ไปคุยให้เรียบร้อยเถอะคุณวี ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว” โชคค่อยๆ ตะล่อม
“จริงๆ ไม่มีอะไรต้องคุยด้วยซ้ำ แค่เซ็นใบหย่าทุกอย่างก็จบ” หญิงสาวเม้มปากเล็กน้อยอย่างขัดใจ
“เรื่องเซ็นชื่อน่ะง่าย แต่ไอ้เหตุผลที่จะเซ็นชื่อน่ะ มันต้องคุยกันให้เข้าใจ ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้คุณพรตเปลี่ยนใจไม่ยอมหย่า แต่ถ้าคุณวีไม่ไปคุยให้จบคุณพรตก็คงไม่หย่าให้แน่ๆ”
“ความจริงเขาน่าจะดีใจที่วีจะหย่าให้” เมธาวีคิดเช่นนั้นจริงๆ
ตลอดเวลาหนึ่งปีของการแต่งงาน พรตไม่เพียงไม่เคยทำหน้าที่สามีตามกฎหมายหรือพฤตินัยสักครั้ง แม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกเขาก็ไม่เคยมีให้ เมธาวีไม่ได้รู้สึกต้องการสิ่งใดหรือเรียกร้องสิทธิ์ของการเป็นภรรยา นอกจากฐานะคนร่วมบ้านที่เห็นหน้ากันเท่านั้น
นอกจากพรตจะไม่มีให้แล้ว เขายังทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองคือสาเหตุให้ย่าหลานต้องห่างเหินกัน แล้วยังจะพี่กับน้องที่ต้องแยกกันอยู่คนละทางเพราะมีเมธาวีอยู่ในบ้าน การพบหน้ากันแต่ละครั้งหญิงสาวรับรู้ได้เลยว่า พรตไม่เต็มใจและไม่ต้องการที่จะพบตนแม้แต่นิดเดียว เธอน่ารังเกียจนักหรือไง
ถ้าจะรังเกียจเพราะเอาตัวมายัดเยียดบีบบังคับให้เขาต้องแต่งงานด้วย เรื่องนี้เมธาวีเข้าใจและไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดในฐานะเมียที่ถือทะเบียนสมรส แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ก็คือท่าทีหมางเมินราวกับไม่มีตัวตนในสายตา นั่นต่างหากที่ทำให้รู้สึกแย่ และยิ่งแย่มากขึ้นเมื่อเห็นกริยาอาการการแสดงออกของพรตยามมีตนอยู่ด้วย
เขามองข้ามหัว ไม่คิดถึงความรู้สึก ไม่เคยคิดว่ามีใครอีกคนอยู่ในสถานที่นั้น สำหรับพรตแล้วเมธาวีคืออากาศธาตุ ที่ไร้ตัวตน ไร้เสียง ไร้กลิ่น หรือแม้แต่ไร้หัวใจที่จะรู้สึก
ดังนั้นการตัดสินใจหย่าเป็นเรื่องที่เมธาวีอยากทำมากที่สุด หลังจากที่แต่งงานกับพรตได้ไม่นาน ปัญหาบางอย่างที่คาราคาซังและเป็นภัยคุกคามเธอได้จบลง เมธาวีเรียนรู้ว่าการยืนด้วยลำแข็งอย่างแข็งแกร่ง และค้นพบว่าโลกนี้มีที่ให้ยืนสำหรับคนที่มีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาในโลกกว้างนี้
เธอเรียนรู้ว่าชีวิตมีเรื่องมากมายที่รออยู่ มีสิ่งต่างๆ ที่เราสามารถจัดการเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร มีที่เที่ยว อาหารดีๆ สถานที่ที่ชอบที่ไม่ต้องรอให้ใครพาไป และที่สำคัญเมธาวีเรียนรู้ว่า การพึ่งพาตนเองให้ได้คือจุดเริ่มต้นของการคุ้มครองตัวเองได้ได้ที่สุด และนี่คือเหตุผลสำคัญของการหย่าครั้งนี้
“กลับบ้านนะคุณวี ถ้าตกลงกันเรียบร้อยแล้วคุณวีอยากไปทำธุระที่อยุธยา เดี๋ยวผมขับรถไปเป็นเพื่อน” โชคสรุปเองทันทีแล้วเร่งความเร็วให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้พาเมธาวีกลับบ้านให้เร็วที่สุด หวังว่าเมื่อกลับไปถึงแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงอีกนะ
“ตามใจ ยังไงวีก็หนีไม่พ้นใช่ไหม ถ้าไม่ได้ลายเซ็นเขา” เมธาวีประชดเล็กน้อยแล้วนั่งนิ่งปล่อยให้สารถีพาตนเองกลับไปจัดการเรื่องสำคัญให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
พรตมองรถที่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าตึกอย่างไม่วางตา คนขับลงมาก่อนแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูให้คนที่นั่งมาด้วย ช่างดูเอาใจใส่กันเสียเหลือเกิน และขวางหูขวางตาเขานักจนนึกหมั่นไส้ แทนที่พรตจะนั่งอยู่ในห้องโถงตามคำสั่งของนางปรานี ที่บอกให้รอพบเมธาวีที่กำลังเดินทางมาจากอำเภอ พ่อเจ้าประคุณเดินกลับขึ้นห้องไปหน้าตาเฉยทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนอีกสองคนที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาแม้แต่น้อย
“อ้าว คุณพรตไปไหนแล้ว” โชคเข้ามาไม่เห็นใครก็รู้สึกแปลกใจ ท่านบอกไว้ว่าพรตจะรอคุยกับเมธาวีอยู่ที่ห้องโถง เขาจึงรีบขับรถพาเธอมาที่นี่
“สงสัยไม่อยู่แล้วมั้ง” เมธาวีกวาดสายตามองหาอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีเขาในห้องโถงแน่แล้ว หญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาดังๆ
“เป็นอะไรไปคุณวี” โชคหันมาถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวก็พอเข้าใจได้ว่ารู้สึกเช่นไร
“เดี๋ยวผมไปถามคนอื่นให้ดีกว่าว่าคุณพรตอยู่ไหน” ชายหนุ่มอาสาเพราะอยากให้ธุระของเมธาวีเสร็จสิ้นตามที่เจ้าตัวต้องการ
“ไม่ต้องหรอกโชค เขาคงไปไหนตามใจตัวเองแล้ว คนอย่างเขาไม่เคยสนใจคนอื่นอยู่แล้วนี่” เมธาวีเสียความรู้สึกเล็กน้อยแต่ก็พอทำใจได้
แต่ไหนแต่ไรมาคนอย่างพรตไม่เคยสนใจคนอื่น เขานึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่เคยคิดว่าอีกคนจะรู้สึกเช่นไรหรือคิดอะไร การที่กลับมาไม่เจอพรตที่บ้านไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเจอซิ ฝนคงตกฟ้าคงร้องไปสามวันแปดวันแน่
“แล้วคุณวีจะเอาไงต่อ” โชคถามเพื่อจะได้รู้ว่าตนเองต้องทำอะไรต่อ
งานที่ได้รับมอบหมายจากนางปรานีเรื่องเมธาวีไม่ได้จบลงแค่การหย่าเท่านั้น แต่เขายังต้องไปจัดการเรื่องอื่นของหญิงสาวอีกหลายอย่าง ดังนั้นโชคจึงต้องถามเพื่อวางแผนจัดการตัวเองให้คล้อยตามไปกับเมธาวี
“กลับอยุธยาแล้วกัน เดี๋ยวเมขึ้นไปเอาของที่เหลือบนห้องนอนก่อน เอกสารหย่าเมจะวางไว้ในห้องนอน ฝากโชคบอกคุณย่าด้วยหรือถ้าเจอคุณพรตก็บอกให้ด้วยแล้วกัน วีจะรอรับเอกสารกลับอยู่ที่อยุธยา” เมธาวีตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
ยังไงก็ต้องหย่า จะหย่าวันนี้พรุ่งนี้ก็เอาตามที่พรตสะดวกแล้วกัน สำหรับเธอนั้นการหย่าจบสิ้นตั้งแต่เซ็นชื่อในเอกสารและเขียนคำแนบท้ายหลังการหย่าไว้เรียบร้อบแล้ว
“งั้นผมไปบอกแม่ก่อนว่าวันนี้อาจจะกลับดึก แล้วจะฝากแม่บอกคุณท่านหรือคุณพรตเรื่องเอกสารคุณวีด้วย” โชคเดินหายเข้าไปด้านในเพื่อแจ้งสิ่งที่ตั้งใจกับมารดา ส่วนเมธาวีขึ้นไปข้างบนเพื่อเอาเอกสารไปเก็บ และเก็บข้าวของบางส่วนที่ตั้งใจว่าจะมาเก็บตามไปทีหลังเอาไปวันนี้ให้เสร็จสิ้น
พรตเปิดประตูห้องนอนที่ไม่ได้เข้ามาเป็นเวลาเกือบปี ทุกอย่างยังคงเดิมไม่เปลี่ยนจะมีก็แต่ผ้าปูที่นอนที่เป็นลายดอกไม้สีหวาน ก็คงตามความชอบของคนที่ยึดเตียงมาร่วมปีนั่นเอง
เขาเดินดูรอบห้องอย่างใจเย็น คิดเองว่าป่านนี้เมธาวีและโชคคงนั่งรออยู่ที่ห้องโถงเป็นแน่ ยังไม่มีโทรศัพท์มาตามจากนางปรานีก็แสดงว่าทั้งสองคงรออยู่ เขาไม่สนหรอกนะว่าจะต้องรีบลงไปหา แต่จะให้รอเสียให้เข็ด จะอยู่บนนี้จนกว่าจะพอใจหรือรู้สึกว่าอยากลงไป ใครจะทำไม
ข้าวของเครื่องใช้ของเมธาวีแทบไม่มีอะไรเลย เดาว่าเธอคงเก็บกลับไปหมดแล้ว จะมีก็แต่ชั้นหนังสือที่ยังเหลือหนังสือไม่กี่เล่ม พรตหยิบมันขึ้นมาดูทีละเล่ม หนังสือนิยายแปลจากต่างประเทศมีหลากหลายแนว เขาพอจำได้เลือนรางว่าเมธาวีชอบอ่านหนังสือ เมื่อสมัยก่อนที่พบกันเป็นครั้งคราวยามคุณย่าและคุณยายนัดกันสังสรรค์ ถ้าได้พบเธอครั้งไหนก็จะเห็นหนังสือติดตัวได้เสมอ
“ยายนอนหนังสือ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำเบาๆ แล้ววางหนังสือลง ดูนาฬิกาข้อมือจึงรู้ว่าปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ในห้องโถงมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ได้เวลาที่พรตควรปรากฏตัวแล้วซินะ
พรตยังไม่ทันได้ออกไปประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับใครบางคนที่ทำให้ชายหนุ่มตาวาวเป็นประกาย เมธาวีตกใจเล็กน้อยที่เจอเขาที่นี่ แต่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะไร” เขาถามคำแรกเมื่อเธอยกซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นเล็กน้อยแล้ววางลงที่ปลายเตียง เป็นสัญลักษณ์เชิงบอกให้รู้ว่าพรตจำเป็นต้องดูมัน
เมธาวีไม่ตอบและวางมันลงไว้ จากนั้นก็เดินเลี่ยงมาหยิบหนังสือที่ตั้งใจจะขนกลับไปใส่ถุง เมื่อเสร็จแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปโดยไม่สนใจพรตแม้แต่น้อย
“ฉันถามว่าอะไร ทำไมไม่ตอบ” พรตสุดจะทนกับท่าทีเมินเฉยของอีกฝ่าย เขากระชากแขนเมธาวีที่เดินผ่านหน้าไปเหมือนไม่เห็นกันอยู่ในสายตา
“เอกสารที่คุณต้องดู แล้วเซ็นชื่อส่งกลับให้ฉันด้วย” หญิงสาวตอบด้วยท่าทีเฉยชา
“เอกสารอะไร” พรตคว้าซองสีน้ำตาลมาเปิดดู แค่เห็นเขาก็ตาลุกวาวด้วยความโกรธหันหน้ามาสบตาเมธาวีที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด
“ใบหย่า นี่อยากจะหย่ามากใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ คุณเซ็นตอนนี้เลยก็ได้ โชคจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเอาไปให้ฉัน” เมธาวีพูดหน้าตาเฉย
“ฉันบอกคุณย่าไปแล้วว่าไม่หย่า เธอยังไม่เลิกล้มความคิดนี่อีกเหรอ” พรตย้อนถาม
“ทำไมฉันต้องเลิกล้มด้วยค่ะ ในเมื่อฉันเป็นคนต้องการหย่าและคุณก็น่าจะพอใจ” หญิงสาวพูดตามตรง
“ใช่ ฉันพอใจและอยากให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ฉันต้องจำใจแต่งงาน” พรตเน้นทุกคำอย่างชัดเจน เมธาวีร้อนผ่าวไปทั่วหน้ารู้สึกอายตัวเองเหลือเกิน ที่เกิดเรื่องผิดพลาดนี้ในชีวิต พรตพูดเหมือนกับว่าเธอเอาตัวเองมายัดเยียดเพื่อแต่งงาน แต่นี่แหล่ะคือพรต ไม่รับรู้ ไม่สนใจ ไม่เคยมองว่าใครจะเป็นอะไรหรือมีเหตุผลอะไร
“ฉันขอโทษค่ะที่ปล่อยเวลามานานขนาดนี้ และตอนนี้ฉันก็ยินดีที่จะทำตามที่คุณต้องการแล้ว” เมธาวีพยายามรักษาน้ำเสียงและท่าทางที่สุภาพไว้ แม้จะรู้สึกไม่ดีกับน้ำเสียงและสายตาท่าทางของอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม
“แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” พรตวางซองสีน้ำตาลลงอย่างไม่ไยดี
“ฉันไม่หย่า แล้วเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดคำนี้อีก”
“ทำไมคุณต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากด้วยค่ะ ถ้าคุณโกรธที่ฉันปล่อยให้เรื่องมันนานขนาดนี้ เอาเป็นว่าฉันขอโทษแต่มันมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ ตอนนี้ฉันพร้อมคืนอิสรภาพให้คุณ คุณก็น่าจะจัดการทุกอย่างให้จบ” เมธาวีไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ พรตควรดีใจและรีบเซ็นใบหน้าซิ
“ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียอิสรภาพ อาจจะมีบ้างที่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะคำว่ามีเมียแล้วมันค้ำคออยู่ แต่ฉันไม่หย่า เข้าใจไหม” พรตยิ้มเยาะในทีแล้วเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี
คราวนี้เป็นเมธาวีที่เป็นฝ่ายทนไม่ได้ เธอเดินมาขวางเขาไม่ให้ออกไปจากห้องด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่พรตไม่สนใจแล้วยังทำท่าทีกวนประสาทอีกด้วย
“คุณพรตคะ ฉันขอร้อง กรุณาเซ็นใบหย่าให้ด้วย” เมธาวีพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันไม่หย่า” พรตตอบชัดทุกคำเช่นกัน ทั้งสองสบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สายตาที่พรตมองมาแฝงความเย้ยหยันกวนประสาทได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่เมธาวีต้องสะกดอารมณ์ที่อยากจะทุ่มเขาให้ล้มลงไปนอนกองที่พื้นเลยจริงๆ
“ฉันขอเหตุผลค่ะ คุณไม่สะดวกไม่อยากทำวันนี้ แล้วคุณอยากจะทำวันไหน เอาเป็นว่าถ้าเพราะแบบนี้ฉันรอได้” เมธาวีพูดอย่างใจเย็น
“ไม่มีเหตุผล แค่คำเดียวสั้นๆ ไม่หย่า” พรตเน้นสองคำสุดท้ายชัดๆ
“คุณทำแบบนี้ทำไม” เมธาวีเชิดหน้าเล็กน้อย เริ่มเดาทางได้แล้วว่าอีกฝ่ายป่วนประสาทเพราะอยากเอาชนะ
“ไม่ทำไม แต่คนอย่างฉันไม่ใช่คนที่ใครนึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าฉันไม่อยากหย่า คุณย่าก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับ แล้วรู้ไว้ด้วยว่าคราวที่แล้วคุณย่าบังคับด้วยการเอาเรื่องมรดกมาขู่ ฉันเลยต้องทำตามเพราะไม่อยากถูกตัดออกจากกองมรดก แต่เรื่องนี้คุณย่าไม่เกี่ยวมันเป็นเรื่องของฉันกับเธอเท่านั้น”
