ตัวช่วยสุดท้าย
นานวันเข้าบริษัทไม่สามารถให้เงินเดือนพนักงานได้เท่าเดิมจึงจำเป็นต้องปลดพนักงานบางคนออกพร้อมกับให้เงินชดเชยเท่าที่ทำได้ เพียงขวัญที่เห็นผู้เป็นพ่อและแม่กำลังประสบปัญหาก็นึกโทษตัวเองที่ช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้เลย
"มีนัดกับลูกค้าเหรอคะคุณพ่อ" เสียงหวานเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อใส่ชุดสูทภูมิฐานในวันหยุดเช่นนี้
"ไม่ใช่หรอกลูก วันนี้มีนัดกินเลี้ยงสมาคมพ่อจะไปเผื่อจะมีใครช่วยพยุงบริษัทเราได้บ้าง" ท่านพิภพเอ่ยบอกลูกสาวก่อนจะลูบหัวเพียงขวัญด้วยความอ่อนโยนแล้วเดินออกจากบ้านด้วยท่าทีอ่อนเพลียเพราะไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายเดือน
"เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับแล้วลูก" คุณหญิงพณีบอกกับลูกสาวเมื่อเห็นเพียงขวัญมองผู้เป็นพ่อจนลับสายตา
"ค่ะคุณแม่ มีอะไรที่หนูพอช่วยได้ไหมคะ"
"ตอนนี้ยังไม่มีจ้ะ ลูกไปพักเถอะ" เพียงขวัญเดินคอตกขึ้นห้องตัวเอง เธอเรียนจบมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งเสียทีเพราะเมื่อปีก่อนเธอประสบอุบัติเหตุทำให้เดินไม่ได้เกือบครึ่งปี หลังจากนั้นก็เจอพิษเศรษฐกิจทำให้หลายบริษัทไม่รับพนักงานใหม่ เพียงขวัญเรียนจบแฟชั่นดีไซน์และมีความฝันที่อยากเปิดร้านชุดแต่งงานเป็นของตัวเองแต่ก็ต้องพับความฝันเอาไว้ก่อนเพื่อครอบครัว
[งานเลี้ยงสมาคม]
นักธุรกิจมากหน้าหลายตามาพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือบางคนมาเพื่ออวดความร่ำรวยของตัวเอง แต่ท่านพิภพมาเพื่อหาคนที่สามารถช่วยพยุงบริษัทตัวเองได้ ถึงแม้ความหวังจะน้อยนิดก็ตามแต่เพราะไม่อยากให้บริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือต้องปิดตัวลง
"ท่านพิภพไม่คิดว่าจะมาร่วมงานด้วยนะครับเนี่ย" คำทักทายของชายนักธุรกิจคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง
"ครับท่านชัยชาญ สบายดีหรือเปล่าครับ" สองนักธุรกิจคุยกันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอวดความร่ำรวยเสียมากกว่า
"สบายดีครับแต่มีปวดหัวกับหุ้นที่ลงไปสักหน่อย ช่วงนี้กำไรกำลังงามน่ะครับ"
"ยินดีด้วยนะครับ" ท่านพิภพได้แต่แสดงความยินดีกับความอวดร่ำอวดรวยของอีกคน
"แล้วท่านล่ะครับบริษัททัวร์ยังราบรื่นอยู่ใช่ไหมครับ หลายบริษัทปิดตัวกันเยอะมากนะครับแต่ท่านนี่เก่งจริงๆ นะครับเนี่ย" อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแต่ช่างเป็นคำชมที่ไม่เหมือนคำชมเสียจริง
"ครับ" พิภพตอบกลับแค่สั้นๆ เพราะบริษัทตัวเองตอนนี้ก็เกือบจะไปไม่รอดแล้ว ถ้าบริษัทปิดตัวครอบครัวของเขาก็เตรียมตัวล้มละลายได้เลยทั้งลูกทั้งภรรยาคงต้องพบกับความลำบากเป็นแน่
"พิภพจำฉันได้ไหม" เสียงทักทายจากชายอีกคนพร้อมกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคยเหมือนภาพจำในอดีตย้อนกลับมา
"วิสุทธิ์ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีหรือเปล่า" ทั้งสองคนเอ่ยทักกันอย่างเป็นกันเองเพราะทั้งคู่เรียนจบมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันแถมยังอยู่ในกลุ่มเดียวกันมาก่อนตอนสมัยเรียน
"เจอนายครั้งก่อนน่าจะสิบกว่าปีได้แล้วมั้ง" ทั้งสองคนเอ่ยถึงความหลังที่เคยเจอกันตอนงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าแต่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
"นั่นสิ นานมากแล้วเนอะ" ท่านพิภพเองก็จำได้รางๆ สองนักธุรกิจมีอายุแต่ทั้งคู่ดูไม่แก่เพราะความภูมิฐานและดูแลตัวเองอยู่เสมอทำให้ยังแข็งแรงกว่าคนวัยรุ่นบางคนเสียด้วยซ้ำ
"บริษัทนายเป็นไงบ้าง"
"ก็ดีอยู่" ท่านพิภพเอ่ยก่อนจะหน้าหม่นลงเพราะมันไม่ดีเลยด้วยซ้ำแต่ก็ต้องตอบว่าดีไว้ก่อน
"มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า" เพื่อนสมัยเรียนที่เหมือนอ่านความคิดของอีกคนได้เพราะสีหน้าของเพื่อนตนเองดูไม่ดีเหมือนที่ปากพูดเลย
"ก็แค่ธุรกิจทัวร์เล็กๆ ไม่เป็นไรไม่ต้องช่วยหรอก" ท่านพิภพที่เริ่มแรกตั้งใจมางานเพื่อหาคนช่วยแต่พอเห็นธุรกิจของคนตรงหน้าแล้วบริษัทของตัวเองดูกระจอกจนไม่กล้าขอความช่วยเหลืออีกเลย เพราะเพื่อนสมัยเรียนที่อยู่ตรงหน้ามีธุรกิจเกี่ยวกับสื่อโฆษณาที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนี้และยังมีธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าต่างๆ อีกด้วย
"เรื่องธุรกิจไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้เลย ตอบแทนที่นายเคยช่วยฉันมาตลอดตอนสมัยเรียน" อีกคนเอ่ยขึ้นมาเพราะตอนสมัยเรียนตนไม่ใช่คนมีฐานะเรียกได้ว่าจนเลยก็ว่าได้ และก็มักมีปัญหาเรื่องเงินแต่ได้เพื่อนสนิทตรงหน้าเป็นคนช่วยเหลือมาตลอดทั้งเรื่องเงินและเรื่องอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถลืมเพื่อนคนนี้ได้เลย
"ขอบใจมากนะ ฉันไม่ได้อยากให้นายตอบแทนอะไรหรอกแต่ดีใจนะที่นายยอมช่วย"
"ว่ามาได้เลย ถ้าฉันช่วยได้จะช่วย" สองนักธุรกิจหาที่นั่งปรับทุกข์กันและกัน ท่านพิภพเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองที่มางานนี้และพูดถึงวิกฤตของบริษัทตอนนี้ให้เพื่อนฟัง พอฟังจบท่านวิสุทธิ์ตกลงที่จะยอมช่วยทันทีอย่างไม่มีข้อแม้
"แล้วนายมางานนี้ทำไมล่ะ"
"ภรรยาฉันเธออยากจะอุ้มหลานน่ะเลยให้ฉันมาทาบทามหาลูกสะใภ้ที่เหมาะสมกับลูกชายให้ ฉันละปวดหัวไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน" เมื่อได้ยินเพื่อนพูดทำให้ท่านพิภพจุดประกายความคิดตัวเองได้
"อันที่จริงฉันว่าเรามีทางเลือกที่ดีกว่านี้นะ" ท่านพิภพเห็นว่าตระกูลของคนตรงหน้าค่อนข้างมีชื่อเสียงและมั่นคง เขาก็อยากให้ลูกสาวได้แต่งงานกับตระกูลที่มีพร้อมเช่นนี้
