บทที่ 2 มะเร็งระยะสุดท้าย
“ยัยฝนเป็นอะไรคะ!” ผู้จัดการอย่างพิมพ์แขวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา บิดามารดาของหยาดฝนทำอะไรแทบไม่ถูก
ส่วนหัสนัยนั้น เขาเริ่มประเมินเจ้าสาวของเขาตามหลักที่ได้ฝึกมา คือหลักช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support) เขาจัดการนำเธอนอนราบ พร้อมปลุกเรียกตามหลัก ด้วยการกดที่หน้าอกเธอแรงๆ
“ฝนครับ! ฝน ได้ยินพี่ไหม” ตอนนี้เธอหลับตาอยู่ เขาดูว่าเธอเริ่มหายใจช้าลง จึงรีบคลำชีพจรบริเวณเส้นเลือดใหญ่ที่คอ
“ไม่มีชีพจร...ฝน อย่าเป็นอะไรนะฝน!” เท่านั้นแหละ เขาก็ขึ้นปั๊มหัวใจให้เธอทันที แม้จะแทบเสียสติแค่ไหน แต่สัญชาตญาณที่พร้อมปกป้อง ทำให้เขาช่วยเธอแบบไม่หวั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้นคะ!” กิ่งฉัตรเพิ่งกลับเข้ามาในงานว่าอย่างตกใจ
“หมอกิ่งช่วยฝนด้วยลูก อยู่ๆ ก็เป็นลมหมดสติไป ช่วยฝนด้วยนะลูก ฮือ...” คุณหญิงหยาดทิพย์ เชื้อสกุล ว่าพลางร่ำไห้ ในขณะที่สามีอย่าง สมัคร เชื้อสกุล คอยกอดปลอบอยู่ข้างๆ
แม้เขาจะตกใจและห่วงใยบุตรสาวไม่แพ้กันแค่ไหน แต่ก็ต้องมีสติให้มากเข้าไว้
“มีคนโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว พ่อฝากหมอกิ่งดูแลฝนด้วยนะลูก” เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของบุตรสาวตกใจมากพร้อมหยุดนิ่ง ไม่ขยับตัวไปช่วย จึงพูดเพื่อเรียกสติให้กลับมา
“ค่ะพ่อ กิ่งจะทำให้เต็มที่ค่ะ” แล้วเธอก็รีบวิ่งไปช่วยหัสนัยพร้อมเรียกหาเครื่อง AED สำรองที่น่าจะมีในโรงแรมอยู่แล้ว
AED เป็นเครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ ที่บุคคลทั่วไปที่ได้รับการอบรมก็สามารถใช้ได้ เพื่อช่วยระหว่างที่รถพยาบาลยังไม่มา
กิ่งฉัตรสามารถช่วยเหลือหยาดฝนด้วยเครื่อง AED จนชีพจรกลับคืนมา แต่ยังไม่ได้สติ พร้อมๆ กับที่เจ้าที่โรงพยาบาลมาถึง
“หมอกิ่งครับ...ฝนจะปลอดภัยใช่ไหม?” หัสนัยเอ่ยถาม ก่อนที่กิ่งฉัตรจะตามขึ้นรถโรงพยาบาลไป เธอหันมามองเขาด้วยแววตาอธิบายยาก
“ยัยฝนจะต้องปลอดภัยค่ะ” แต่กระนั้นเธอก็ต้องให้กำลังใจ ทั้งเขาและตัวเองด้วย ก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถไป
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าของริมฝีปากซีดที่มีความแห้งเล็กน้อย เอ่ยขอบคุณไปพร้อมๆ กับเคี้ยวโจ๊กหมูบดละเอียดตุ้ยๆ ทั้งๆ ที่มันสามารถกลืนลงไปได้เลยนั่นแหละ
“อีกสักคำ” แล้วหญิงสาวก็อ้าปากรับโจ๊กคำสุดท้ายไปอย่างว่าง่าย แม้ว่าจะรู้สึกฝาดเฝื่อนในลำคอแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะเธอเอาแต่นอนซม รับประทานอะไรไม่ได้มาหลายวันแล้ว
“มีแค่นี้เหรอคะ...มีอะไรให้ฝันกินอีกไหม รู้สึกหิ๊วหิว” ใบหน้าซีดเซียวมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างประปราย เมื่อเจ้าของใบหน้ายิ้มกว้าง
“มี เดี๋ยวพ่อกับแม่เขาเอามาให้ ตอนนี้คุณหมอบอกว่าอยากจะทานอะไร ก็ทานได้เต็มที่...นี่โชคดีนะที่ไม่ยอมรับยาเคมีบำบัด ไม่งั้นได้ผมร่วงหมดหัวแน่” สิชล บำรุง ชายหนุ่มที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว เอื้อมมือไปหวีผมให้เธอแบบเบามือ หลังจากเก็บชามโจ๊กเรียบร้อยแล้ว
“จริงเหรอคะ! มีแจ่วบองปลาร้าไหม คุณหมอไม่ยอมให้ทานนานมาก แค่นึกถึงก็เปรี้ยวปากรอแล้ว!” น้ำเสียงแหบโหยของปานฝัน ศิลา มีประกายของความสดใส ชายหนุ่มอยากจะเก็บรอยยิ้มที่เขาเฝ้าฝันว่าจะเห็นเอาไว้
เพราะไม่ได้เห็นมานานมาก...
ตั้งแต่ที่เธอป่วยหนัก ทรุดจนต้องมานอนโรงพยาบาลหลายเดือน ให้ยาเคมีบำบัดไปหลายรอบแต่ก็ไม่ดีขึ้น มีแต่แย่ลง ทั้งเขา เธอและบิดามารดาของเธอ จึงตกลงกันว่า
จะขอปฏิเสธรับการรักษาทุกอย่าง แล้วปล่อยให้เธอได้จากไปอย่างสงบ
“มีแน่นอนสิ แม่เขาตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ เดี๋ยวพี่จะกลับไปรับพวกท่าน รออยู่ที่นี่คนเดียวได้ใช่ไหม” สิชลเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยน เอามือวางบนเส้นผมของเธอพร้อมลูบไปมา
“ได้สิคะ...รีบมานะคะ ฝากบอกแม่ว่าขอโรยกระถินเยอะๆ ถ้ามีหน่อไม้ก็ให้ต้มมาด้วย งื้อ น้ำลายสอแล้ว...”
สิชลอยากจะคว้าเธอในเวอร์ชันสดใสดังเดิมนี้มากอดเจียนบ้า อยากจะหอมแก้ม อยากจะกักเก็บทุกช่วงเวลาที่เธอมีความสุขนี้เอาไว้
“ได้ เดี๋ยวพี่รีบไปรีบมา...นอนพักรอก่อนนะ” และเขาก็ทำได้แค่ลูบที่ศีรษะเธอเบาๆ ในสถานะที่พอจะมีสิทธิ์
ก่อนเดินออกจากห้องพักรวมของผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง ประจำโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ที่แบ่งสำหรับการทำการกุศล ให้กับผู้ป่วยในมูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งแห่งชาติ
ปานฝันได้รับเมตตาจากมูลนิธิ รับเป็นคนไข้ในอุปถัมภ์ เพราะเธอเคยไปช่วยงานร้องเพลงการกุศลให้กับมูลนิธิบ่อยๆ ตอนที่ยังไม่ได้ป่วยหนัก
เธอเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ต้องเข้า-ออก โรงพยาบาลอยู่บ่อยหน จนเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว ที่แพทย์ตรวจพบว่าเธอเป็นมะเร็งในไขกระดูก แต่โชคดีที่ตอบสนองต่อการรักษาไม่มีการแพร่กระจาย แต่ต้องได้รับยามาเรื่อยๆ
แต่พอเข้ามาปลายปีที่แล้ว มะเร็งที่ว่าเริ่มกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เป็นระยะเรียกว่าระยะที่สี่หรือระยะสุดท้ายนั่นแหละ
สิชลเดินมาจนถึงลานจอดรถ เขาจอดมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ของตัวเองเอาไว้ไกลพอสมควร เพราะสำหรับผู้ป่วยในอุปถัมภ์แล้ว สิทธิอื่นๆ ในโรงพยาบาล ก็จะน้อยกว่าผู้มารับบริการที่เขาจ่ายเงินกันปกติ
“ครับแม่...เดี๋ยวผมไปรับตอนนี้เลย ผมขอไปเอารถยนต์ไอ้อั๋นบ้านมันแปบนึงครับ โทรยืมมันไว้แล้ว” สิชลทำหน้าที่เป็นอัศวินคอยดูแลบ้านนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน
ตอนนี้เขาก็ตัวคนเดียวแล้ว เพราะบิดามารดาย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่ภูเก็ต เพราะได้สามีฝรั่งอยู่ที่นั่น ซึ่งพี่สาวดูแลพวกท่านได้ดี จนเขาไม่ต้องห่วงอะไร
แต่ไม่ทันที่สิชลจะได้สตาร์ทรถและขับออกไป เสียงเรียกเข้าของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน
“ครับผม...” เขากรอกเสียงลงไปด้วยใจที่เต้นแรง เขาจำเบอร์ที่โทรเข้ามาได้ดี ตั้งแต่ที่ปานฝันต้องเข้ามารับการรักษาที่นี่
‘คุณสิชลคะ ตอนนี้คุณปานฝันหมดสติ ชีพจรอ่อนลง หมอต้องการให้ยืนยันอีกครั้งค่ะ ว่าจะให้ปั๊มหัวใจหรือไม่ปั๊มตามที่เซ็นต์ใบยินยอมไว้คะ’ อันที่จริงเรื่องนี้ทุกคนได้พูดคุยและตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาคือคนแรกที่แพทย์ต้องโทรหาและมีสิทธิตัดสินใจ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโดยตรง
เพราะบิดามารดาพร้อมทั้งตัวปานฝัน ได้เซ็นต์รับรองให้เขาเป็นเจ้าของการตัดสินใจแทนทุกคนมาเสมอ
“ครับ...คุณหมอ ปล่อยให้ฝันเขาได้จากพวกเราไปอย่างสงบ ไม่ต้องทรมานอีกแล้วครับ” สิชลทรุดเข่านั่งลงพร้อมๆ กับน้ำตาที่ร่วงหล่น
ไอ้ความเตรียมใจที่เตรียมมาตลอดระยะเวลา 6-7 ปี แทบจะไม่มีความหมายเลย เมื่อมาถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ
แต่พอได้สติสิชลก็รีบวิ่งขึ้นไปบนตึก เตียงผู้ป่วยที่อยู่ริมสุดด้านในล็อคที่สาม เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว เธอยังส่งยิ้มให้กับเขา ลุกขึ้นมานั่งรับประทานโจ๊กจนหมดชาม เขายังลูบศีรษะให้เธออยู่เลย
“พยาบาลขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะคุณชล พอคุณชลออกไปปานฝันเขาก็นอนเหมือนหลับค่ะ แต่พอดีว่าถึงเวลาวัดไข้พอดี พยาบาลเขาไปเรียกเธอก็ไม่ตอบ ถึงได้รู้ว่าเธอเสียชีวิตแล้วค่ะ...” พยาบาลที่คุ้นเคยกันบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเห็นใจไม่น้อย
“ขอบคุณนะครับคุณพยาบาล” สิชลตอบกลับด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง แต่ก็พยายามเข้มแข็ง เดินเข้าไปในม่านที่ล้อมเตียงของเธออยู่
ภาพของปานฝันที่นอนหลับสนิท ใบหน้าเซียวเหมือนไม่มีเลือดไปเลี้ยง เป็นคำตอบสำคัญที่ทำให้เขาต้องยอมรับ ว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันไป
เธอได้จากไป เหมือนที่เขาพยายามเตรียมใจมาตลอด
“หลับให้สบายนะฝัน ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่นะ...พี่จะดูแลพวกท่านให้เอง” เขาว่าพร้อมลูบศีรษะเธอเบาๆ ก่อนมากุมมือเธอเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลเพราะเกินจะหักห้าม
“พี่รักฝันนะ” เขาพูดคำนั้น ที่ไม่เคยมีสิทธิพูดมาตลอด
“จะรักตลอดไปด้วย” เขาพึมพำอยู่สักพักก่อนตัดสินใจก้าวออกมา เดินเหม่อลอยออกมาเรื่อยๆ จนถึงทางเดินที่ไร้ผู้คน กินเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ
พอทำให้ตัวเองเข้มแข็งได้สักพัก ก็ทำการกดโทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าวกับครอบครัวของเธอเป็นลำดับถัดไป
แต่ไม่ทันที่เขาจะได้โทรออก เสียงโหวกเหวกโวยวายจากทางด้านหลังก็เรียกความสนใจจากเขาได้ก่อน
“โอ๊ะ!” และไม่ทันที่เขาจะได้สนใจด้วยซ้ำ ร่างกายของเขาก็เหมือนมีร่างหนึ่งพุ่งชนเขา จนเขาล้มลงโทรศัพท์หลุดออกจากมือ
เสียงผู้คนที่ตะโกนบอกให้จับเอาไว้ ทำให้เขามองไปยังร่างหนึ่งที่ล้มลงไปด้วยกัน และภาพของร่างที่นอนกลิ้งล้มอยู่ ก็ทำเอาเขา...แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
